The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 462
พวกราชามนุษย์นั้นเข้าขวางทางหนีของซือหยูอย่างเงียบๆ
ซือหยูมองดูเรือรบ
“ข้าจะกลับไปที่เรือ แต่ข้าไม่คิดจะเอาพวกเจ้าไปด้วยหรอกนะ”
กึ่งเทพคนนั้นตััวแข็งทื่อเมื่อได้ยิน เขาไม่เข้าใจว่าซือหยูพูดอะไร
“ช่างเถอะ!”
“จับมัน เราจะเอามันกลับไปให้ศิษย์พี่ซื่อหลิงสืบสวนด้วยตัวเอง!”
กึ่งเทพคนนั้นออกคำสั่ง
นี่คือคำสั่งที่มาจากความกังวลถึงสมบัติของจ้าวเทวะตู่ม่อ เขาไม่กล้าจะถามซือหยูด้วยตัวเอง เขาต้องส่งตัวซือหยูให้กับซื่อหลิงเพื่อที่จะเลี่ยงความสงสัย
ราชามนุษย์สามคนปล่อยไอทมิฬที่คล้ายกับพลังภูติแต่ต่างกันเล็กน้อย ไอทมิฬนั้นมีพลังอันป่าเถื่อนไม่เหมือนกับพลังภูติ
ซือหยูตกใจ
“พลังอสูรงั้นรึ? นี่มันคนที่บ่มเพาะวิชาอสูร!”
นี่คือพลังอสูร เขาไม่รู้มันจะถูกแก้ทางได้ด้วยสายฟ้าหรือแหวนปราบมารได้หรือไม่
ซือหยูหยุดคิดและเอามีดทองคำออกมา พลังอสูรของสามราชามนุษย์ก่อร่างเป็นโซ่สามเส้นที่รัดซือหยูอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่แปลกใจที่จับซือหยูได้อย่างง่ายๆ เพราะอยากไรซือหยูก็เป็นแค่ผู้คุมสวรรค์ ราชามนุษย์คนเดียวก็เอาชนะเขาได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว คงจะแปลกถ้าราชามนุษย์สามคนทำอะไรเขาไม่ได้
กึ่งเทพที่มองดูอยู่จากด้านข้างลบความกังวลใจออกไปหลังจากที่เห็นความง่ายดายในการจับตัว อีกฝ่ายนั้นหยุดหนีอย่างแปลกๆแต่ก็ไม่ยอมแพ้ในทันที เขาที่เป็นกึ่งเทพต้องสงสัยถึงลูกไม้ต่างๆอยู่บ้าง นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาสั่งคนของเขาให้ลงมือเองและมองดูจากระยะไกล แต่ความจริงเขาก็เตรียมตัวที่จะโจมตีเผื่อในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
เขาผ่อนคลายลงเมื่อเห็นว่าภารกิจสำเร็จ
“พาตัวไป!”
เขาสั่งและก้าวไปข้างหน้า
ด้านหลัง ราชามนุษย์ทั้งสามดึงโซ่ลากซือหยูไปทางเรือบิน แต่สีหน้าทั้งสามก็เปลี่ยนไปเมื่อดึงโซ่ มันราวกับว่าพวกเขาดึงภูเขาลูกใหญ่ยักษ์
ซือหยูไม่ขยับตัวแม้แต่นิดเดียว ทั้งสามนั้นแทบจะหงายล้มไปกับพื้น! ความประหลาดเช่นนี้ทำให้ทั้งสามเริ่มไม่สบายใจ กึ่งเทพที่อยู่ข้างหน้าก็สังเกตเห็นเช่นกัน หัวใจเขาเยือกเย็น!
แต่มันก็สายไปแล้วที่จะตอบสนอง ทั้งสี่เห็นรอยยิ้มอันเย็นชาจากริมฝีปากของซือหยู ซือหยูคว้าโซ่ทั้งสามเส้นที่สร้างจากพลังอสูรและดึงทั้งสามคนเข้าหาตัว!
ราชามนุษย์ทั้งสามลอยมาทางซือหยูราวกับกระดาษน้ำหนักเบา สีหน้าทั้งสามเลิกลั่ก พวกเขาปล่อยโซ่พร้อมกัน!
ซือหยูเตรียมการไว้แล้ว เขาพ่นหมอกน้ำแข็งออกมาสร้างศรน้ำแข็งสามดอกพุ่งไปยังเหล่าราชามนุษย์ พลังของมันไม่ใช่สิ่งที่แม้แต่กึ่งเทพจะป้องกันได้ง่ายๆเลย!
