The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 549
ชางก่วนชิงเอ๋อมิอาจละสายตาไปจากซือหยู นางพบเจอกับความตกใจเหนือจินตนาการ นางทำได้แค่มองซือหยูที่ถูกรายล้อมไปด้วยหมู่ดาว จากนั้นก็มีลำแสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งออกจากดวงตาของเขา
ลำแดงนั้นเหมือนกับเนตรสวรรค์ที่คุมชะตาชีวิตของเหล่าสรรพสิ่งทั้งมวล ความสง่าของแสงนี้เหมือนกับแสงสวรรค์เอง!
ชางก่วนชิงเอ๋อรู้สึกอึดอัด นางรู้ว่าความสง่าผ่าเผยนี้มิใช่ของมนุษย์ แต่มันคือสวรรค์พิโรธที่มิอาจคาดเดา!
ไม่ว่าแสงเทพสวรรค์จะผ่านไปที่ใด หมูดาวก็กระจัดกระจาย เส้นโคจรหลุดหาย นี่ไม่ได้เกิดแค่เพียงเส้นโคจรที่หก แต่ยังเกิดกับเส้นที่เจ็ด แปด เก้า และดาวทุกดวงในระบบจักรวาล! แม้แต่ทางช้างเผือกเองก็อยู่ในความโกลาหล!
ราชาปีศาจ โจวจิ้ง และไป่ฉีที่โต้ตอบไม่ทันถูกพัดดึงเข้าไปในทางช้างเผือก
อั่ก!
โจวจิ้งผู้โชคร้ายที่สุดในสามคนถูกพาไปยังเส้นโคจรที่สามและหลบดาวดวงที่สามได้หวุดหวิด! แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่าดาวดวงที่สามจะโคจรมาในทิศทางตรงกันข้าม!
ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน เหล่าดวงดาวไม่ได้ขวางทางถูกรุกล้ำเท่านั้น แต่มันกลับกระแทกอย่างแรง! ด้วยพลังมหาศาล พลังชีวิตที่ป้องกันร่างกายของเขาพังทลายลง
อกของเขาฉีกด้วยแรงกดดัน ซี่โครงหักทะลวงออกมาจากอก ทั้งร่างของเขาถูกดึงเข้าไปในส่วนลึกของทางช้างเผือก ความเจ็บปวดที่รู้สึกได้นั้นโหดร้ายเสียยิ่งกว่าความตาย!
ใบหน้าของราชาปีศาจและไป่ฉีเปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อมองทางช้างเผือกที่ดูดทุกสิ่งเข้าไป พวกเขาอยู่ในวงโคจรชั้นนอกและเห็นทุกสิ่งว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาเองยังถูกดึงเข้าไปภายใน
พวกเขาเริ่มหวาดวิตก ทั้งทางช้างเผือกราวกับคลื่นที่หมุนไม่หยุดหย่อน! ที่กลางวายุหมุนมีชายหนุ่มผมสีเงินยืนจับมือหญิงสาวอยู่ ทั้งคู่ยืนอยู่อย่างสงบในศูนย์กลาง
ดาวทุกดวงโคจรรอบชายหนุ่มราวกับเขาคือราชาในดินแดนแห่งนี้ ซือหยูจับมือเซี่ยจิงหยูก้าวไปข้างหน้าท่ามกลางสายตาคนรอบๆที่จับจ้อง
เมื่อเขาก้าวเดิน ทั้งทางช้างเผือกก็จะขยับเคลื่อนไปตามเขา คลื่นรุนแรงที่ดูดทุกสิ่งเคลื่อนไหวไปพร้อมกับฝีเท้า ไม่ว่าเขาจะเดินไปที่ใดที่นั่นก็จะเป็นศูนย์กลางใหม่ของจักรวาล
ซือหยูก้าวไปยังส่วนลึกของลำดับเวท ไม่กี่วินาที พวกเขาก็ไปถึงเส้นโคจรที่เก้า
ไป่หยีเจี้ยนมองบุรุษผมสีเงินอย่างไม่เชื่อสายตา
“ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์! ด้วยอายุเท่านี้! เป็นไปได้ยังไงกัน?”
