The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 537
“ไป่หยีเจี้ยน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ชางก่วนชิงเอ๋อแปลกใจ แววตาของนางดูตกใจ นางพูดราวกับว่านางไม่เข้าใจอะไรเลย
“สระวิญญาณลับสวรรค์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เทียนจี่จื้อทิ้งเอาไว้ให้กับลูกหลานที่ปกป้องสมบัติอย่างพวกเจ้า ต่อให้เป็นผู้คุ้มกันอย่างพวกเจ้าเองก็มีไม่กี่คนที่จะมีสิทธิ์ไปบ่มเพาะที่สระวิญญาณลับสวรรค์ ไม่ใช่หรอกรึ?”
สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เทียนจี่จื้อทิ้งเอาไว้รึ? ดูเหมือนว่าก่อนที่เทียนจี่จื้อจะตาย เขาจะไม่ลืมที่จะดูแลศิษย์ของตนและลูกหลาน แต่ลูกหลานเหล่านั้นก็ลืมความปรารถนาของคนรุ่นก่อนไปจนหมายตาเอาสมบัติทั้งหมด
“ฮ่าๆๆ ถ้าข้าพูดแล้วมันก็เป็นไปได้ทั้งนั่น อยู่ที่พวกเจ้าจะเชื่อข้าหรือไม่ ตั้งแต่นี้ไป ห้าคนที่ผ่านป่าได้ในเวลาสั้นที่สุดจะได้ไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลข้า!”
ไป่หยีเจี้ยนพูดอย่างหนักแน่น
เหล่าผู้คนที่ไม่สนใจป่ารูปปั้นราวกับถูกมอมยา พวกเขาตื่นเต้นและดูเหมือนว่าจะไปที่นั่น
ชางก่วนชิงเอ๋อเดินเข้ามาขณะที่ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูยังสงสัย
“พี่หิมะทมิฬ ถ้าท่านคิดจะไป ชิงเอ๋อจะพาท่านไป ข้ารับงานยากที่เหนือกว่าพลังที่ข้ามีและพาผู้หญิงงคนนี้ไปด้วยได้”
เมื่อคนอื่นได้ยินคำพูดของนางก็เกิดความโกลาหลอีกครั้ง ถ้าเช่นนั้น ในบรรดาห้าช่องว่างก็ต้องโดนแย่งเอาไปสามตำแหน่งในทันที
ก่อนที่ชางก่วนชิงเอ๋อจะสำเร็จขอบเขตภูติ นางได้ผ่านป่ารูปปั้นสำเร็จ แล้วถ้าหากนางสำเร็จขอบเขตภูติแล้วเล่า? บางทีการพาสองคนไปอาจจะยากสำหรับนาง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่นางจะได้หนึ่งในห้าลำดับแรก
ซือหยูขมวดคิ้ว
“ไม่จำเป็น เราไม่ต้องเสี่ยงโดยไร้เหตุผล”
เขายังไม่แน่ใจในสิ่งที่เรียกว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แค่คำพูดอย่างเดียวว่าชำระล้างพลังวิญญาณและเพิ่มฐานพลังนั้นไม่เพียงพอสำหรับซือหยูที่จะรับรู้ว่าสระวิญญาณลับสวรรค์เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่
“ฮ่าๆๆ พี่หิมะทมิฬคิดอ่านได้เร็วจริงๆ สระวิญญาณลับสวรรค์สร้างจากพลังพิเศษของผู้สร้างสรรพสิ่ง ราชามนุษย์อย่างพี่หิมะทมิฬจะไปถึงระดับกึ่งเทพได้อย่างง่ายดาย ถ้าโชคดีพอ พี่อาจจะสร้างแก้วพลังชีวิตดวงแรกได้ด้วย”
ชางก่วนชิงเอ๋อกระพริบตา
อะไรนะ? ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูตกตะลึง
ในทวีปเฉินหลง อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องรวบรวมพลังหนึ่งปีในการเปลี่ยนจากราชามนุษย์เป็นกึ่งเทพ นี่คือขีดจำกัดของซือหยูกับเซี่ยจิงหยูที่มีพรสวรรค์มากเป็นพิเศษ และการสร้างแก้วพลังชีวิตขณะที่เป็นกึ่งเทพนั้นก็ต้องใช้เวลาถึงสองปี
แต่สระวิญญาณที่พูดถึงนี้กลับทำให้เขาสำเร็จขั้นกึ่งภูติได้อย่างง่ายๆ และมันยังมีผลมากถึงขั้นที่จะทำให้ซือหยูและเซี่ยจิงหยูก้าวกระโดดไปสร้างแก้วพลังชีวิตได้อีก! โอกาสเช่นนี้เป็นโอกาสที่หาได้ยากและไม่เคยคาดคิด
“พี่หิมะทมิฬว่าอย่างไรล่ะ?”
