The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 483
ในความทรงจำของนาง สมบัติวิเศษชิ้นนี้อยู่ใต้การควบคุมของจ้าวเทวะผู้แข็งแกร่งแห่งตำหนักศีลหวนคืน! ถ้าหากซื่อหลิงควบคุมลำดับได้อย่างหมดจดเช่นนี้ นั่นก็พิสูจน์ได้ว่าเขาชำระลำดับนี้ไปแล้ว!
ซือหยูไม่สนใจ
“เจ้าไม่ต้องรู้หรอก”
เขาพูดจบและขยับนิ้วทั้งสิบ
ลำแสงห้าสีรัดแน่นอีกครั้ง ทั้งร่างของหวูอู๋ยี่ถูกขังไว้ภายในจนขยับไม่ได้ แม้ว่านางจะขัดขืนทุรนทุราย นางก็มิอาจทำให้ลำแสงสั่นสะเทือนได้แม้แต่น้อย
สุดท้ายลำดับทั้งห้าก็รวมตัวกัน ลำแสงทั้งห้าชุดจนนางขยับไม่ได้แม้แต่เสี้ยวกาย นางทำได้แค่ขยับปากพูดเท่านั้น
“เจ้ากล้ามากที่ชิงสมบัติของผู้เฒ่าของตำหนักศีลหวนคืน กับเรื่องนี้ แม้แต่ตำหนักชิงวิญญาณก็ช่วยชีวิตเจ้าไม่ได้แน่!”
แม้หวูอู๋ยี่จะรู้สึกหวาดกลัว นางก็พูดอย่างเกรี้ยวกราด
ทั้งตำหนักชิงวิญญาณและตำหนักศีลหวนคืนตั้งอยู่ในดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปด กำลังของทั้งสองสูสีกันและทั้งสองฝ่ายก็มีข้อพิพาทระหว่างกันด้วย ดังนั้นแล้ว ในเรื่องการต่อสู้ระหว่างศิษย์ พวกผู้เฒ่าจากทั้งสองฝั่งจะไม่เข้ามายุ่งมากจนเกินไป
แต่เรื่องชิงสมบัติของผู้เฒ่าจ้าวเทวะ อีกฝ่ายจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปงั้นรึ?
“เจ้าจะมาล้างแค้นข้าเมื่อใดก็ได้”
ซือหยูยักไหล่ทั้งสองข้าง จากนั้นก็มีรอยแยกจากหน้าผากออกมา ผนึกเล็กๆที่สร้างการจากหลอมรวมระหว่างสายฟ้าและวิญญาณลอยออกไป มันคือวิชาดวงใจอัสนี
หวูอู๋ยี่ตกตะลึง
“เจ้าจะทำอะไร?”
“ข้าไม่ได้พูดไปแล้วเรอะ? ข้าจะใช้เจ้าทดสอบวิชาลับที่ข้าบ่มเพาะ”
“ถ้าเจ้าไม่อยากตายก็หยุดขัดขืน นี่เป็นโอกาสเดียวที่เจ้าจะไม่ตาย”
หวูอู๋ยี่ที่ถูกควบคุมเข้าใจจุดมุ่งหมายของซือหยูในทันที นางโกรธแค้นจนถึงขีดสุด
“เจ้าคิดจะเอาข้าไปเป็นทาสงั้นเรอะ?”
ถ้าหากนางที่บริสุทธิ์และสูงส่งกลายเป็นทาสของซื่อหลิงที่ชั่วร้ายและสมควรแก่การถูกสาปแช่ง นางรู้ดีว่านางจะลงเอยอย่างไร เมื่อคิดดังนั้น
“เจ้าควรจะคิดให้ดีอีกครั้ง ในครั้งนี้ ข้ามากับท่านป้าลู่จือหยี ถ้าเจ้าทำให้ข้าเป็นทาส นางจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่! ไม่ว่าตำหนักชิงวิญญาณจะแข็งแกร่งเพียงใด มันจะทำอะไรกับตำหนักเมฆาม่วงได้กัน?”
ตำหนักเมฆาม่วง ลู่จือหยี? สำหรับซือหยูผู้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยในจิวโจวนั้นไม่เข้าใจในสิ่งที่นางพูด
“แล้วมันจะยังไงกัน? ตอนที่เจ้าคิดสังหารข้า เจ้าไม่เคยคิดอะไรเลย แล้วข้าก็บอกเจ้าไปหลายครั้งว่าข้าไม่ใช่ซื่อหลิง แต่เจ้าก็ยังจู่โจมข้าอย่างไร้เหตุผล ข้าไม่มีเหตุที่จะต้องปล่อยเจ้าไป”
ซือหยูแววตาเยือกเย็น
ไม่ว่าลู่จือหยีจะเป็นทวยเทพมาจากไหน นางก็อยู่ในกระโจมเทพสวรรค์ พลังของนางจะไม่ก้าวข้ามระดับของขอบเขตภูติ ซือหยูไม่ต้องกลัวนางจนเกินไปนัก
หวูอู๋ยี่ใจเต้นแรง ซื่อหลิงไม่สนใจเรื่องนี้จริงๆรึ?
