The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 437
ใบหน้านางเผยความกลัวเล็กน้อยราวกับว่าได้พบสิ่งที่ทรงพลัง นางรู้ว่านางกำลังตกอยู่ในอันตรายจึงได้รวบรวมความกล้าหยิบเอาท่อนไม้สีขาวหิมะออกมาจากความว่างเปล่า
ไม้นั้นเปล่งแสงสดใส มันปะทุแรงกดดันวิญญาณอันรุนแรงออกมา และมันคือสมบัติเทพระดับกลางชั้นแนวหน้าที่ไม่อ่อนแอไปกว่าธนูมังกรฟ้าดิน ในตอนนี้ สิงห์หิมะขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏตัววนรอบปลายท่อนไม้
ชายแก่ในภาพเขียนตกตะลึง
“วิชาอัญเชิญวิญญาณงั้นรึ? สมบัติเทพระดับกลางแนวหน้า ถ้าเจ้าเป็นแค่ผู้คุมสวรรค์ธรรมดา ตัวตนของเจ้าก็ต้องยิ่งใหญ่มากแน่”
ชิงจู้เหิงไม่พูดอะไร นางกลับใช้สมบัติเทพทำให้สิงห์หิมะที่มีขนาดเท่าฝ่ามือเปลี่ยนไปเป็นสิงห์หิมะขนาดร้อยศอกในพริบตา!
พลังที่ปล่อยออกมานั้นแข็งแกร่งกว่าผู็คุมสวรรค์อย่างมาก มันเข้าถึงระดับราชามนุษย์ของจริง!
ไม่แปลกใจเลยที่นางทำลายผนึกทั้งสี่ได้เมื่อครู่ สิงห์หิมะร้องคำรามและพุ่งเข้าใส่การโจมตีวิญญาณ
ชายแก่ในภาพเขียนมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างขบขัน เขายืนมือไพล่หลังและไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย
แต่การโจมตีวิญญาณนั้นกลับเล็ดรอดผ่านสิงห์หิมะไป สิงห์หิมะร้องคำราม ร่างของมันจางลงไปดั่งแก้วใสก่อนจะหายไปในความว่างเปล่า
การณโจมตีวิญญาณนั้นไม่ได้ลงพลังลงเลย มันพุ่งเข้าใส่ชิงจู้เหิงที่มิอาจหลบได้ทันเวลา ชิงจู้เหิงกรีดร้องและเอามือจับหัวด้วยความเจ็บปวด ใบหน้านางบิดเบี้ยวแสดงให้เห็นถึงความทุกข์ทรมาน
ในตอนนั้นเอง ร่างออกนางเปิดออกอย่างประหลาย มันกลายเป็นเศษพลังวิญญาณ! เหลือเพียงผ้าคลุมปีกจักจั่นกับสมบัติเทพที่เพิ่งใช้เมื่อครู่เท่านั้น
ชายแก่ในภาพเขียนใบหน้าเคร่งเครียด เขาตะโกน
“อวตาลกึ่งเทพ!”
ในตอนนั้น ฉีหมิงบินออกมาจากถ้ำและรับสมบัติทั้งสองที่ร่วงหล่น เขาเห็นใบหน้าชายแก่ที่เคร่งเครียดและต้องถามด้วยความตกใจ
“นายท่าน ชิงจู้เหิงไปไหนแล้ว?”
ชายแก่พึมพำกับตัวเองและพูดออกมาอย่างจริงจัง
“เจ้าไปหาผู้หญิงคนนี้มาจากที่ไหนนะ?”
ฉีหมิงรู้แล้วว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น เขารีบพูด
“นางเป็นยอดฝีมือที่ผ่านเกาะคลื่นครามมา ข้าคิดว่านางกำลังเดินทางมาด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นแม้นางจะตายที่นี่ นางก็ไม่ได้ทำให้ใครสนใจนัก ข้าเลยชวนนางเข้ากลุ่ม”
ชายแก่ในภายเขียนใบหน้าซับซ้อน เขาสะบัดชุดและรีบพูด
“ออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้! พวกเรายังไม่คู่ควรที่จะทำให้นางโกรธแค้น! วิชาอัญเชิญวิญญาณหายไปตั้งแต่หลายยุคก่อนแล้ว หรือจะฐานพลังกึ่งเทพนั่นก็ด้วย ขุมกำลังที่หนุนหลังจากจะต้องยิ่งใหญ่มากแน่ๆ! มีโอกาสสูงนักที่ชื่อชิงจู้เหิงจะเป็นชื่อปลอม”
“ถ้าไม่ใช่เพราะข้าเจอกับภัยร้ายครั้งนั้น ฐานพลังข้าก็คงไม่ตกมาถึงขั้นนี้ แล้วข้าก็ไม่ต้องมากลัวกึ่งเทพแค่คนเดียว!”