ชางก่วนชิงเอ๋อพูดด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนว่านางจะเห็นความสนใจจากซือหยู
เมื่อเซี่ยจิงหยูมองชางก่วนชิงเอ๋อ นางก็สงบเสงี่ยมลง เมื่อมาถึงตอนนี้ นางเข้าใจแล้วว่าซือหยูไม่เคยเจอชางก่วนชิงเอ๋อมาก่อนจริงๆ ทุกสิ่งเป็นเพียงแค่นิสัยที่เข้ากับคนง่ายของชางก่วนชิงเอ๋อ!
“พี่หยู ให้ข้าลองก่อนนะ”
เซี่ยจิงหยูหยิบเข็มขนนกแห่งความมืดออกมา ในสถานะที่วิชาวารีแข็งแกร่งขึ้น พลังของนางเทียบได้กับกึ่งภูติที่มีแก้วพลังชีวิตสองดวง
นางไม่อยากจะให้ซือหยูติดหนี้ชางก่วนชิงเอ๋อเพราะนาง
ชางก่วนชิงเอ๋อมองผ่านเซี่ยจิงหยู
“พลังของเจ้าตอนนี้ดีแต่ละส่งตัวเองไปตายเท่านั้น เจ้าคิดว่าวิชาวารีจะลบล้างผลของพลังที่ทำให้เจ้ากลายเป็นหินได้รึ? พลังนั่นไม่ใช่ไอหมอกอย่างที่เจ้าเห็น มันคือการโจมตีในระดับจิต วิชาวารีของเจ้าก็แค่ใช้วัตถุในการโจมตี มันใช้ไม่ได้กับพลังนั่น”
การโจมตีทางจิตรึ? ซือหยูแปลกใจมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจางตี๋เก้อที่เป็นภูติจึงกลายเป็นหิน ถ้าหากเข้าป่ารูปปั้นไปโดยไม่รู้อะไร นั่นก็ยากมากที่เขาจะป้องกันตัวเองได้
“ถ้าเจ้ามีสมบัติวิเศษที่จะป้องกันดวงวิญญาณ ก็ทำเหมือนกับว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”
ชางก่วนชิงเอ๋อแสร้งยิ้ม
เซี่ยจิงหยูขมวดคิ้วเบาๆ แม้นางจะเชี่ยวชาญวิชามากมาย นางก็ขาดพรสวรรค์ในด้านวิญญาณ และนางก็ไม่เคยเรียนรู้วิชาที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณเลย
ในตอนนั้น ในที่สุดก็มีคนที่มิอาจต้านทานสิ่งลวงใจจากสระวิญญาณลับสวรรค์ได้ พวกเขาเริ่มลงมือ เหล่ากึ่งภูติที่มีแก้วพลังชีวิตหนึ่งดวงเริ่มไปยังขอบพื้นที่ลานนกกระจอกเทวะด้วยความระมัดระวัง
เบื้องล่างคือป่ารูปปั้นที่มีหมอกหนา ยอดฝีมือมากมายกลายเป็นหินในที่นั่นและเป็นสิ่งเดียวกับผืนป่า
ผู้คนใจเย็นลงและมองเหล่ากึ่งภูติที่จะพยายามผ่านป่ารูปปั้นเป็นกลุ่มแรก
กึ่งภูติที่มีแก้วพลังชีวิตหนึ่งดวงจ้องมองรูปปั้นในป่า มันดูราวกับว่าพวกเขาได้เผชิญหน้ากับศัตรู พลังวิญญาณและพลังชีวิตทั้งหมดถูกปล่อยออกมาปกคลุมร่างกาย นี่คือการป้องกันในระดับแรก
จากนั้นพวกเขาก็หยิบเอายันต์ที่ใช้ป้องกันมาแปะไว้ที่หน้าผาก ยันต์ปล่อยแสงสีอำพันออกมาปกคลุมกาย
“ยันต์ป้องกันของขอบเขตภูติรึ?”