ราชามนุษย์ทั้งสามคนที่กำลังจะใช้วิชา…ถูกแช่แข็งไปแล้ว ร่างกายนั้นพุ่งเข้ามาหาซือหยูโดยไม่ช้าลงแม้แต่น้อย สิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่ก็คือภาพติดตาของมีดเกล็ดทองที่เฉือนไปมา
ราชามนุษย์ทั้งสามถูกตัดขาดท่อนโดยไม่มีเวลาได้กรีดร้องมากนัก ทั้งสามถูกสังหารทันที!
ทั้งหมดเกิดขึ้นในพริบตา กึ่งเทพที่มองดูอยู่นั้นไม่มีทางเข้ามาช่วยได้ทัน เขาตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่ กว่าจะได้สติ จิตสังหารก็พวยพุ่งออกมาจากร่าง
“ยอดเยี่ยม!”
เขาคำราม
“ยอดเยี่ยมจริงๆ! กายภาพระดับราชามนุษย์แนวหน้า! ข้าประมาทเจ้าไปแล้ว! ข้าไม่คิดจะลงมือเอง แต่เจ้าก็ไม่รู้จักยินดีกับโอกาสที่หยิบยื่นให้! เจ้าเตรียมรับชะตาที่ฆ่าพวกเราที่บ่มเพาะวิชาอสูรหรือยังล่ะ?”
พลังอสูรเอ่อล้นออกมาจากกึ่งเทพ เขาสร้างค้อนอสูรยักษ์ด้วยพลังอสูรในมือ ค้อนอสูรนั้นมีพลังอันป่าเถื่อน มันสร้างแรงกระแทกมหาศาลกับประสาทสัมผัสของซือหยู
ซือหยูไม่สบายใจเมื่อเผชิญหน้ากับค้อนอสูร มันรู้สึกราวกับดวงวิญญาณกำลังถูกกดเอาไว้! อาวุธนี้จะทำให้ดวงจิตของอีกฝ่ายหลุดลอย แต่ดวงวิญญาณของซือหยูก็แกร่งไม่เหมือนคนอื่น เขาไม่อ่อนแอต่อพลังเต็มที่ของค้อนอสูร เขาปล่อยพลังวิญญาณออกมาสลายผลทางจิตใจที่เกิดจากค้อน
กึ่งเทพคนนั้นประหลาดใจเมื่อเห็นว่าจิตใจของซือหยูแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง มันคงจะรับได้ถ้าซือหยูเป็นราชามนุษย์และไม่มีผลจากพลังอสูร แต่ซือหยูเป็นแค่ผู้คุมสวรรค์!
กึ่งเทพตั้งมั่นกับสถานการณ์ตรงหน้า เขายิ่งระวังตัวมากกว่าเดิม คนตรงหน้าเขาไม่เหมือนกับผู้คุมสวรรค์ทั่วไป เขาคิดอยู่ชั่วครู่และซัดค้อนอสูรในมือ
ในตอนนั้น พลังมหาศาลแพร่กระจายไปยังสิ่งรอบข้าง มันเข้าโจมตีวิญญาณของซือหยู แต่ซือหยูก็แทบจะไม่เป็นผลอะไร เขาเฉือนมีดเกล็ดทองโดยไม่ลังเล
เป๊าะ–
เสียงนั้นแทบจะไม่ได้ยิน ค้อนอสูรแตก!
อีกฝ่ายตกตะลึง แม้ค้อนอสูรที่เขาสร้างจะไม่แข็งแรงเท่ากับสมบัติเทพ มันก็ควรจะไม่ถูกทำลายได้ง่ายๆจากผู้คุมสวรรค์ แต่เขาก็ไม่มีเวลาให้คิดอีก มีดเกล็ดทองนั้นพุ่งมาหาเขาแล้ว
เขาหัวเราะอย่างเย็นชา เขาสร้างผนึกพลังขณะถอยและตะโกน
“ไร้เดียงสาเหลือเกิน!”
เขาหักค้อนอสูรไปครึ่งส่วนก่อนจะนำมาประกอบกันอีกครังเพื่อสร้างค้อนอสูรยักษ์ที่มีคุณสมบัติเหมือนวัตถุจริง มันซัดเข้าใส่ซือหยูจากระยะใกล้ ซือหยูตกใจมาก พลังอสูรที่กระจัดกระจายยังถูกควบคุมได้โดยผู้เป็นเจ้าของ! ผู้ฝึกวิชาอสูรนั้นลึกลับโดยแท้จริง!
