The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 547
ในเวลาสำคัญ ไป่หยีเจี้ยนแทรกเข้ามาบดขยี้พลังที่ก่อตัวจากฎีกาสวรรค์! ซือหยูไม่แปลกใจเลยที่เขาจะเข้ามายุ่ง
เพราะมันก็คงจะแปลกไปหน่อยหากเขาจะปล่อยให้บุตรชายถูกสังหารต่อหน้าต่อตา! แต่ที่เขาตกใจจริงๆก็คือฎีกาสวรรค์ของไป่หยีเจี้ยน
การทำลายฎีกาสวรรค์ด้วยมือเปล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่คนที่มีฐานพลังสูงเพียงอย่างเดียวจะทำได้ แต่เขาจะต้องมีฎีกาสวรรค์ในระดับสูงด้วย!
ฎีกาสวรรค์ของไป่หยีเจี้ยนดูจะเหนือกว่าระดับเทพ ดังนั้นซือหยูจึงสงสัยว่าไป่หยีเจี้ยนน่าจะมีฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์เหมือนกับเขา
แต่หลังจากที่คิดดูซือหยูก็คิดว่าอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะถ้าไป่ฉีเจี้ยนมีฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์จริงๆ เขาก็คงจะไม่ถูกฎีกาสวรรค์ที่เทียนจี่จื้อทิ้งเอาไว้หยุดไม่ให้เขาเข้าไปถึงสมบัติได้
แม้เทียนจี่จื้อจะมีฐานพลังที่สูงมาก ฎีกาสวรรค์ที่เขาทิ้งเอาไว้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะประเมินได้เลย เพราะอย่างไรซือหยูก็ได้เห็นเจตนารมย์สุดท้ายที่เทียนจี่จื้อทิ้งเอาไว้ด้วยตัวเอง
ถ้าหากเขาคิดถูก ฎีกาสวรรค์ในลำดับเวททางช้างเผือกจะต้องอ่อนแอลงมาหลังจากที่ผ่านเวลาหลายยุคสมัย มันมิได้ทรงพลังดังแต่ก่อนแล้ว พลังที่เหลือคงเหนือกว่าฎีกาสวรรค์ระดับเทพไม่กี่ขั้น
เห็นได้ชัดเลยว่าฎีกาสวรรค์ของไป่หยีเจี้ยนนั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับพลังของฎีกาสวรรค์ที่นี่เลย
“ถ้าข้าไม่ลงแรงสักหน่อย เจ้าก็จะปล่อยให้ลูกชายเจ้าลอบฆ่าข้าไม่ใช่รึ?”
ซือหยูพูดลอยๆ
ตั้งแต่ต้น ลูกชายของเขาเป็นฝ่ายที่หาเรื่องซือหยูอย่างไม่มีเหตุผลก่อน แม้ว่าซือหยูจะปล่อยให้เขามีชีวิตรอด ไป่ฉีก็ยังไม่รู้จักเรียนรู้ เขาพยายามจะลอบโจมตีซือหยูอีก!
และตลอดเวลา คนที่ควรจะแทรกแซงได้ก็คือไป่หยีเจี้ยน แต่เขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
แต่เมื่อเรื่องเกินไปกว่าที่เขาคาดคิด และเมื่อลูกชายเขากำลังจะตายจริงๆ เขาก็เข้ามาขวางโดยทันที
สายตาไป่หยีเจี้ยนเยือกเย็นลง
“หนุ่มน้อย ลูกชายข้าผิดก็จริง แต่ทำไมเจ้าจะต้องร้ายกับเขานักเล่า?”
“เจ้าจะพล่ามอะไรก็เรื่องของเจ้า”
ซือหยูไม่ตอบตรงๆ เขากลับถากถางโดยไร้อารมณ์กลับไป
ไป่หยีเจี้ยนตกตะลึง เขามองแววตาซือหยูที่ลึกล้ำและดูประหลาดกว่าปกติ เขาแอบตกใจ
ไป่หยีเจี้ยนชักสีหน้าเล็กน้อย เขาพยายามจะปิดซ่อนอารมณ์ของตัวเอง เขาเพ่งมองซือหยูต่อไปและถอนหายใจออกมา
“ข้าจะปล่อยเรื่องนี้ไป แต่หลังจากเรื่องที่นี่จบลง เจ้าจะต้องให้คำอธิบายกับข้า!”