ชายแก่าขมวดคิ้ว เขากลับเข้าสู่ม้วนภาพเขียนใบพริบตา
กึ่งเทพรึ? ฉีหมิงคิดถึงอะไรบางอย่าง ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ชิงจู้เหิงที่เขาเห็น…เป็นร่างอวตาล!
แค่ร่างอวตาลก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ถ้าหากนางตัวจริงมาถึงที่นี่…
ฉีหมิงม้วนภาพเขียนอย่างไม่ลังเล เขารีบบินหนีไปพร้อมกับร่างราชาปีศาจ
ในตอนนั้นเอง ที่เกาะบางแห่งในมหาสมุทรกว้างใหญ่ มีสตรีผู้เยือกเย็นอยู่ในถ้ำ นางนั่งสมาธิอยู่กับที่ นางดูงดงามและสวมชุดที่ละเอียดอ่อน นางดูคล้ายกับชิงจู้เหิงอย่างมาก!
ชิงจู้เหิงลืมตาที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็น แม้ว่าดวงตานั้นจะงดงามดั่งวารีใสกระจ่าง มันก็เยือกเย็นสุดขั้ว
“ฮื่ม! เจ้าร่างวิญญาณนั่น…ตามที่ข้ารู้ มีแค่ยอดฝีมือในขอบเขตภูติเท่านั้นที่จะทำให้วิญญาณออกจากร่างได้!”
“ข้าถือว่าประมาทที่ติดกับดักเจ้า แต่ถ้าร่างหลักของข้าได้เจอกับเจ้า ข้าจะทำลายวิญญาณและร่างกายของเจ้าจนหมดสิ้น!”
นางพูดจบและหลับตาอีกครั้งเพื่อข่มใจไม่ให้ออกไปแก้แค้น นางรู้ดีว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ว่านั่นคือร่างอวตาล ก็เป็นไปไม่ได้แล้วที่พวกนั้นจะหยุดรออยู่ที่เดิม
…
ภายในร่างราชาปีศาจนั้นมีพลังภูติอยู่อย่างเข้มข้น เมื่อซือหยูเข้าสู่ภายในร่างนั้น พลังภูติอันเยือกเย็นก็เข้าสู่ร่างของเขาในทันทีทำให้พลังวิญญาณในร่างติดขัดมิอาจเคลื่อนไหวได้เลย เขาทำได้แค่ปล่อยให้พลังภูติปนเข้าสู่ร่างกาย
ร่างกายของเขาเย็นขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานโลหิตก็เยือกเย็นเช่นกัน และท้ายสุดก็หยุดไหลเวียน ชีวิตของเขาเริ่มดับมอดลงไป
ซือหยูตื่นตระหนก สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายอย่างยิ่งยวด! ถ้าเขาไม่รีบใช้พลังวิญญาณปกป้องร่างกายโดยเร็ว เขาก็จะอยู่ไม่ได้เกินเวลาครึ่งถ้วยชา!
แต่พลังภูตินั้นแข็งแกร่งสุดขั้ว ไม่ต้องพูดถึงพลังวิญญาณ แม้แต่สายฟ้าที่กดพลังภูติได้ก็ถูกผนึกไปเช่นกัน
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขาจะใช้พลังวิญญาณออกมาป้องกันร่างกายได้ยังไง?