ชางก่วนชิงเอ๋อตาเป็นประกาย นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าซือหยูยิ่งใหญ่กว่าที่นางเห็น
แม้แต่ดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปด มีแต่ผู้เฒ่าที่แข็งแกร่งราวสัตว์ประหลาดและใช้ชีวิตมานานหลายปีเท่านั้นที่จะมีเวลาได้เข้าถึงฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์! เป็นเรื่องเหนือจินตนาการที่ฎีกาสวรรค์ระดับนี้จะเกิดจากคนที่อายุเพียงไม่กี่ปี!
ชางก่วนชิงเอ๋อตกใจในขั้นต้น แต่นางก็เริ่มจมอยู่ในความคิด…
เขามีสายเลือดโบราณแบบไหนกัน? ทำได้ทั้งดูดซับพลังปนเปื้อน ควบคุมห้วงเวลา และเขายังมีพลังฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์อีก…
เป็นครั้งแรกที่ชางก่วนชิงเอ๋อสงสัยในสถานะของซือหยู นั่นไม่ใช่เพราะว่าสายเลือดโบราณของเขาอ่อนแอเกินไป แต่เป็นเพราะพลังของเขานั้นเหนือยิ่งกว่าคำว่าแข็งแกร่งและไม่ได้คล้ายกับสายเลือดโบราณเลย
ซือหยูกำลังใช้เนตรสวรรค์ที่เขาถนัด ต่อหน้าพลังอันยิ่งใหญ่ เส้นโคจรของฎีกาสวรรค์ย่อมพังทลาย
เซี่ยจิงหยูตามซือหยูอย่างเงียบเชียบ นางยิ้มออกมาเบาๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอ ไม่ว่าจะเวลาหรือที่ใด ซือหยูจะเป็นคนปกป้องนางเสมอ เขาช่วยให้นางหนีได้จากสถานการณ์อันตรายและทำให้นางปลอดภัยเสียทุกครั้ง
ตั้งแต่แรกเริ่มหลายปี ไม่ว่านางจะแข็งแกร่งขึ้นมากเท่าใด ชายคนนี้ก็จะแข็งแกร่งกว่านางเสมอ ดังนั้นแล้ว อย่างน้อยในโลกใบนี้ เขาคือชายคนเดียวที่ทำให้นางรู้สึกถึงความสงบนิ่งและปลอดภัย
ทั้งสองยืนอยู่กลางทางช้างเผือก ซือหยูมองเซี่ยจิงหยูที่หัวเราะเบาๆโดยไม่มีเหตุผล เขาถามนาง
“มีอะไรตลกรึ? ข้าคิดว่าเจ้าจะแปลกใจเสียอีก”
ในด้านวิชาบ่มเพาะ ซือหยูเหนือกว่าเซี่ยจิงหยูในเรื่องฎีกาสวรรค์เท่านั้น
เซี่ยจิงหยูหัวเราะราวกับดอกไม้บาน นางตอบกลับ
“ข้าจะต้องแปลกใจอันใด ไม่ว่าพี่หยูจะเติบโตเท่าใด พี่ก็คือพี่หยู!”
ซือหยูยิ้มและเพ่งสมาธิกับลำดับเวททางช้างเผือกต่อไป ทุกสิ่งในทางช้างเผือกถูกพลังดูดมาหาเขา สิ่งเดียวที่ไม่ขยับไปไหนคือดาวดวงใหญ่ดวงหนึ่ง
นี่คือส่วนที่ประหลาดในทางช้างเผือก ส่วนนี้ไม่เคยมีลูกหลานผู้เฝ้าสมบัติคนใดได้ย่างกรายแม้จะผ่านมาหลายยุคสมัย พวกเขาเพียงแค่มาถึงเส้นโคจรที่แปดและไม่เคยไปถึงเก้า
“จิงหยู แก่นแท้วิญญาณที่เจ้าพูดถึงหน้าตาเป็นยังไงรึ?”
ซือหยูใช้เนตรวิญญาณมองดูดาวดวงนั้น
เซี่ยจิงหยูส่ายหน้าเบาๆ
“ข้าไม่รู้! มันเร็วมาก! ไม่มีเห็นมันชัดๆเลย ชางก่วนชิงเอ๋อจะบอกว่ามันเป็นแก่นแท้วิญญาณได้ก็ตอนที่มันจู่โจมพี่หยูเท่านั้นเอง!”
ซือหยูแตะปลายคาง ใบหน้าเขาดูแปลกไป
“พี่หยู พี่เจอแก่นแท้วิญญาณงั้นหรือ?”