แกร๊ง—
แต่ค้อนยักษ์นั้นก็ไม่ได้ระเบิดร่างซือหยูไป ค้อนกลับสั่นและแตกสลายเสียงดัง!
ชุดเกราะดำสนิทปกคลุมร่างซือหยู แต่เขาก็เก็บมันเข้าไปทันที กึ่งเทพนั้นไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับซือหยู มีดเกล็ดทองห่างจากจุดตายของเขาเพียงไม่กี่คืบ!
เขาคำรามลั่น
“เจ้ามันอ่อนต่อโลกไปที่จะมาฆ่าข้า…”
เมื่อเขาพูดก็มีศรคมกริบที่เกิดสร้างพลังอสูรพุ่งออกจากตัะว มันเร็วยิ่งกว่ามีดเกล็ดทอง มันพุ่งตรงไปยังหัวใจของซือหยู มันเป็นวิชาอสูรที่มีพลังมหาศาล มันตั้งใจจะให้ซือหยูตายไปพร้อมกัน!
แต่เขาก็ตัวแข็งทื่อเมื่อสัมผัสได้ถึงความร้อนจากข้างหลัง เขาก้มลงมองและพบรูขนาดเท่าหมัดถูกเผาอยู่ในอก หัวใจของเขากลายเป็นเถ้าถ่านจากร่างอัคคีที่ปรากฏจากด้านหลังอย่างไร้ซุ่มเสียง
ตั้งแต่เริ่ม ซือหยูนั้นได้แอบสร้างร่างเทียมและยื้อเวลาเพื่อโอกาสนี้ ซือหยูใช้ โอกาสที่ได้บั่นคอของกึ่งเทพด้วยมีดเกล็ดทอง ศีรษะที่ขาดสะบั้นมีแววตาตกตะลึงเมื่อตกสู่พื้น เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะถูกสังหารจากผู้คุมสวรรค์แค่เพียงคนเดียว
ซือหยูค้นร่างไร้วิญญาณ มันมีแค่ค้อนสีดำสนิทเล็กๆอยู่ข้างขวดสีดำเล็กๆไม่กี่ขวด มันจะต้องเป็นสมบัติเทพที่ใช้เพื่อสร้างค้อนจากพลังอสูร มันคือสมบัติเทพระดับกลางทั่วๆไป
มันคือวัตถุดิบอสูรและจะใช้ได้ดีกับคนที่บ่มเพาะวิชาอสูรเท่านั้น ซือหยูเก็บมันไว้ด้วยความผิดหวัง มันอาจจะใช้งานได้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม จากนั้นเขาจึงเผาคนที่สังหารทั้งหมดจนเป็นเถ้าถ่าน
ซือหยูมองเรือบินที่จอดอยู่เหนือนภา หากจะพูดให้ชัดเจนก็ควรจะเรียกมันว่าเรือรบ ขนาดมันเท่ากับเรือรบที่ซือหยูเคยเจอในชีวิตก่อนหน้า
ซือหยูเหลือบตามองและหยิบเอาผ้าคลุมล่องหนออกมา มันคือสมบัติของชิงจู้เหิง มันกลายเป็นของซือหยูแล้วในตอนนี้ เขาสวมผ้าคลุมล่อนหนและค่อยๆหายตัวจนมองไม่เห็น แม้แต่รังสีพลังก็ถูกหลบซ่อนอยู่ภายในนั้น
******
ยังมีราชามนุษย์อีกสิบเจ็ดคนและผู้คุมสวรรค์หลายร้อยคนในเรือรบ พวกเขาจัดการดูแลเรืออย่างเรียบร้อยและคุ้นเคยกับการป้องกัน เจ็ดกึ่งเทพนั้นไม่อยู่ พวกเขาต้องระวังศัตรู
ในตอนนั้น เสียงระเบิดดังขึ้น ราชามนุษย์หนึ่งคนที่ตั้งสมาธิอยู่กลับกลายเป็นฝุ่นผงต่อหน้าต่อตาทุกคน ภาพประหลาดทำให้พวกเขาเสียวไปถึงกระดูกสันหลัง
เกิดเสียงประหลาดขึ้นอีก ในครั้งนี้ ราชามนุษย์อีกคนตอบสนองได้ทันเวลา เขาตะโกน
“ศัตรูบุก! เตรียมพร้อม!”
