The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 419
แม้ซือหยูกับเซี่ยจิงหยูจะอยู่ที่นี่ อสุราขาวที่ชื่อไป่ลั่วกับอสุราหน้าดำที่ชื่อเฮ่ยลั่วก็ไม่คิดจะแอบคุยกัน ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะมั่นใจในวิชาภูติสวรรค์บงการของจางตี๋เก้ออย่างมาก
ไม่นานซือหยูก็ถูกพาตัวมาในตำหนักกว้างใหญ่
“เฮ่ยลั่ว ไปซะ”
จางตี๋เก้อโบกมือ
“ทำสิ่งที่ข้าบอกเจ้าไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากที่ไล่เฮ่ยลั่วออกไป จางตี๋เก้อเดินไปวางมือกับข้อมือของซือกหยู นางหลับตาช้าๆ
ไม่นานนางก็ลืมตาอีกครั้ง นางประหลาดใจ
“เจ้าต่อกรกับสวรรค์พิโรธมางั้นรึ?”
“ไม่น่าเชื่อ เด็กอย่างเจ้าบาดเจ็บเพราะสวรรค์พิโรธจริงๆ! ข้ารู้แล้วว่าเกิดอะไรกับดวงตาเจ้า”
นางพูดต่อ
“เจ้ามีสายโลหิตของภูติเช่นเดียวกับพวกเราอยู่นิดหน่อย และนี่ยังเป็นสายเลือดปีศาจหายากที่กลืนกินพลังชีวิตกับฐานพลัง น่าแปลกนัก! ถ้าเจ้าเป็นส่วนของตระกูลกุยจริง ข้าก็อาจจะส่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตระกูลกุยให้กับเจ้าได้ ตำราลับร้อยภูติ…น่าเสียดายนักที่เจ้าเป็นแค่เครื่องมือของข้า เจ้ามันไม่คุ้มเวลาหรอก”
จางตี๋เก้อเก็บความสงสัยเอาไว้
“นอกจากวิชาอัสนี เจ้าก็ยังมีวิชาเพลิงกับน้ำแข็ง แล้วร่างกายของเจ้าก็ผ่านการฝึกมาบ้าง เจ้าเรียนรู้มามากมายแต่ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น เจ้าบ่มเพาะวิชาเพลิงกับวิชาน้ำแข็งจนถึงต้นกำเนิด แต่ข้าต้องใช้วิชาอัสนีของเจ้าที่ด้อยกว่าวิชาอื่น ดูเหมือนข้าจะต้องลงแรงดูว่าเจ้าเรียนรู้อะไรมาจริงๆบ้าง…จะได้มั่นใจว่าเจ้าจะควบคุมสมบัติเทพอัสนีล้ำค่านั่นได้”
ภูติสวรรค์ชี้หน้าผากซือหยู พลังเล็กน้อยอันบริสุทธิ์และยิ่งใหญ่เข้าสู่ร่าง กระดูกและแขนขาสั่นสะเทือน
“อย่างแรก…”
“ข้าต้องจัดการกับพลังในร่างเจ้าที่เป็นสิ่งขัดขวาง”
ปั้ง ปั้ง–
ด้วยพลังมหาศาล ซือหยูตัวสั่นไปทั้งกายและเจ็บปวดอย่างมาก วิญญาณของเขาสั่นอย่างรุนแรง เขาครางด้วยความเจ็บปวด กระดูกของเขาหัก เลือดเนื้อของเขาสั่นสะเทือนไม่หยุด
ในตอนนั้น พลังทั้งสามในกาย น้ำแข็ง เพลิง อัสนี ได้เข้าบีบอัดกับเลือดเนื้อ กระดูก และอวัยวะภายใน โลหิตสีดำที่ผสมเข้ากับพิษอันไม่บริสุทธิ์ถูกขับออกผ่านรูขุมขน ขั้นตอนนั้นเกิดขึ้นในหนึ่งชั่วยาม สุดท้ายก็ไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดถูกเค้นออกมาอีก
จางตี๋เก้อถอนดัชนี ใบหน้าราวกับตุ๊กตาของนางซีดเผือด เห็นได้ชัดว่านางใช้พลังไปมากเพื่อขับของเสียออกจากร่างของซือหยู สิ่งแปลกปลอมทั้งหมดถูกเค้นออกจากร่าง เผยให้เห็นผิวอันละเอียดและขาวสะอาดเปล่งประกาย
ร่างของเขาที่ดูเหมือนไร้กล้ามเนื้อนั้นจริงๆแล้วเต็มไปด้วยพลังที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง เพลิง และอัสนี พลังภายในนั้นเปลี่ยนแปลงเช่นกัน มันมีแสงทองอ่อนๆที่ดูไม่เหมือนกับสิ่งที่เป็นของมนุษย์!
