The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 464
กังต้าเหล่ยนั้นรับมือยากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ และตอนนี้เขายังอยู่ตัวคนเดียว โชคดีที่การต่อสู้แบบสามต่อหนึ่งเมื่อครู่ทำให้กังต้าเหล่ยอ่อนแอไปมาก ทำให้แม้จะอยู่คนเดียว เขาก็มั่นใจว่าจะเอาชีวิตกังต้าเหล่ยมาได้
ชายหนุ่มผมขาวหัวเราะเวทนา ดวงตาสีแดงก่ำหม่นหมองขึ้นเรื่อยๆ
“ตระกูลยี่จะจบที่นี่ โครงกระดูกคนตระกูลยี่คือสมบัติที่ตระกูลอสูรต้องครอบครอง ข้าโชคดีเหลือเกินที่ได้มาเจอเจ้า!”
กังต้าเหล่ยหายใจหอบ ร่างกายเขาอ่อนแออย่างมาก แม้แต่สภาพจิตใจของเขาก็ไม่เหมือนเดิม เขาเหนื่อยอ่อนเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรู ร่างกายสูงใหญ่เซไปมา ดูเหมือนว่าเขากำลังจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ
ชายหนุ่มผมขาวบินเข้าไปด้วยความยินดี เขาหยิบกระบี่กระดูกดำออกมา กระบี่นั้นคมอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่สะบัดมือกระบี่ก็พุ่งไปยังคอของกังต้าเหล่ย
แต่ในตอนนั้นชายหนุ่มผมขาวก็เปลี่ยนทิศทาง เขาหลบไปด้านข้างและซัดกระบี่ไปที่ด้านหลัง!
แกร๊ง–
พรึ่บข-
ช่างหนึ่งปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า เขาสะท้อนการโจมตีของชายหนุ่มผมขาวและถอยไปหลายก้าว ส่วนชายหนุ่มผมขาวนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาป้องกันอีกฝ่ายด้วยกระบี่กระดูกในมือ
ชายหนุ่มผมขาวจ้องมองซือหยู
“คิดจะลอบโจมตีข้าเรอะ? ด้วยฐานพลังอันน่าเวทนานั้นน่ะเรอะ?”
แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าเขานั้นดูคุ้นเคยอย่างประหลาด ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักขึ้นมาได้
“เกิดอะไรขึ้น? พวกนั้นปล่อยเจ้าหนีมาเรอะ!”
กึ่งเทพถูกส่งไปไล่ตามแต่ซือหยูก็มาถึงที่นี่ได้ เห็นได้ชัดว่าซือหยูใช้วิธีเร้นกายและหนีเอาชีวิตรอดจนมาถึงที่นี่
ซ่า—
ชายหนุ่มผมขาวก้มลงมอง เขาพบเส้นผมหนารัดอยู่กับนิ้วนางของตัวเอง
“นี่มัน…วิชาคำสาป!”
“ไม่นะ!”
ชายหนุ่มผมขาวใส่แรงโดยไม่ลังเล เขาสะบั้นเส้นผมนั้นทิ้งไปแต่ก็ไม่ทันที่จะลบแผลรอบนิ้วไปได้
ฉินจิวหยางนั้นบินเข้ามาจากระยะไกล เขาฟื้นพลังมาครู่หนึ่งแล้ว เขายืนข้างซือหยูและมองดูกังต้าเหล่ย
“ลุกขึ้นมาเร็ว!”
คำพูดนั้นมีพลังอ่อนๆอยู่ด้วย นั่นทำให้กังต้าเหล่ยที่เกือบจะหมดสติได้สติกลับมา
กังต้าเหล่ยมองดูโดยรอบด้วยความประหลาดใจ
“ฉินจิวหยาง ดีเหลือเกินที่เจ้าไม่เป็นอะไร!”
ฉินจิวหยางยิ้มกระอักกระอ่วน
“นั่นเป็นเพราะน้องหิมะทมิฬที่มาถึงข้าทันเวลาและช่วยชีวิตข้าเอาไว้ มิเช่นนั้นข้าก็คงถูกกึ่งเทพสองคนนั้นฆ่าตายไปแล้ว”
“น้องหิมะทมิฬรึ?”