แต่เมื่อเขาพูดจบ หัวของเขาก็ถูกตัดออกไปจากตัว โลหิตพุ่งออกจากคอราวกับน้ำพุ
“ศัตรู!”
เสียงตะโกนดังมาจากราชามนุษย์อีกคน เบาเบิกตากว้าง
“มันเร้นกายได้! จัดการตั้งรับ!”
เหล่านักรบก่อกลุ่มการตั้งรับเป็นสิบกลุ่มอย่างรวดเร็ว พวกเขายืนล้อมกันเป็นวงกลมและหันหลังจนกันเพื่อที่อีกเก้ากลุ่มจะสวนกลับได้หากมีหนึ่งกลุ่มที่ถูกโจมตี!
แกร๊ก–
แต่จู่ๆที่กลุ่มกลางสุด…ทั้งสิบคน…ก็ถูกพลังเยือกเย็นที่แข็งแกร่งเปลี่ยนตัวเองจนกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง!
ราชามนุษย์คนหนึ่งตะโกน
“เขาอยู่นั่น! เอาเลย!”
ไม่มีใครมีโอกาสได้โจมตี กลุ่มที่อยู่ใกล้ที่สุดกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง จากนั้นที่เหลือก็หวาดกลัวความตาย
บางคนกรีดร้องด้วยความกลัว
“หนีเถอะ! นี่มันฝีมือของทุ่งหญ้าซากศพ!”
พวกเขาอยู่ในดินแดนของทุ่งหญ้าซากศพและรู้สึกไม่สบายใจอยู่แล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาต้องพบเจอกับเรื่องประหลาด พวกเขาแตกตื่นราวกับนกน้อย
ตอนนี้เริ่มมีคนตื่นตูมกรีดร้องหนีแล้ว ความมุ่งมั่นของพวกเขากระเจิงหายจนหมดสิ้น
“อย่าโดยมันหลอก!”
ราชามนุษย์คนหนึ่งตะโกน เขามองดูคนในบังคับบัญชาที่เปลี่ยนไป
ศัตรูนั้นเร้นกายอยู่ในความมืดและสร้างความปั่นป่วน ความตั้งใจของผู้คนสั่นคลอน คำสั่งของผู้นำนั้นไม่มีผลอีกแล้ว ในพริบตาก็มีผู้คุมสวรรค์เกือบแปดสิบคนที่ไม่สนใจคำสั่งและบินหนีออกจากเรือ ราชามนุษย์จำนวนมากก็หนีออกไป
ราชามนุษย์ที่ออกคำสั่งกัดฟันแน่น เขาเหลือทางเลือกเดียวเท่านั้น นั่นคือการหลบหนีไปกับคนอื่น แต่เมื่อเขาเริ่มขยับตัวก็มีบางสิ่งที่เย็นสัมผัสกับลำคอ
“อย่าขยับ!”
หัวใจของเขาเต้นระรัว มีคนเข้ามาข้างหลังโดยที่เขาไม่รู้ตัว! เขาไม่กล้าจะขยับตัว เขามองดูคนที่หลบหนีไปอย่างสิ้นหวัง เขาอยู่ตัวคนเดียว
ฟึ่บ–
ซือหยูถอดผ้าคลุม
“ข้าจะบังคับเรือรบนี้ได้ยังไง?”
เขาสั่ง
“พูดมา!”
เหงื่อหยดไหลจากหน้าผาก เขาเห็นภาพสะท้อนของซือหยูได้จากคมมีดทองคำที่จ่อคอ คนคนนี้คือคนที่ถูกราชามนุษย์สามคนกับกึ่งเทพไล่ตามแต่ก็มาถึงที่นี่ได้อย่างไร้รอยขีดข่วน เขาน่ากลัวโดยแท้จริง!
ราชามนุษย์คนนั้นลังเลอยู่เล็กน้อยก่อน
“เจ้าจะไว้ชีวิตข้าหรือไม่ถ้าข้าบอกวิธีการไปแล้ว?”
ซือหยูตอบอย่างเย็นชา
“ถ้าไม่คิดจะเอาชีวิตเจ้า ถ้าเจ้าบอกวิธีควบคุมเรือนี้มาตามตรง ข้าก็ไว้ชีวิตเจ้าได้”