The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 576
เพลิงทมิฬค่อยๆปะทุออกมาจากม้วนคัมภีร์จนทำให้พลังอสูรเคลื่อนหนีไปอย่างร้อนรน ท้องฟ้ามืดครึ้มหายลับไปพร้อมกับโลกที่กลับมาสดใสอีกครั้ง
พร้อมกันนั้น ผืนดินได้หลอมละลายเป็นบ่อลาวา ขุนเขาแมกไม้ทั้งหมดถูกเผาไหม้ เมื่อม้วนคัมภีร์ถูกเปิด เพลิงยังแพร่กระจายไปถึงยอดเขาทั้งห้าและแพร่กระจายไปยังทุกหนแห่ง
เมื่อคัมภีร์คลี่ออกครึ่งส่วน ทั้งชั้นแปดของกระโจมเทพสวรรค์ได้กลายเป็นนรกเพลิง! อสูรที่อยู่ในกลางกองเพลิงไม่คิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย!
“เพลิงแห่งวิบัติสวรรค์เรอะ?”
ใบหน้าอสูรตกตะลึง
“เป็นไปได้ยังไง? คัมภีร์อะไรที่ผนึกเพลิงแห่งวิบัติสวรรค์ได้?”
วิบัติสวรรค์ที่มีพลังพิเศษในรูปแบบสายฟ้าจะเป็นที่รู้จักกันในนามวิบัติอัสนี เช่นเดียวกัน วิบัติสวรรค์ที่มีเพลิงจะถูกเรียกว่าวิบัติอัคคี
วิบัติอัคคีนั้นถูกผนึกอยู่ในภาพภูติทัณฑ์สุริยาจริงๆ! วิชาระดับภูตินี้ทำให้ผู้ใช้ดูดกลืนเพลิงทั้งหมดบนโลกและใช้ได้ตามใจนึก!
การใช้คัมภีร์นี้ต้องอาศัยพลังชีวิต ซือหยูจึงเพิ่งจะใช้มันได้ เขาฝังคัมภีร์เอาไว้ที่นี่ในตอนที่เลือกที่ซ่อนจากหุ่นเชิดสีเงิน เขาคิดจะใช้มันลอบโจมตีหุ่นเชิดสีเงิน แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะได้ใช้มันกับอสูรตนนี้!
“จงเปิด!”
ซือหยูตะโกนเรียก ม้วนคัมภีร์เปิดมาแล้วครึ่งทาง!
เพลิงทมิฬพวยพุ่งออกมายังเบื้องบน! แต่ก็น่าแปลกที่แม้ว่าเพลิงรอบข้างจะร้อน ตัวเพลิงทมิฬเองกลับไม่มีความร้อนอยู่เลย
แม้กระนั้นอสูรก็หวาดกลัวอย่างมาก มันรีบบินหนีออกจากวิบัติอัคคี ดวงตาสีม่วงเต็มไปด้วยความกลัว
ซือหยูเพียงใช้ความคิดบังคับให้เพลิงวิบัติอัคคีตามไปหาอสูรที่บินหนี อสูรหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิมเมื่อสัมผัสได้กว่าวิบัติอัคคีกำลังเข้าใกล้ มันตะโกนเสียงดัง
“หยุดนะ! ข้าจะปล่อยให้เจ้ารอด หยุดเดี๋ยวนี้!”
ซือหยูไร้อารมณ์ เพียงแค่คิด วิบัติอัคคีก็ตามถึงตัวอสูร
ใบหน้าอสูรหม่นหมองลงไปมาก
“เจ้าสมควรตาย!”
อสูรกำมือท่ามกลางความร้อนระอุ หุ่นเชิดสีเงินที่พ่ายแพ้ถูกดึงกลับมาขวางทางเพลิง
หุ่นเชิดสีเงินกลอกตาไปมาด้วยความตกใจ มันหวาดกลัวมากและตะโกนใส่ซือหยูด้วยความแค้น
“เจ้าบัดซบ หยุดเดี๋ยวนี้!”
แต่คำตอบที่มันได้ก็คือถ้อยคำเย็นชาจากซือหยู
“ตายให้หมดเถอะพวกแก!”
ตู้ม!