ผู้ตนตกใจ ยอดฝีมือกึ่งภูติผู้นี้แม้จะมีรูปลักษณ์น่าเกลบียด เขาก็มียันต์คุ้มกันระดับขอบเขตภูติ เหล่าผู้คนตกใจเป็นอย่างมาก
จากนั้นเขาก็หยิบเอากงล้อคู่ออกมา เมื่อขาทั้งสองข้างเหยียบ ล้อก็หมุนอย่างรวดเร็ว คลื่นลมรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้หมอกหนาพัดพาออกไป
“สมบัติที่ช่วยเร่งความเร็วรึ? หรือว่ามันจะเป็นล้อเหยียบเวหาที่เป็นสมบัติกึ่งวิญญาณ? สมบัตินั่นเป็นของยอดเยี่ยมของโลกมิใช่รึ? ทำไมถึงมาอยู่ในมือของยอดฝีมือเร่ร่อนได้เล่า?”
“เดี๋ยวก่อน! หรือว่าเขาจะเป็นลี่เซียงที่ขืนใจสตรีในดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปด? ได้ยินว่าเขาจะออกล่าหญิงสาวทุกวัน เหล่าหญิงสาวนับไม่ถ้วนจากตระกูลที่ได้รับการยอมรับทุกข์ทรมานเพราะเขา แม้แต่ยอดฝีมือหญิงจากดินแดนพรสวรรค์ก็ทรมานจนเกือบตาย เขาถูกตราหน้าว่าเป็นยอดฝีมือชั่วร้ายที่ต้องตาย และเขาก็ถูกคนในขอบเขตภูติไล่ล่ามาก่อน แต่เขาก็ใช้ล้อเหยียบเวหาหนีรอดมาได้ง่ายๆ!”
ทุกคนใจหาย ด้วยวิชาตัวเบาของลี่เซียง เขาอาจจะเร็วจนผ่านป่ารูปปั้นและไปถึงที่เก็บสมบัติก็ได้
“เร็วเข้า หยุดมัน!”
ไม่รู้ว่าใครตะโกนขึ้นมา แต่ก็มีหลายคนรีบพุ่งเข้าไปคว้าตัวลี่เซียง
หลายสิบคนพุ่งตามๆกันไป พวกเขาจะไม่ปล่อยให้ลี่เซียงมีโอกาส มีโอกาสที่เขาจะชิงที่ว่างของตัวเองได้!
แต่ลี่เซียงก็เตรียมการไว้แล้ว เขาหัวเราะ ร่างกายปล่อยแสงสีแดงออกมาคลุมร่าง ล้อเหยียบเวหาใต้เท้าหมุนอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาหายไปจากจุดที่ยืนอยู่
เขาปรากฏตัวอีกครั้งในระยะพันศอก เขาผ่านพื้นที่ป่ารูปปั้นส่วนใหญ่ไปแล้ว
ในพริบตาเดียวเขาก็ห่างไปอีกพันศอก เมื่อเหล่าหนอนจากป่าผุดขึ้นมา ลี่เซียงก็ขยับไปได้หมื่นศอกแล้ว เขาผ่านดินแดนของป่าไปหนึ่งในสาม
ชางก่วนชิงเอ๋อพยักหน้า
“ความเร็วของเขาไม่เลว เร็วกว่าข้าในปีก่อนเยอะเลย”
“เขาเร็วจริงๆ”
ไป่หยีเจี้ยนตาลุกวาว
แม้มันจะดูช้า แต่ในสายตาทั้งสองก็มองว่าไม่เลว เพราะอย่างไรก็ยากมากที่จะบินในป่ารูปปั้น
“แต่ถ้าเขาเร็วแค่ระดับนี้…”
ไป่หยี่เจี้ยนส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง
ลี่เซียงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะผ่านไปที่ใดก็จะมีหมอกที่ทำให้กลายเป็นหินพุ่งออกมาเสมอ แต่นั่นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขา เขาจะไปถึงกลางป่ารูปปั้นในอีกไม่นาน
แต่ตอนนั้นเองก็มีหมอกสีเทาจำนวนมากพุ่งมาที่เบื้องหน้าราวกับภูเขาไฟระเบิด หมอกสีเทานั้นคล้ายม่านแสง
ลี่เซียงชักสีหน้า เขาเห็นหนอนตัวใหญ่ใต้ดินที่ใหญ่กว่าหนอนธรรมดาสองเท่า มันกำลังพ่นหมอกจำนวนมากออกมา
ทันทีที่เขารู้ตัวก็หยิบเอายันต์อีกแผ่นออกมา เขาฉีกยันต์เป็นชิ้นๆ นั่นทำให้เกิดวายุสีครามที่พยายามจะพัดหมอกออกไป
แต่หมอกก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย มันปล่อยให้วายุเคลื่อนผ่านแต่ไร้ซึ่งผลกระทบ ลี่เซียงไม่พอใจมาก เขาต้องถอยกลับ
แต่ขณะที่ถอยก็พบว่าทางหนีถูกล้อมไปด้วยหนอนหมดแล้ว! ลี่เซียงที่ตกใจพุ่งขึ้นฟ้า เขากระแทกเข้ากับม่านแสงและกระเด็นกลับลงมา
ขณะนี้ที่เบื้องล่างก็เต็มไปด้วยหมอกสีเทานับไม่ถ้วนปกคลุมร่างกายเขา หมอกสีเทาไม่สนใจม่านแสงที่ป้องกันตัวและพลังชีวิตที่ห่มกายเขา มันสัมผัสกับผิวของเขาตรงๆ
ลี่เซียงกรีดร้องด้วยความกลัว ร่างของเขากลายเป็นหิน เขาร่วงลงจากฟ้าเสียงดัง
ลี่เซียงที่ตกจากที่สูงนั้นกระแทกอย่างแรงจนแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาตายแล้ว!