กังต้าเหล่ยตกตะลึง เขาคิดว่าฉินจิวหยางเป็นคนช่วยซืหยู แต่กลับเป็นซือหยูที่มาช่วยฉินจิวหยาง แต่เมื่อเขาคิดดูนั้นก็เป็นไปได้ว่าฉินจิวหยางอาจจะทำให้กึ่งเทพเหล่านั้นอ่อนแอก่อนที่ซือหยูจะเข้ามาสังหาร เพราะอย่างไรฉินจิวหยางก็ไม่ได้อ่อนแอ
ชายหนุ่มผมขาวเห็นพ้องต้องกัน เขาไม่เห็นว่าซือหยูเป็นภัย ซือหยูจะต้องฉวยโอกาสในการสังหารกึ่งเทพเหล่านั้นแน่
เมื่อเห็นความเข้าใจผิด ฉินจิวหยางนั้นหัวเราะอย่างขมขื่นและไม่อธิบายอะไรอีก
“ต้าเหล่ย ร่วมมือกันจัดการกับเจ้านี่เถอะ…”
“เราต้องไปโดยเร็ว ยังมีหัวหน้าที่ชื่อซื่อหลิงอยู่อีกคน เขาจะต้องเป็นกึ่งเทพที่แข็งแกร่งที่สุด เจ้ากับข้าบาดเจ็บและใช้พลังวิญญาณไปเยอะ ถ้าได้เจอกับเจ้านั่น เราอาจจะตกอยู่ในอันตราย”
กังต้าเหล่ยกับซือหยูไม่ปฏิเสธเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ชายหนุ่มผมขาวหัวเราะอย่างเย็นชา
“ฮื่ม! คนเจ็บอย่างพวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้งั้นเรอะ?”
ดวงตาแดงก่ำปล่อยแสงปกคลุมทุกคน
กังต้าเหล่ยตกใจ
“ระวัง! อย่ามองตามัน!”
ฉินจิวหยางกับซือหยูก้มลงทันที เขาไม่มองสายตาของชายหนุ่มผมขาว
แต่รอยยิ้มเยาะก็ปรากฏบนริมฝีปากศัตรู
“ใครบอกเจ้ากันว่าจะเลี่ยงข้าได้ถ้าไม่มองข้า?”
“หา?”
กังต้าเหล่ยกับฉินจิวหยางอุทานขึ้นมาพร้อมกัน
แต่ก็สายไปแล้วที่จะแก้ไขในตอนนี้ วงแหวนแสงโลหิตสามวงพุ่งออกจากดวงตาของเขา มันฝังลงไปในร่างพวกเขา
ตู้ม–
กังต้าเหล่ยล้มลงไปกองกับพื้น ฉินจิวหยางขัดขืนอยู่ครู่หนึ่งและร้องคำรามออกมา เขาล้มลงไปเช่นกัน! วิชาของชายคนนี้ประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ! เขาทำให้กึ่งเทพสองคนตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกันได้…วิชาอสูรนั้นแข็งแกร่งจนยากจะต้านทาน! กังต้าเหล่ยกับฉินจิวหยางนั้นไม่ต่างกับลูกแกะที่กำลังจะถูกเชือด
เฮือก—
ชายหนุ่มผมขาวถอนหายใจ ร่างกายของเขาสั่นระริก เขาตัวซีดยิ่งกว่าที่เคยเป็น บอกได้เลยว่าวิชานี้กินพลังของเขาไปมาก
“ในที่สุด…”
เขาพูดโดยไม่แม้แต่จะหยุดพักหายใจ
แต่เขาก็ขมวดคิ้วที่พบว่ายังมีอีกคนที่ยังคงยืนอยู่ นอกจากจะไม่บาดเจ็บแล้วอีกฝ่ายยังยิ้มมองเขากลับมาอีก!
“เจ้า…ไม่เป็นอะไรเลยเรอะ?”
ชายหนุ่มผมขาวมิอาจเชื่อสายตา
กึ่งเทพสองคนสลบไปแล้ว แต่คนที่เป็นแค่กึ่งเทพกลับไม่เป็นอะไร!
“มันเป็นการโจมตีวิญญาณสินะ…”
“ไม่แปลกใจเลยที่สองคนนั้นจะหมดสติไป!”