ชางก่วนชิงเอ๋อ ราชาปีศาจ และโจวจิ้งตัวสั่นเบาๆ พวกเขาสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป…
หรือว่าจะมีเรื่องระหว่างซือหยูกับไป่หยีเจี้ยนที่ไม่มีใครรู้?
โอ้? ซือหยูเลิกคิ้วเบาๆ คำอธิบายรึ?
“วิธีที่เจ้าได้สร้างแก้วพลังชีวิตดวงแรกเป็นกึ่งเทพ ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ดี ข้าที่เป็นผู้เฝ้าสมบัติและลูกหลานของผู้เฒ่าจะต้องหาเหตุผลที่แท้จริง!”
ไป่หยีเจี้ยนจ้องมองซือหยู
ซือหยูถอนหายใจ สุดท้ายไป่หยีเจี้ยนก็ยังรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น
แม้ว่าเขาพยายามอย่างมากที่จะปิดบังในเวลาที่เขาใช้สมบัติศักดิ์สิทธิ์ไม่ให้ชางก่วนชิงเอ๋อรู้และยังทำให้นางเข้าใจผิดว่าเขามีสายเลือดโบราณ เขาก็มิอาจปิดบังจากไป่หยีเจี้ยนได้ นั่นก็เพราะไป่หยีเจี้ยนรู้จักที่นี่ดีกว่าผู้ใด
อะไรกันคือสิ่งที่ทำให้สระวิญญาณที่มีพลังเหลืออยู่น้อยนิดทำให้คนที่เป็นกึ่งเทพกลายเป็นกึ่งภูติได้เล่า?
มันจะต้องเป็นศิลาวิญญาณปนเปื้อน…ไป่หยีเจี้ยนคิด
เขาที่เป็นลูกหลานศิษย์เทียนจี่จื้อคือคนที่รู้เรื่องสมบัติที่ทำให้สิ่งปนเปื้อนถูกชำระล้าง และเมื่อซือหยูปะทะกับไป่ฉีจนต้องเผยฐานพลังจริงออกมา ไป่หยีเจี้ยนจึงฉุกคิดขึ้นมาได้
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับมัน เขาทำตามแผนและแอบเตรียมการจู่โจมซือหยูในทันทีที่เขาได้โอกาส! นั่นคือเหตุผลที่ไป่หยีเจี้ยนทำตัวแปลกๆ!
แต่เขาก็ไม่ได้อธิบายว่าทำไมเขาถึงสั่งให้ซือหยูอธิบายกับเขา…
“หึหึ แล้วถ้าข้าบอกว่าไม่ล่ะ?”
ซือหยูถามกลับ
จากคำสั่งเสียของเทียนจี่จื้อ ศิษย์ทั้งสามและลูกหลานจะต้องรับไม้ต่อในการเฝ้าสมบัติรุ่นสู่รุ่นจนกว่าจะมีคนนำสมบัติออกไป แต่เมื่อมาถึงรุ่นของไป่หยีเจี้ยน เขาก็ได้คิดริเริ่มที่จะชิงสมบัติมาเป็นของตน เขาไม่เพียงแต่จะขโมยสมบัติอื่น แตเขาก็วางกับดักที่คร่าชีวิตได้สังหารคนที่มาเพื่อบ่มเพาะพลัง!
แม้ว่าเรื่องชั่วร้ายทั้งหมดจะผ่านไป เขาก็ยังสั่งให้ซือหยูอธิบายอย่างไร้ยางอาย เขาใช้ฐานะของลูกหลานศิษย์เทียนจี่จื้อในการพูดเช่นนั้น!
“คิดว่าเจ้าเลือกได้งั้นรึ?”