ส่วนรูปปั้นอื่นที่ยังอยู่ในสภาพปกติ ถ้าพวกเขาได้รับน้ำวิญญาณจากหนอนตัวเมีย พวกเขาก็จะกลับคืนร่างเดิมได้
ลี่เซียงผู้กระหายในสตรีแตกเป็นเสี่ยงๆขณะที่ยังมีชีวิตอยู่และกลับมาไม่ได้อีกแล้ว!
ทุกคนเงียบกริบ พวกเขามองซากลี่เซียงด้วยความกลัว ยอดฝีมือหลายคนตัวสั่น ความตายของลี่เซียงได้สลายความโลภของหลายคน ป่ารูปปั้นนี้น่ากลัวเกินไป
ไป่หยีเจี้ยงพูดอย่างไม่แยแส
“ถ้าเจ้าไม่อยากตาย ก็อย่าบินให้สูงนัก”
ชางก่วนชิงเอ๋อไม่แปลกใจแม้แต่น้อย นางมองซือหยูด้วยรอยยิ้ม
“พี่หิมะทมิฬจะเอายังไงล่ะ?”
เขายังต้องคิดอีกรึ? หลังจากที่ได้ยินภาพความตายไปแล้ว นอกจากจะมีพลังมหาศาล ใครกันจะกล้าเข้าไปในป่ารูปปั้นเล่า?
หลายคนมองซือหยูด้วยความอิจฉา ชางก่วนชิงเอ๋อเป็นคนคนเดียวที่มั่นใจได้ว่าจะผ่านป่ารูปปั้นรึ?
“ไม่ต้อง ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
ซือหยูดึงมือเซี่ยจิงหยูไปกับเขา
ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง
“ไอ้นั่นมันจะบ้าไปแล้ว! ข้าไม่รู้ว่าเขาไปเอาความกล้ามาจากไหน แล้วเขาก็ยังเอาคนอื่นไปด้วย!”
ไป่หยีเจี้ยงตกใจ เขามองดูซือหยู เมื่อเห็นว่าซือหยูเป็นเพียงราชามนุษย์เขาก็ขมวดคิ้ว
“หนุ่มน้อย ถ้าเจ้ายังไม่รู้จักป่ารูปปั้นดีพอ เจ้าก็อย่าเพิ่งทำอะไรจะดีกว่า”
“พลังรอบป่ารูปปั้นนั้นจะกดวิชาเคลื่อนไหวกับคนที่เข้าไป ถ้าเจ้าพาหนึ่งคนไปด้วย ผลลัพธ์ก็จะมิใช่เหมือนหนึ่งบวกหนึ่ง แต่มันจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า ด้วยฐานพลังระดับเจ้า ถ้าเจ้าพาหนึ่งคนไปด้วย เจ้าก็ไม่ได้เร็วไปกว่าคนธรรมดา เจ้าอย่าเอาตัวเข้าไปตายจะดีกว่าน่า”
เขามิได้ห่วงความปลอดภัยของซือหยู แต่ถ้ามีคนล้มเหลวและตายไปอีก หลายคนจะถอนตัวเพราะหมดกำลังใจ นั่นจะทำให้แผนของเขาพัง
ซือหยูไม่สนใจ เขาพูดอย่างเรียบเฉย
“ข้ารู้ว่าข้าทำอะไรอยู่ ถ้าไม่มีอะไร ข้าก็จะไปล่ะ”
ซือหยูดึงมือเซี่ยจิงหยูไปยังป่ารูปปั้นท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วน