ในตอนนั้นเอง แสงพลังวิญญาณแล่นผ่านศีรษะของซือหยู แสงทมิฬเปล่งประกายในอก ชิ้นส่วนชุดเกราะทมิฬเปล่งประกายต่อหน้าเขา
ชุดเกราะนั้นเย็นยะเยือก รูปแบบของมันนั้นเรียบง่าย เพราะอย่างไรมันก็ไม่ใช่สิ่งของจากยุคสมัยใหม่นี้
ที่พื้นที่ส่วนอกของชุดเกราะนั้นมีรูขนาดใหญ่มาก ดูเหมือนว่ามีบางอย่างทะลวงชุดเกราะและบดขยี้หัวใจของผู้ที่ใส่มันในอดีต
ซือหยูสัมผัสชุดเกราะโดยไม่รู้ตัว แต่มันก็ยากอย่างมากที่จะทำได้ เมื่อเขาใช้พลังเล็กน้อย ไม่ใช่เพียงเขาจะสัมผัสชุดเกราะไม่ได้ เขายังรู้สึกเจ็บปวดที่ปลายนิ้วอีกด้วย
ซือหยูตกใจ ร่างกายของเขาไปถึงระดับของราชามนุษย์ แต่ชุดเกราะตรงหน้าเขานั้นแข็งแกร่งอย่างมาก มันแตกต่างกับชุดเกราะธรรมดาโดยสิ้นเชิง
ซือหยูสังเกตุมันดีๆและพบว่าส่วนตรงกลางนั้นมีรอยบากอยู่ ในรอยนั้นมีแก้วสีโลหิตฝังอยู่ มันส่งพลังอันอบอุ่นที่ขับความเยือกเย็นออกจากร่างของซือหยู
เมื่อเขาสัมผัสมันเบาๆ แก้วก็เปล่งพลังสีเพลิงออกมาเล็กน้อย! ซือหยูตัวแข็งทื่อ จากนั้นเขาก็ตกใจจนอุทานออกมา
“นี่มัน…พลังชีวิต!!”
แก้วโลหิตนี้กักเก็บพลังชีวิตไว้เป็นจำนวนมาก มันเป็นพลังที่ทวีปเฉินหลงไม่มีอยู่! และราวกับว่าชุดเกราะทมิฬถูกใช้งาน มันสั่นอย่างรุนแรงและเปล่งแสงทมิฬออกมา
เมื่อแสงกระจายไปยังรอบข้าง พลังภูติที่อยู่รายล้อมก็ถูกทำลายหายไป! แม้แต่พลังภูติที่เข้าปะปนในร่างกายก็ถูกขับออกมาทางรูขุมขนก่อนจะสลายไป
ซือหยูดีใจผลที่เกินกว่าคาด! เขาสวมชุดเกราะทันที ในตอนนั้น พลังภูติรอบกายก็หลีกหายไปอย่างรวดเร็ว
เฮือก—
“เกือบไปแล้ว! โชคดีที่ข้ามีชุดเกราะนี่!”
ซือหยูพูดและลูบชุดเกราะลึกลับ เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีเป็นอย่างมาก
ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเก็บชุดเกราะนี้ไว้โดยไม่มีใครรู้ที่ทางเข้าถ้ำ…เขาก็เขาจะตายไปแล้วในตอนนี้ แต่เรื่องนี้มันยังไม่จบ เขาต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้!
ซือหยูมองรอบๆและพบว่าที่อยู่ขณะนี้คือพื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นมา มันกว้างหลายหมื่นศอก แต่มันก็มีแต่พลังภูติ เนตรวิญญาณของเขามิอาจมองผ่านไปได้ เขาต้องใช้เวลามากทีเดียวกว่าจะเจอทางออก
ซือหยูรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อสวมชุดเกราะ เขารวบรวมพลังภูติให้เป็นกลุ่มอย่างอดทนและระมัดระวัง
แต่หลังจากที่ค้นหามานาน เขาก็สัมผัสได้แต่กำแพงนิ่มๆที่บิดตัวไปมา เขาหาทางออกไม่เจอ ซือหยูยังกังวลเล็กน้อยกับแสงของแก้วที่กลางชุดเกราะ เพราะมันอ่อนแสงลงไปมากแล้ว พลังภูติเข้ามาอยู่ใกล้ตัวเขาอีกครั้ง
“ดูเหมือนชุดเกราะนี่จะรับได้อีกไม่นาน ข้าจะต้องรีบออกไปจากที่นี่!”
ซือหยูค่อนข้างเป็นกังวล
ในตอนนั้นเอง เขาเห็นแสงสีขาวแล่นผ่าน เขาหันไปมองและพบกับคัมภีร์ที่ฉีกขาด มันเปล่งแสงสีขาวอ่อนๆออกมาขับไล่หมอกพลังภูติราวกับน้ำไหล!
แสงนั้นประหลาดอย่างมาก มันแล่นผ่านหมอกพลังภูติได้ รัศมีของมันนั้นยังกว้างร้อยศอก! ซือหยูบินไปหาคัมภีร์นั้นและมองดูมันดีๆ เขาพบว่าม้วนคัมภีร์นั้นจารึกแผนที่เอาไว้