วงแหวนสีแดงนั้นทำให้เกิดอาการมึนงง แต่วิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งไม่เหมือนใครอื่น และเขายังมีหม้อเก้ามังกรเป็นดั่งเครื่องป้องกันวิญญาณ เขาจึงต่อต้านการโจมตีได้ไม่ยาก
ชายหนุ่มผมขาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เจ้ามันไม่เหมือนคนอื่นก็จริง แต่ฐานพลังเจ้ามันอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นภัย ถ้าเจ้าแข็งแกร่งกว่านี้ข้าก็อาจจะระวังเจ้า”
ชายหนุ่มผมขาวรู้ดีว่าถ้ากังต้าเหล่ยกับคนที่ใช้วิชาคำสาปยังมีสติก็ยากที่เขาจะทำอะไรได้ในสภาพร่างกายเช่นนี้ แต่ศัตรูที่มีสติอยู่คนเดียวนั้นเป็นเพียงแค่ผู้คุมสวรรค์
“ข้าจะส่งเจ้าไปตายเป็นคนแรก…”
เขายิงคลื่นพลังอสูรไปอย่างเรียบง่าย พลังก่อตัวเป็นกระบี่ยาวทะลวงร่างของซือหยู
แกร๊งง–
มีดทองปรากฏในฝ่ามือ เขาสะบัดมีดป้องกันพลังอสูรและสะบั้นกระบี่อสูรเป็นเสี่ยงๆ
ชายหนุ่มผมขาวเลิกคิ้วด้วยความตกใจ แต่พลังอสูรก็รวมตัวเป็นกระบี่อีกครั้ง มันฟันซือหยูในระยะใกล้ ซือหยูเหมือนจะคิดไว้อยู่แล้ว เขาซัดมีดกลับไปอย่างไม่ลังเล กระบี่แตกเป็นเสี่ยงอีกครั้ง
ชายหนุ่มผมขาวตกตะลึง
“ฮื่ม…ดูเหมือนเจ้าจะเข้าใจวิชาอสูรของตำหนักชิงวิญญาณอยู่บ้างนะ”
เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าซือหยูได้ต่อสู้กับคนที่ใช้ค้อนอสูรมาตรงๆ? เขารู้อยู่แล้วว่าพลังอสูรนั้นเป็นเช่นนี้
“หรือจะให้พูดอีกอย่าง…ข้าต้องเอาจริงกับเจ้า”
ชายหนุ่มผมขาวหยิบเอาร่มสีม่วงออกมา มันมีลวยลายซับซ้อนสลักเอาไว้ แสงส่องสว่างอยู่ภายในตัวร่ม
แรงกดดันวิญญาณอันแข็งแกร่งเข้าจู่โจมซือหยู มันใกล้เคียงกับการเผชิญหน้ากับสมบัติเทพระดับสูง
“หึหึ! นี่คือร่มวิเศษสุริยา…”
“จงดีใจซะเถอะที่ชะตาต้องได้ตายจากร่มคันนี้”
เขากางร่มช้าๆ แสงสีม่วงเข้าห่มกาย ซือหยูระวังตัวมากแต่ก็พบว่าร่มวิเศษสุริยานั้นเพียงปล่อยพลังปกคลุมอีกฝ่าย มันไม่ได้ทำอะไรที่เกินความปกติ
แต่เมื่อเขามองดู ท้องฟ้าเหนือนภาก็ได้กลายเป็นสีม่วง เมฆาสีม่วงก้อนใหญ่ลอยลงมา มันเข้าล้อมโดยมีซือหยูเป็นจุดศูนย์กลาง ความร้อนสูงเกิดขึ้นในจุดที่มีแสงสีม่วง และความร้อนที่นี่ก็เหนือกว่าต้นกำเนิดอัคคีในพริบตาเดียว!
ทุ่งหญ้าที่ซือหยูยืนอยู่เหี่ยวเฉาลงไป มันมีเพลิงลุกไหม้ขึ้นมาจนเป็นทะเลเพลิง โครงกระดูกหลายล้านบนพื้นที่ไม่เคยเปื่อยสลายแม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานถูกเผาไปอย่างรวดเร็ว! แม้แต่อากาศโดยรอบก็ติดไฟ
ทุกอย่างในระยะพันศอกถูกเผา นภา ปฐพี และอากาศ…ทุกสิ่งถูกคลอกไปด้วยเพลิงสีม่วง มันละลายทุกสิ่งด้วยเพลิงของมัน
มีเพียงชายหนุ่มผมขาวที่ถือร่มอยู่เท่านั้นที่ไม่เป็นอะไร แสงสีม่วงจากร่มนั้นปกป้องเขาอยู่!