ไป่หยีเจี้ยนตอบกลับอย่างเด็ดขาด
“เจ้าออกมาจากที่เก็บสมบัติเมื่อไหร่ ข้าจะสืบเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเจ้าด้วยตัวเอง”
เขาพูดจบและหันไปพูดกับคนอื่น
“ลงมือซะ เจ้าจะเข้าไปได้สำเร็จหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพลังของพวกเจ้า”
ไป่หยีเจี้ยนพูดจบและหลับตาพักฟื้นพลัง ซือหยูหรี่ตาแอบหัวเราะ ไป่หยีเจี้ยนนั้นคิดว่าทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของเขา!
ซือหยูรีบซ่อนสีหน้าและเหลือบมองไป่ฉีที่ยังไม่หายตกใจ
แม้เขาจะไม่พูดอะไร การกระทำที่ไม่สนใจอะไรของเขาก็ทำให้ไป่ฉีรู้สึกแย่ยิ่งกว่าการโดนถากถางเสียอีก!
ไป่ฉีคิดมาตลอดว่าเขาแข็งแกร่งกว่าซือหยู แต่ในความจริงซือหยูกลับเหนือกว่าเขาในทุกด้าน! ความคิดของโจวจิ้งก็ไม่ต่างกับไป่ฉี
เขาเห็นว่าซือหยูแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้ในทีแรก เขามีพลังการต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นมามหาศาลเมื่อเป็นกึ่งภูติงั้นรึ?
โจวจิ้งไม่ได้คิดว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่าไป่ฉีเลย ดังนั้นเขาจึงสั่นด้วยความกลัว!
ซือหยูไม่สนใจสายตารอบๆ เขาเข้าไปยังลำดับเวทกับเซี่ยจิงหยู จากนั้นราชาปีศาจและโจวจิ้งก็ตามพวกเขาไป
ไป่ฉียังคงจ้องมองแผ่นหลังของซือหยู เขากัดฟันตามซือหยูไป
เมื่อไปถึงลำดับเวท ซือหยูรู้สึกได้ว่าเขากำลังเข้าสู่ห้วงเวลาที่ต่างออกไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกถึงแรงกดดัน เขาก็รู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของเขาช้าลงเล็กน้อย ราวกับว่าเขาเข้าไปอยู่ในอีกมิติที่ขยับตัวได้ช้ากว่าเดิมมาก
ซือหยูยังรู้สึกได้ถึงฎีกาสวรรค์ที่อยู่รอบตัว ด้วยผลจากฎีกาสวรรค์ ทุกสิ่งเคลื่อนไหวตามเส้นทางของมัน
สุริยันจันทราและหมูดาราในวงโคจร แม้แต่ผู้รุกล้ำและห้วงเวลา…ทุกสิ่งถูกควบคุมโดยฎีกาสวรรค์ ถ้าหากมิอาจทนรับฎีกาสวรรค์ได้ คนที่เข้ามาก็จะถูกส่งออกไปจากเส้นทาง
“นี่คือฎีกาสวรรค์ของเทียนจี่จื้อรึ?”
ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูปล่อยฎีกาสวรรค์ระดับเทพแบบเดียวกันออกมาพร้อมกัน ฎีกาสวรรค์ของซือหยูนั้นเป็นธรรมชาติในห้วงของสายฟ้าและน้ำแข็ง ยากที่จะมองเห็นได้ด้วยตา
ซือหยูเห็นในฎีกาสวรรค์ของเขาว่ามีความไม่สมดุลอยู่ในลำดับเวททางช้างเผือก นี่คือผลจากฎีกาสวรรค์ที่ทำให้วงโคจรของหมู่ดาวเปลี่ยนไป
และด้วยความทรงอำนาจของฎีกาสวรรค์นี้เอง ไม่นานหลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลง เส้นวงโคจรก็เริ่มที่จะดึงดูดซือหยูกับคนที่เหลือเข้าไป
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมิอาจหนีรอดจากพลังของฎีกาสวรรค์นี้ได้เลย!