วิบัติอัคคีระเบิดเสียงดัง! ราวกับดวงตะวันระเบิดออก เพลิงทมิฬไม่รู้จบลุกไหม้ผ่านท้องนภาไปยังทุกทิศทาง ทุกอย่างที่สัมผัสกับเพลิงล้วนมอดไหม้เป็นจุณ
พื้นที่รอบข้างได้ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ท้องนภาเต็มไปด้วยเพลิงสีม่วงที่ร้อนแรง เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังตามมา เสียงเป็นของหุ่นเชิดสีเงินที่ถูกจับ มันถูกเผาไฟลุกท่วมและละลายอย่างรวดเร็ว!
ร่างของหุ่นเชิดสีเงินน่าจะทำตามวัตถุดิบที่แม้แต่ลู่จือยี่มิอาจทำลาย แต่ทั้งอย่างนั้นก็ค่อยๆละลายกลายเป็นของเหลวสีเงินเหมือนกับโลหะธรรมดา แม้แต่จิตสำนึกของหุ่นเชิดเองก็มอดไหม้มลายไป!
อสูรที่อยู่ด้านหลังไม่ได้สภาพดีไปกว่ากัน ร่างเกือบร้อยส่วนที่มีเกล็ดทมิฬได้ละลายหายเผยให้เห็นร่างวิญญาณโปร่งแสงภายใน วิญญาณของมันผอมแห้งและอ่อนแอมากในตอนนี้
แกนกลางร่างของมันถูกทำลายอย่างหนักจนอ่อนแอไปมาก แต่มันก็ยังมีชีวิตรอดมา!
ถ้าไม่ใช่เพราะวัตถุดิบที่ทรงพลังของหุ่นเชิดสีเงินที่ป้องกันเพลิงส่วนมากเอาไว้ อสูรก็คงจะถูกวิชาระดับภูติสังหารไปโดยตรงแล้ว! และถ้าหากมันรอดมาได้ ซือหยูก็กำลังเจอกับปัญหาใหญ่!
ม้วนคัมภีร์ทมิฬลอยกลับมาที่มืออันสั่นเครือของซือหยู ซือหยูตัวสั่นด้วยผลจากการที่ใช้พลังไปมาก
การต่อสู้ก่อนหน้าอันดุเดือดหลายครั้งมิได้เพียงทำให้ซือหยูใช้พลังชีวิตไปจนหมด แม้แต่พลังกายของเขาเองก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น แขนขวาของซือหยูเองก็หักจากการต่อสู้ในตำหนักกระดูก มันยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ ณ ตอนนี้
ตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่พลังชีวิตที่จะใช้งานภาพเขียนภูติทัณฑ์สุริยา และอสูรเองก็ยังไม่ตาย!
อสูรหายใจหอบ มันเหนื่อยอ่อน พลังอสูรระเหยออกมาเหนือใบหน้า มันตัวสั่นและดูหมดสภาพ
ดวงตาสีม่วงยังคงมีเสี้ยวความกลัวที่เหลือจากการโกงความตายมาได้ ดวงตาคู่นั้นเริ่มปล่อยความพิโรธและจิตสังหารออกมา
“ย่อมได้ ย่อมได้! เจ้าไล่ต้อนข้ามาถึงเพียงนี้ เจ้าควรจะดีใจได้เลย! ถ้ามีภูติอีกคนมาช่วยเจ้า…ข้าก็อาจจะตายไปแล้ว แต่ตอนนี้น่ะ….”
อสูรพูดพร้อมกับปล่อยจิตสังหารที่แข็งกล้าออกมา
แม้เขาจะมีชีวิตอยู่ จุดกำเนิดพลังของเขาก็เสียหายอย่างหนัก พลังเขาเทียบไม่ได้กับภูติอีกแล้ว!
ซือหยูพูดอย่างเย็นชา
“ภูติสักคนรึ? หึหึ บังเอิญเหลือเกินว่าข้ามี!”
แขนซือหยูส่องแสงสีมรกต สาวน้อยในชุดสีชมพูปรากฏตัวออกมา ขนตายาวงอนราวกับพัดโบกสะบัดขับให้ดวงตากลมโตดูงดงาม
ใบหน้าเล็กกับจมูกที่ดูน่ารักประกอบคู่กับริมฝีปากสีชมพู นางดูเป็นเด็กน้อยที่น่ารักมาก ท่าทางและพลังของนางเหนือกว่าผู้ใด! นางมีพลังชีวิตที่เป็นได้แค่ของภูติเท่านั้น!