เดี๋ยวก่อน…หวูอู๋ยี่ตระหนักได้ถึงบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นางพูดด้วยความสงสัย
“หรือเจ้าจะไม่ใช่ซื่อหลิงจริงๆ?”
ถ้าอีกฝ่ายเป็นซื่อหลิง เขาจะไม่เข้าใจในสิ่งที่นางพูดได้อย่างไร? ซือหยูไม่สนใจฟัง และเขาก็ใช้ดัชนีแตะหน้าผากนาง ความเยือกเย็นฉาบใบหน้าของนาง
“ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ตายหรือเลิกขัดขืน!”
“เดี๋ยวสิ ถ้าเจ้าไม่ใช่ซื่อหลิง เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็แค่เรื่องเข้าใจผิด!”
หวูอู๋ยี่รีบพูดออกมา
ซือหยูหัวเราะเยาะ
“ลืมมันไปซะ ตอนที่ข้าบอกว่าข้าไม่ใช่ซื่อหลิง เจ้าเคยสงสัยมันมาก่อนหรือไม่? ข้าเป็นราชามนุษย์ แต่ซื่อหลิงเป็นกึ่งเทพ ไม่ว่าจะมองยังไงก็มีเรื่องให้สงสัยหลายประการ แต่เจ้ากลับคิดจะสังหารผิดคนแทนที่จะปล่อยข้าไป นั่นก็เพราะเจ้ามั่นใจนักว่าเจ้าฆ่าข้าได้ง่ายๆ! นี่ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดอีกแล้ว!”
ซือหยูโบกมือ มีดทองคำปรากฎออกมา มีดจ่อคอของนางและถ้าขยับมือ ศีรษะของนางจะถูกบั่นออกจากกันในทันที
เมื่อเห็นว่าซือหยูไม่เวทนาแก่สตรี สีหน้านางก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
“ไม่! ข้าจะไม่ขัดขืนเจ้า!”
ซือหยูขยับปลายดัชนีเมื่อนางพูดจบ ผนึกวิญญาณสายฟ้าเข้าสู่ร่างหวูอู๋ยี่ผ่านหน้าผากและฝังลงในวิญญาณของนาง
ซือหยูเก็บมีดเกล็ดทอง และเขาก็ผ่อนผนึกเล็กน้อยแต่ไม่ปล่อยนางออกมาทันที
“จงปลิดชีวิตตัวเองซะ”
“อะไรนะ?”
หวูอู๋ยี่เบิกตาโพลงจ้องซือหยูไม่กระพริบ นางตื่นตระหนกกับชะตาของนางที่กำลังจะดับมอดไป
ซือหยูพูดอย่างเย็นชา
“ข้าจะไม่พูดซ้ำหรอกนะ”
หวูอู๋ยี่กัดฟัน นางรู้ว่าซือหยูกำลังทดสอบนางเพื่อตรวจสอบว่าการควบคุมมีผลหรือไม่ ถ้านางขัดขืน มันก็จะพิสูจน์ได้ว่าวิชาควบคุมนั้นไม่มีผล จากนั้นซือหยูก็จะฆ่านางเพื่อลบนางให้หายไปจากโลกใบนี้ แต่ถ้านางไม่ขัดขืน ซือหยูก็จะมองดูนางฆ่าตัวตายด้วยแววตาเยือกเย็น!
แม้จะมีโอกาสสูงที่ซือหยูจะหยุดนางจากการฆ่าตัวตายในจุดสุดท้าย มันก็ยากที่จะแน่ใจว่าเขาจะไม่หาคนมาทดสอบวิชาควบคุมของเขาเพิ่มอีก ดังนั้นถ้านางไม่ทำอะไร นางก็อาจจะถูกบังคับให้ฆ่าตัวตาย
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ชีวิตของนางก็อยู่ในกำมือของซือหยู หวูอู๋ยี่ลังเลอย่างมาก นางกัดฟันแน่นและผลักฝ่ามือไปที่ศีรษะของตัวเอง
นางไม่ออมแรงในฝ่ามือนี้ ถ้าฝ่ามือปะทะกับศีรษะ นางจะตายเพราะศีรษะระเบิด นางจ้องมองซือหยูโดยไม่พลาดการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของเขาแม้แต่นิดเดียว!!
แต่เมื่อฝ่ามือกำลังจะแล่นถึงศีรษะตัวเอง ซือหยูก็ยังคงไม่เคลื่อนไหวดังเดิม เขาเยือกเย็นโดยไม่คิดจะสังให้นางหยุด นางใจหาย ซือหยูอยากจะฆ่านางจริงๆ!!
ฟึ่บ–
ในยามวิกฤ ติ หวูอู๋ยี่หยุดฝ่ามือชะงัก มันห่างจากศีรษะของนางเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
“เจ้าอยากจะฆ่าข้าจริงๆเรอะ?”