จางตี๋เก้อเช็ดหยดเหงื่อบนหน้าผากและพยักหน้าอย่างพอใจ
“นี่คือโอกาสหายากในทุกหมื่นปี ข้าพร้อมจะเสี่ยงทุกอย่าง! หลังจากที่พลังผสมกับร่างกายเจ้า เจ้าจะปลดปล่อยพรสวรรค์ของตัวเองออกมาได้ การรวมตัวของสามธาตุในหนึ่งคน ให้พลังกายกับเจ้า นั่นก็เพียงพอแล้วที่เจ้าจะเป็นจุดสูงสุดของราชามนุษย์ แล้วร่างกายของเจ้าก็จะไม่ถูกทำลายจากสมบัติเทพอัสนี”
จางตี๋เก้อพูดจบและชี้ดัชนีไปที่จุดกำเนิดพลังของซือหยูและใส่พลังขอบเขตภูติลงไป พลังนั้นล้อมรอบจุดกำเนิดพลังอย่างต่อเนื่องจากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นแก้วสองชิ้นที่ขนาดเท่าเมล็ดถั่ว
จางตี๋เก้อหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม ร่างเล็กของนางสั่นเล็กน้อย แต่ในหน้านั้นก็พึงพอใจ
“เพื่อปลดปล่อยพลังของสมบัติอัสนี…”
“เจ้าต้องใช้พลังชีวิตของขอบเขตภูติ แม้จะเป็นพลังช่วยเหลือของข้าเจ้าก็จะใช้พลังของมันได้ถึงสองเท่า! ข้าใส่พลังชีวิตในกายเจ้า ถ้าเจ้ายังมิอาจทำลายผนึกในครั้งแรกและเกิดอะไรขึ้น ครั้งต่อไปจะเป็นแผนสำรอง…”
จางตี๋เก้อเงยหน้ามองดูซือหยู แม้ว่าใบหน้าซือหยูจะซีดเพราะความเจ็บปวด เขาก็ยังคงมีสติ จางตี๋เก้อรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
“ช่างเป็นพลังใจที่น่าชมเชย”
“แม้จะใส่พลังลงในจุดกำเนิดพลังของเจ้า เจ้าก็ยังคงสติเอาไว้ได้”
จางตี๋เก้อละสายตาและโบกมือ
“พวกเจ้าสองคนไปยืนข้างๆแล้วอย่าขยับไปไหน”
นางนั่งลงเพื่อฟื้นฟูพลัง
ครึ่งวันผ่านไป จางตี๋เก้อตื่นขึ้นและกระอักพลังสกปรกออกมา สีหน้าของนางกลับมาอีกครั้งเผยให้เห็นใบหน้ามีชีวิตชีวา
“ท่านภูติสวรรค์ ข้าเตรียมการเสร็จแล้ว!”
เสียงของเฮ่ยลั่วดังมาจากนอกตำหนัก
จางตี๋เก้อตาเป็นประกาย
“ดี ไปกันเถอะ ข้าถูกผนึกมาพันปี ถึงเวลาแล้วที่จะออกไปจากที่นี่ ข้าอาจจะใช้ครั้งนี้ออกจากทวีปเฉินหลงแล้วกลับไปจิวโจวได้สักที”
จางตี๋เก้อโบกมืออย่างคาดหวัง กลุ่มคนปรากฏตัวที่นภาเหนือตำหนักใหญ่โดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง!
ในตอนนั้น อสุราหน้าขาวที่รับหน้าที่ดูแลบ่อผนึกมังกรบินเข้ามาและพูดด้วยความนับถือ
“ท่านภูติสวรรค์ การเซ่นมังกรอสูรกำลังจะเริ่มขึ้น โปรดบัญชาข้าด้วย”
จางตี๋เก้อเหลือบมองบ่อผนึกมังกรด้วยความชิงชังแต่ก็แฝงด้วยความกลัว
“ฮื่ม!”