เซี่ยจิงหยูตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
ซือหยูใช้ความคิดและส่ายหน้า
“นั่นแหละที่แปลก พวกเจ้าทุกคนเห็นแก่นแท้วิญญาณหนีมาที่นี่ แต่ก็ไม่ได้มีวิญญาณแบบนั้นอยู่ที่นี่หรอก”
“เป็นไปได้ยังไงกัน?”
เซี่ยจิงหยูขมวดคิ้ว
“ต้องไม่ใช่อย่างนั้นแน่ ข้าอาจจะเชื่อถ้ามีแค่คนเดียวที่ตาฝาด แต่ทุกคนเห็นมันกับตา! มันมาซ่อนที่กลางลำดับเวทจริงๆนะ”
“หรือว่ามันะจะใช้วิชามิติได้และหนีไปแล้ว?”
เซี่ยจิงหยูผิดหวังเป็นอย่างมาก
แต่ซือหยูก็ไม่ได้ผิดหวังเลย เขากลับแสดงความตื่นเต้น
“เราไม่ได้เสียแรงเปล่า วัตถุดิบในดาวดวงนี้ประเมินค่ามิได้เลย!”
ซือหยูคว้าตัวเซี่ยจิงหยูและโดดขึ้นดาวดวงนั้น ดาวดวงนี้แข็งแรงจนน่ากลัว แม้ว่าซือหยูกับเซี่ยจิงหยูจะเหยียบ มันก็ไม่ได้สั่นแม้แต่น้อย มันถูกสร้างมาอย่างดี!
แต่เขาก็ไม่มีเวลาจะตรวจสอบดาวดวงนี้ เขารีบไปยังแท่นศิลาบนดาว แท่นนี้ปกคลุมไปด้วยฝุ่น
เขาเห็นกล่องเหล็กสีดำสามกล่องบนแท่นศิลา แต่ละกล่องนั้นส่องประกายแสงสีดำ! ทุกกล่องยังดูใหม่เอี่ยมและไม่มีฝุ่นเกาะอยู่เลย!
หากมองให้ดีจะพบว่ากล่องเหล็กนั้นเปล่งแสงสีดำออกมาเองโดยไม่ได้สะท้อนกับแสงจากภายนอก ดูเหมือนมันจะเป็นพลังที่ทำให้ฝุ่นเกาะบนกลบ่องไม่ได้ กล่องนี้ดูคุ้นเคยต่อซือหยูอย่างประหลาด…
ที่ก้นบ่อลาวาในที่เก็บสมบัติช่างฝีมือมีกล่องที่ดูคล้ายกัน ซือหยูได้มันมาจากที่เก็บวิชาช่างลับสวรรค์พร้อมกับเศษวิชาระดับภูติ!
กล่องเหล็กนี้เองก็เป็นสมบัติที่มีค่ามากอยู่แล้ว แต่สิ่งที่อยู่ภายในนั้นล้ำค่ากว่ามาก!
“กล่องตรงกลางมีของที่มีคุณสมบัติสายฟ้าอยู่ นั่นเป็นของข้า ส่วนอีกสองกล่องที่เหลือ เจ้าเลือกเอาไปหนึ่งอย่าง ที่เหลือเราจะแบ่งเท่ากัน”
ซือหยูตื่นเต้นมาก
แม้ว่าเนตรวิญญาณจะไม่เห็นภายในกล่องดำ ต้นแบบสมบัติภูติที่เขามีก็สัมผัสบางอย่างที่อยู่ภายในได้! ตราสายฟ้าห้าธาตุของเขาจะสัมผัสได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…นั่นคือวิบัติอัสนี!
ดูเหมือนว่ามันจะแข็งแกร่งขึ้นโดยการดูดซับวิบัติอัสนี! นี่คือตราสายฟ้าห้าธาตุ!
กล่องดำกล่องหนึ่งมีวิบัติอัสนีอยู่ภายใน! และถ้าหากเทียนจี่จื้อทิ้งมันเอาไว้ มันก็ควรจะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม!