ซือหยูชักสีหน้า นี่คือสมบัติอสูรที่แข็งแกร่งมาก นอกจากชายหนุ่มผมขาว ทุกสิ่งในระยะนั้นถูกเผาจนไม่เหลืออะไร
แสงทมิฬโอบล้อมตัวซือหยู ชุดเกราะเข้าคลุมกาย แก้วพลังชีวิตปล่อยพลังให้กับเกราะราชาศิลานิรันดร์ ชั้นแสงทมิฬนั้นปกคลุมตัวซือหยูเมื่อเพลิงสีม่วงลุกลามเข้ามา
เพลิงนั้นลามไปถึงซือหยูในไม่นาน ม่านพลังป้องกันก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ซือหยูยังคงไร้รอยขีดข่วนแม้ว่าเพลิงด้านนอกม่านพลังจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม
ชายหนุ่มผมขาวเบิกตากว้าง เขาตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น
“นั่นมันเกราะอะไรกัน? มันป้องกันเพลิงจากสุริยาม่วงได้ยังไง!”
ซือหยูไม่ตอบ เขาปล่อยเข็มทั้งเก้าออกมาโดยไม่ลังเล เข็มทั้งเก้าร่ายรำเป็นวงกลมล้อมชายหนุ่มผมขาวปิดบังเส้นทางหลบหนี
“ไปตายซะ!”
ซือหยูใช้เพลงเก้าหยินหยาง
เข็มทั้งเก้าบินไปมาสร้างภาพติดตาเป็นใยแมงมุมขนาดใหญ่ ในรูปขบวนนี้ คนที่พบเจอจะต้องรับการโจมตีจากทุกทิศทาง
ในที่สุดชายหนุ่มผมขาวก็ได้รับรู้ถึงภัยของเพลงเก้าหยินหยาง เขาค่อยๆหวาดกลัวอย่างช้าๆ
“สมบัติเทพทั้งชุดงั้นเรอะ?”
“แล้วมันยังมีเพลงวิชาของตัวเองอีก?”
เขาเก็บร่มวิเศษสุริยาม่วงและพยายามจะพุ่งออกจากเพลงเก้าหยินหยาง
ฟึ่บ–
ขบวดเข็มเคลื่อนไหวป้องกันเส้นทางหลบหนีของอีกฝ่าย
เข็มทะลวงผ่านไหล่ของเขาไปหนึ่งข้าง เข็มต่อมาเจาะทะลุต้นขา ส่วนอีกเล่มนั้นเจาะที่กลางลำตัว เล่มที่สี่…
เข็มเก้าเล่มเจาะทะลวงร่างของชายหนุ่มผมขาวอย่างต่อเนื่องและไร้ปรานี มันไม่สนใจแม้แต่เสียงกรีดร้องของศัตรู
“หยุด! หยุดเดี๋ยวนี้!”
ชายหนุ่มผมขาวร่ำร้อง
เขาถูกเจาะทะลุเก้าแห่ง และบาดแผลแต่ละแห่งก็รุนแรง แต่ซือหยูนั้นไม่คิดจะหยุด เข็มยังคงโบยบินอีกครา ชายหนุ่มผมขาวหวาดกลัวอย่างมากเมื่อเห็นเข็มหนึ่งเล่มนั้นพุ่งเข้ามาใกล้จุดกำเนิดพลัง
“ได้โปรดหยุดเถอะ!”
เขากรีดร้อง
“ข้าจะทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการ!”
ชายหนุ่มผมขาวพยายามจะหลบหนีจากเพลงเข็ม แต่เขาก็ไม่มีโอกาสนั้นเลย
ในตอนนั้นเอง เพลงเข็มช้าลง ซือหยูสร้างผนึกด้วยมือเดียว เขายังคงกักขังชายหนุ่มผมขาวเอาไว้ในเพลงเข็ม
“ร่มวิเศษสุริยาม่วงนั่น…”
“ลบร่องรอยของเจ้าแล้วโยนมันมาให้ข้า!”
ชายหนุ่มผมขาวโกรธแค้นกับเงื่อนไขของซือหยู
“เจ้าคิดจะเอาสมบัติของข้างั้นเรอะ? กล้าดียังไง!”