“ข้าอธิบายไปแล้วว่าเรื่องของเจ้ากับข้าเป็นการเข้าใจผิด ทำไมเจ้าจะต้องฆ่าข้าอีก?”
นางตัวแข็งทื่อเมื่อพบว่าซือหยูนั้นกระซิบพูดกับตัวเองโดยไม่สนใจนาง
“ไม่เลว มันน่าจะมีพลังให้วางข้อยกเว้นอยู่นะ”
“ทำไมเจ้าอยากจะฆ่าข้า….”
หวูอู๋ยี่มองอย่างโกรธแค้น
ซือหยูเมินนางและพูดกับตัวเองอย่างเคย
“สมกับเป็นวิชาที่จ้าวเทวะทิ้งเอาไว้ วิญญาณหลอมรวมเข้ากับสายฟ้าเพื่อใช้ควบคุม นี่มันซับซ้อนมาก ถ้าไม่ใช่เพราะคำอธิบายที่เขียนเอาไว้ คนนอกคงจะบ่มเพาะมันไม่ได้แน่”
“ทำไม…”
หวูอู๋ยี่หน้าแดงก่ำ นางโกรธแค้น
ซือหยูหลุดจากภวังค์ในการคิดถึงวิชา
“เจ้าจะพูดอะไรนะ ‘ทำไม’ เมื่อครู่นี่มันอะไรกัน ดูเหมือนเจ้าจะอยากพูดอะไรเมื่อครู่”
คำพูดของเขาทำให้หวูอู๋ยี่ระเบิดความโกรธ นางพูดย้ำทุกคำอย่างชัดเจน
“ข้าถามเจ้าว่าทำไมเจ้าไม่สั่งให้ข้าหยุด!!”
ซือหยูกระพริบตาด้วยความงุนงง
“โอ้ เจ้าไม่ได้หยุดด้วยตัวเองหรอกรึ?”
หวูอู๋ยี่ที่ได้ยินกัดฟันแน่น ดวงตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวราวกับจะมีเพลิงปะทุออกมา คำตอบอย่างไร้ความรับผิดชอบนั้นทำให้นางแทบคลั่ง
นานกว่านางจะใจเย็นลง หวูอู๋ยี่กลับมาเยือกเย็นตามเดิม
“ข้าจะต้องเรียกนายท่านว่าอย่างไร?”
“นายท่านรึ?”
ซือหยูลูบคาง
“เรียกข้าว่าท่านก็พอ นายท่านมันน่าสงสัยเกินไป นั่นจะทำให้คนสงสัย”
ไม่ยากนักที่จะคิดว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มที่มีพลังเล็กน้อยกลับมีผู้ติดตามที่งดงามในกระโจมเทพสวรรค์ที่มียอดฝีมือมากมาย ยังดีถ้าเขาได้เจอกับคนที่เขาไม่ชอบ แต่ถ้าต้องเจอกับคนที่มุ่งร้าย เขาก็คงต้องต่อสู้อย่างไม่มีเหตุผล นั่นมันไม่คุ้มค่ากันเลย
“เข้าใจแล้วค่ะท่าน”
หวูอู๋ยี่ยอมจำนน แต่นางก็แอบแปลกใจกับความระวังตัวของซือหยู
นางเคยคิดว่าเด็กหนุ่มเช่นนี้น่าจะเย่อหยิ่งทะนงตัว แต่ซือหยูนั้นเยือกเย็นกว่าที่นางคิดไว้อย่างมาก
ซือหยูเริ่มถามถึงพื้นเพของนางรวมถึงสถานการณ์เกี่ยวกับยอดฝีมือในจิวโจว หลังจากที่รับฟังทั้งหมดแล้วสีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
ดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดนั้นเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการบ่มเพาะพลังอย่างมากและยังเป็นเป็นสองตำหนักและสิบหกสำนัก! ตำหนักศีลหวนคืนและตำหนักชิงวิญญาณอยู่ในส่วนของสิบหกสำนัก และแต่ละสำนักยังอยู่ในการควบคุมของผู้เฒ่าไม่กี่คนกับเจ้าสำนักที่ล้วนเป็นจ้าวเทวะ
ส่วนสองตำหนักนั้นคือตำหนักเมฆาม่วงและตำหนักโลหิต ทั้งสองเป ็นกำลังใหญ่ที่ปกครองดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปด สิบหกสำนักเป็นเพียงสำนักที่ยึดติดอยู่กับสองตำหนัก! ว่ากันว่าในสองตำหนักนี้มียอดฝีมือที่น่ากลัวที่เหนือกว่าระดับจ้าวเทวะและเป็นผู้ที่ควบคุมตำหนักทั้งสอง!
ลู่จือหยีเป็นศิษย์ในจากตำหนักเมฆาม่วง นางใช้วิชาลับบางอย่างเพื่อทำให้เข้ามายังกระโจมเทพสวรรค์ได้เพื่อพบกับคนสำคัญคนหนึ่ง