“ข้าจะทำอย่างที่พี่หยูบอก”
เซี่ยจิงหยูตาเป็นประกาย นางมาได้ไกลขนาดนี้ก็เพราะซือหยูแต่เพียงผู้เดียว การได้แบ่งสมบัติโดยเท่าเทียมกันทำให้นางรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก
ซือหยูพยายามจะดึงกล่องดำเข้าหาตัวและจะเปิดมันในภายหลังเมื่อมีเวลา แต่เขาก็พบว่ากล่องนั้นหนักมาก หนักยิ่งกว่ากล่องในก้นบ่อลาวา! ไม่มีทางเลยที่เขาจะเก็บมันใส่แหวนได้
ทางเดียวคือเขาต้องเปิดมันที่นี่ ที่ที่ไม่ไกลจากสายตาคนอื่นที่จะบอกได้ว่าของข้างในคืออะไร นี่เป็นสิ่งที่ซือหยูอยากจะหลีกเลี่ยง
ซือหยูค่อยๆใช้พลังวิญญาณปลดสลักของกล่องดำ
แกร๊ก!
กล่องเปิดออก สายฟ้าทมิฬพุ่งออกมาจากกล่องพุ่งไปหาซือหยู มันคืออัสนีทมิฬ!
อัสนีทมิฬนั้นต่างจากสายฟ้าทั่วไปมาก มันไร้ทั้งเสียงและมีการเคลื่อนตัวที่ต่างจากสายฟ้าอื่น มันไม่ใช่สายฟ้าทั่วไปที่จะส่งเสียงดังและเสียงระเบิด
ซือหยูหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง หัวใจเต้นอย่างงแรง เขาราวกับเทียนที่กำลังจะดับ
ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูพยายามจะถอยออก ไป่หยีเจี้ยนกับชางก่วนชิงเอ๋อมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความคาดหวัง
หลังจากที่เห็นสายฟ้าทมิฬ ทั้งสองสีหน้าเปลี่ยนไปราวกับพวกเขาได้เป็นอสูรที่น่ากลัว ทั้งคู่รีบถอยหนีทันที
ชางก่วนชิงเอ๋อตะโกนด้วยความตกใจ
“อัสนีสวรรค์ทมิฬจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีคนมาขโมยของของผู้สร้างสรรพสิ่งเท่านั้น!”
น้ำเสียงของนางทั้งตกใจและหวาดกลัวอย่างหยั่งไม่ถึง
ซือหยูตกใจไม่ต่างกัน สายฟ้าทมิฬนั้นน่ากลัวมาก! เขาเตรียมที่จะหลบ
สายฟ้าเกือบจะไม่พลาดเขา! สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปทำให้ทุกคนตัวสั่นด้วยความกลัว…
สายฟ้าทมิฬพุ่งไปยังระยะไกล ทุกอย่างที่สัมผัสกับมันกลายเป็นฝุ่นผงและพัดปลิวหายไป!
เหล่าดวงดาวที่นี่แข็งแรงมาก แม้แต่ลูกหลานคนเฝ้าสมบัติที่พยายามมาหลายร้อยปีก็มิอาจทำลายได้แม้แต่ดวงเดียว! แต่สายฟ้าทมิฬนี้กลับทำให้เหล่าดาวนี้กลายเป็นฝุ่นได้อย่างง่ายดาย!
ปรากฏการณ์นี้ทำให้คนที่เห็นต้องกลั้นหายใจ! คลื่นสายฟ้าทมิฬปรากฎออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย พวกเขาสงสัยว่ามันจะคร่าชีวิตพวกเขาไปหรือไม่!
ทุกคนให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่ภายในกล่องดำ พวกเขามองเห็นเส้นไหมสีดำ เส้นไหมสีดำจำนวนมากนั้นคือต้นกำเนิดของวิบัติอัสนีทมิฬ
ไป่หยีเจี้ยนรู้สึกยินดีอย่างมาก
“นั่นมันสายใยมังกร! มันคือสายในมังกรของแก่นแท้วิญญาณมังกร!”
แก่นแท้วิญญาณมังกรรึ? ซือหยูตกใจไม่ต่างกัน!
“ผู้สร้างสรรพสิ่งผู้นี้เคยเดินทางกับผู้สร้างสรรพสิ่งอีกคนที่เป็นสหาย ในซากโบราณ พวกเขาเจอซากของแก่นแท้วิญญาณมังกรที่ไม่เคยเน่าเปื่อย มันคือสายใยมังกรที่ได้มาจากซากของแก่นแท้วิญญาณมังกร!”
ไป่หยีเจี้ยนมีความสุขจนยากจะอธิบาย