“ข้ารับใช้มังกรอสูรมาพันปี การเซ่นจัดทุกครั้งในร้อยปีเพื่อแลกพลังชีวิตจากจิวโจว บัดนี้ข้าคิดอ่านจะกลับจิวโจว ทำไมข้าจะต้องสนใจมังกรอสูรอยู่อีกเล่า? ไม่ต้องไปยุ่งกับมันแล้ว!”
อสุราหน้าขาวใบหน้าแข็งกร้าวขึ้น
“แต่พวกเราจับมนุษย์พวกนี้มาเซ่น…”
“พวกเจ้าสองคนจัดการก็แล้วกัน”
จางตี๋เก้อพูดอย่างเรียบง่าย นางโบกมือ
“ไป่ลั่ว เฮ่ยลั่ว มากับข้า เจ้าสองคนภักดีต่อข้ามาหลายปี ข้าจะพาเจ้าออกจากก้นบึ้งมังกรเช่นกัน! ถ้ามีโอกาส ข้าอาจจะพาเจ้าสองคนไปที่จิวโจวได้”
ทั้งสองดีใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ท่านภูติสวรรค์!”
อสุราหน้าขาวมองรากษสหลายพันตนอย่างไม่สบายใจ เขาลังเล
“ท่าน…”
“แล้วคนของพวกเราเล่า? ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเรา พวกนั้นอาจจะถูกมนุษย์ฆ่าล้างสังหารจากเมืองก้นบึ้งไปหลายสิบปีแล้ว”
จางตี๋เก้อเยือกเย็นลง
“ข้าสนใจเจ้าพวกขยะนั่นด้วยเรอะ? พวกนั้นก็แค่รากษส แค่นั้นก็พอแล้วกับพวกผีชั้นต่ำ! ถ้าเจ้าจะอยู่กับพวกมันก็แล้วแต่เจ้า!”
“มิได้ขอรับ!”
อสุราขาวรีบพูดโดยหวังว่าจะไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด
เฮ่ยลั่วมองจางตี๋เก้อจากด้านหลัง ความภักดีของเขาแตกต่างกับไป่ลั่วโดยสิ้นเชิง
จางตี๋เก้อพูดเบาๆ ชุดของนางสั่นและทุกคนก็หายไปราวกับหมอกควัน
รากษสหลายพันตนที่ถูกทิ้งเอาไว้ต่างสับสน พวกมันตกอยู่ในความยุ่งเหยิงในไม่นาน ส่วนเหล่านักโทษมนุษย์นั้น…ไม่มีผู้ใดสนใจ
******
ที่เมืองก้นบึ้ง ในลาวาใต้พื้นพิภพ เล่ยมู่ขยับนิ้วทั้งสิบไปมาและสร้างการไหลเวียนของภาพลวง เขาพยายามจะเร่งรุด เขาหน้าซีดราวกับกระดาษ ทั้งร่างนั้นเต็มไปด้วยเหงื่อ ข้างหลังเขาคือคนที่เขาไว้ใจ ซัวหลี่ ชายที่กำลังกังวลใจ
สัญลักษณ์เก้าแบบปรากฏและหายไปจากกระบี่สายฟ้า เวทย์นั้นทำให้เล่ยมู่ควบคุมกระบี่สายฟ้าได้ชั่วคราวโดยไม่ต้องชำระมัน แม้เขาจะใช้พลังของมันได้แค่ครึ่งเดียวในตอนนี้ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ภูติสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและบังคับให้นางถอยไปได้
ในตอนนี้ ยังมีสัญลักษณ์อีกแปดแบบที่เปล่งประกายพลังงานทมิฬปกคลุมกระบี่สายฟ้า นั่นคือขั้นสุดท้ายของเวทย์ที่ยังหลงเหลือ!
ครืน ครืน—
ในตอนนั้นเอง รังสีพลังอันน่ากลัวแผ่ออกมาจากนภาเบื้องบนเมืองก้นบึ้ง!
พลังนั้นน่ากลัวจนทำให้ยอดฝีมือในเมืองหมดสติทันที แม้แต่เหล่าราชามนุษย์ที่มีพลังมหาศาลก็กระเด็นไปหลายพันศอก พวกเขามองดูบนนภาด้วยความกลัว
จางตี๋เก้อลอยอยู่เหนือเมืองก้นบึ้ง นางลอยมือไพล่หลังมองดูเมือง รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า
“ข้ามาแล้ว…”
“เจ้าเมืองก้นบึ้ง เจ้าไม่คิดจะออกมาต้อนรับข้าหน่อยเรอะ?”