อสูรตัวแข็งทื่อและไม่พอใจอย่างมาก ซือหยูได้เรียกภูติออกมาซึ่งเป็นสิ่งที่มันไม่ได้คาดคิดมาก่อน
“จางตี๋เก้อ ฆ่ามัน!”
ซือหยูตะโกนและชี้ไปที่อสูร สาวน้อยน่ารักผู้นี้ก็คือจางตี๋เก้อนั่นเอง!
จู่นางที่พักอยู่ในหุบเขาก็ถูกซือหยูเรียกตัวออกมา การได้รับคำสั่งอย่างทันทีทันใดจากซือหยูทำให้นางขมวดคิ้วด้วยความโกรธ แต่นางก็จำได้ในทันทีว่านางเป็นทาสของเขา นางข่มความโกรธและหันไปเพ่งสมาธิกับอสูรอย่างไม่เต็มใจนัก
แค่เหลือบมองนางก็แทบอยากจะหนีออกไป นางหายใจเข้าลึกและพบว่าอสูรตนนี้อ่อนแอลงมากและดูจะไม่มีภัยมากนัก
พร้อมกันนั้นนางยังเห็นว่าอสูรกำลังถือบางอย่างที่มีสีเงินอยู่ในมือ นางมองใกล้ๆและอ้าปากค้าง
“นั่นมันหุ่นเชิดสีเงินไม่ใช่รึ?”
นางตกใจมาก นางมิอาจเชื่อสายตาตนเอง นางจ้องมองอสูรด้วยความกลัว
มันเผาหุ่นเชิดที่ทรงพลังเช่นนั้นจนมาอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง?
ใครกันที่ทำเรื่องนี้?
นางเหลือบมองซือหยูที่อยู่ด้านหลังและละสายตาไปทันที นางคิดว่าซือหยูแข็งแกร่งมาก แต่ถ้าหากเป็นในระดับนี้ นางไม่คิดว่าซือหยูจะทำได้!
“เจ้าต้องให้ข้าพูดซ้ำสองรึ?”
ซือหยูขมวดคิ้ว เขาเพิ่งจะได้นางมาเป็นข้ารับใช้ ดูเหมือนว่านางจะไม่เชื่อฟังเท่าใดนัก
จางตี๋เก้อมองซือหยูอย่างไร้อารมณ์
“เจ้าไม่ต้องพูดอีกแล้ว”
นางพูดจบและหันไปที่กลุ่มหมอกพลังภูติ นางพุ่งเข้าใส่อสูร
ปั้ง!
จางตี๋เก้อใช้ฝ่ามืออัดพลังวิญญาณรอบตัวจนกลายเป็นฝ่ามือใหญ่ นางตบเข้าไปที่อสูรผู้อ่อนแอ เขามิอาจรับมือได้เลย เกล็ดทมิฬที่เหลือบนร่างหลุดลอกออกไปเผยให้เห็นวิญญาณที่อ่อนแอภายใน
ก่อนที่มันจะได้พักหายใจ จางตี๋เก้อมาถึงตัวอีกครั้ง นางอ้าปากเล็กๆและพ่นพลังภูติกัดกร่อนออกมา
วิญญาณอสูรถูกพลังนั้นโอบล้อม มันร้องอย่างน่าเวทนา วิญญาณของมันถูกกัดกร่อนด้วยพลังภูติ! วิญญาณอสูรสั่นเครือบนพื้น มันพยายามที่จะดิ้นรน
“ฆ่ามันเร็ว! อย่าได้ปรานี!”
ซือหยูรีบสั่งก่อนที่จางตี๋เก้อจะได้รู้สึกภูมิใจในฝีมือ
จางตี๋เก้อรู้ว่านี่เป็นเวลาที่จะจบชีวิตของอสูร! แต่จู่ๆเสียงร้องครางอย่างเจ็บปวดของมันก็หยุดลง!
อสูรที่เจ็บปวดเมื่อครู่ก่อนได้ฟื้นฟูเกล็ดทมิฬกลับมาอีกครั้ง! หากมองดูใกล้ๆจะจบว่าเขาไม่ได้ปล่อยมือจากหุ่นเชิดสีเงินเลย พลังที่ล้อมรอบตัวมันสลายไปจนหมดแล้ว!
หุ่นเชิดสีเงินกลืนกินเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตมามากมาย พลังงานทั้งหมดที่เก็บสะสมมาถูกอสูรดูดซับไปแล้ว! ร่างของมันฟื้นฟูเกล็ดทมิฬขึ้นมาเจ็ดในสิบส่วนในพริบตาเดียว!
ร่างกายที่หมดสภาพได้ฟื้นฟูขึ้นมาเช่นกัน! พลังอันน่ากลัวค่อยๆปะทุออกจากร่างกายของมันอย่างช้าๆ!
อสูรยืนขึ้นอีกครั้งและสะบัดฝุ่นออกจากตัว ดวงตาสีม่วงแฝงความเจ้าเล่ห์และเย็นชา
“น่าละอายนัก ทาสเจ้าโง่พอที่จะไม่จบชีวิตข้าในตอนที่เป็นไปได้ นางให้โอกาสข้าได้ฟื้นฟูเสียอีก!”
ซือหยูมองนางอย่างเยือกเย็น ถ้าเพียงหากจางตี๋เก้อฆ่ามันให้เร็วกว่านี้! แม้ซือหยูจะสั่งนางซ้ำสองนางก็ยังไม่จริงจัง!
ด้วยความคิดอ่านของนางเช่นนี้ สถานการณ์ได้เปลี่ยนไป อสูรที่กำลังหวาดกลัวได้ฟื้นพลังกลับมา จางตี๋เก้อราวกับตื่นจากฝันเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันชั่วร้ายมหาศาล นางกำลังเจอกับศัตรูไร้เทียมทาน…นางใจเต้นระรัว
“ตอนนี้เจ้าไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว!”
อสูรหัวเราะชอบใจและหายวับไป
จางตี๋เก้อชักสีหน้า นางพยายามจะหนี! แต่พลังอันน่ากลัวของอสูรนั้นเหนือกว่าที่จางตี๋เก้อคิด คอของนางถูกกรงเล็บอสูรที่น่ากลัวบีบเอาไว้ก่อนที่จะได้ขยับไปไหน กรงเล็บนี้ยังเต็มไปด้วยเกล็ด!
พลังทั้งหมดในร่างกายของนางถูกผนึกเอาไว้ นางขยับตัวหรือสู้กลับไม่ได้เลย! จางตี๋เก้อเริ่มหวาดกลัว หัวใจของนางเต้นอย่างบ้าคลั่ง อสูรตนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว!
นางเสียใจมากที่ไม่ฟังซือหยู! ตอนนี้นางได้ทำให้ชีวิตของตัวเองแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว!
“ถ้าหากข้ากินเจ้า ข้าจะฟื้นฟูพลังได้อีกหนึ่งในสิบ…”
อสูรแสยะยิ้ม
เกล็ดในร่างของมันพุ่งบินล้อมรอบจางตี๋เก้อ ถ้าหากเกล็ดเหล่านั้นเกาะติดร่างจางตี๋เก้อ มันจะใช้เวลาไม่กี่อึดใจก่อนที่ร่างของนางจะแห้งเหือดไป!
จางตี๋เก้อตื่นกลัว นางรับรู้เป็นอย่างดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น นางโศกเศร้าอย่างมาก
ซือหยูจ้องมองอสูรอย่างเย็นชา แต่อสูรก็ยังหัวเราะไม่หยุด
“ไม่ต้องรีบร้อน พอกินนางเสร็จ ข้าก็จะเอาเจ้าตามไปด้วย มา! เล่น! กัน! เถอะ!”
เขากัดฟันพูดประโยคสุดท้าย บอกได้เลยว่าเขาชิงชังซือหยูแค่ไหน
แต่ในตอนนั้นเอง ราวกับว่าจักรวาลได้ร้องคำราม ท้องนภาแยกเป็นสอง เสียงดังลั่นดังเข้าหูทุกคน มีพลังกล้าแกร่งนี้ข่มได้แม้กระทั่งเหล่าอสูร!
อสูรหยุดมือลง มันชักสีหน้า
“นี่มันวิบัติอัสนี!”
ซือหยูผ่อนคลายลง เขาดูโล่งอก
“ในที่สุดก็มาทันเวลา…”