The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 410
ซือหยูกัดปลายลิ้น ความเจ็บปวดอันรุนแรงทำให้ความมึนงงสลายไป
“ระวังด้วย”
“มันใช้วิชาลวงตา”
เขาปล่อยรังสีพลังอรหันต์แปดอักษรออกมาใส่หูของตัวเองเล็กน้อยเพื่อป้องกันพลังจากศัตรู
หลงเฟยหยูกับฉิงจูหวาดกลัว ความประหลาดยังเกิดขึ้นต่อไป ความเจ็บปวดที่พวกเขารู้สึกเริ่มสลายไปแล้วและเริ่มก็จะได้สติกลับมา พวกเขาไม่พบบาดแผลในเลยในพริบตานั้น
“พลังลวงตาอะไรกัน ทำไมมันถึงสร้างความเจ็บปวดได้รุนแรงเช่นนี้!”
พวกเขาจ้องมองซือหยู พวกเขาห่างไกลในด้านฐานพลังจากซือหยูมาก แล้วทำไมซือหยูถึงไม่เป็นอะไรล่ะ?
สัมผัสของพวกเขาชัดเจน พวกเขามองดูผลก้นบึ้งมังกรอีกครั้งและพบกับร่างครึ่งสุนัขครึ่งค้างคาว เสาตั้งตรงนั้นมิใช่ท่อนไม้แต่เป็นร่างกายของมัน!
มันน่าขนลุกและแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตทั่วไป มันคอเล็ก กระดูกนั้นแน่นหนาราวกับกายมนุษย์
“เจ้าสัตว์ร้าย!”
หลงเฟยหยูซัดฝ่ามือจากระยะไกล พลังวิญญาณก่อตัวเป็นพยัคฆ์พุ่งเข้าใส่สัตว์ประหลาด
ในตอนนั้นมันก็หัวเราะ มันหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“หึหึ! โจมตีระยะไกล เพื่อทดสอบพลังข้า เพื่อให้แน่ใจในความปลอดภัย หึหึ! เจ้าไม่โง่นี่”
มันพูดได้รึ…? นี่มันสัตว์ประหลาดอะไรกัน?
มันขยับตัวดึงตัวเองขึ้นจากพื้น
แกร่ก ตู้ม–
โครงกระดูกดำสูงสามศอกโผล่พ้นผิวดิน! ร่างของมันราวกับลิงยักษ์ที่มีหัวราวกับกำปั้นของมนุษย์
มันหยุดเคลื่อนไหวและปล่อยให้วิญญาณพยัคฆ์พุ่งเข้าใส่ ร่างสูงใหญ่ของมันสั่นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร มันแข็งแกร่งอย่างมาก! ทุกคนตกตะลึง
หลงเฟยหยูคิ้วกระตุก
“เซี่ยนเอ๋อ หนีกันเถอะ ตอนนี้เลิกสนใจผลก้นบึ้งมังกรไปก่อน”
สัตว์ประหลาดนี้ลึกลับและทรงพลัง ไม่ดีแน่ถ้าจะต่อสู้เผชิญหน้ากับมัน ฉิงจูถอยเช่นกัน
ซือหยูนั้นเร็วกว่าคนที่เหลืออย่างมาก เขาบินไปไกลในทิศทางตรงกันข้าม ทั้งสามตัดสินในที่จะถอยไปคนละทิศทางในทันที
“สายไปแล้วที่จะหนี”
มันหัวเราะอย่างดุร้ายและกรีดร้องออกมา
ตู้ม ตู้ม—
รากไม้ราวกับเส้นผมผุดขึ้นมาจากพื้น มันมัดทั้งสามเอาไว้
“ส่วนของร่างกายมันยังมีอยู่ในพื้นดิน!”
ฉิงจูชักสีหน้า เขากระทืบเท้าและบินขึ้นเหนือพื้น
ซึ่บ–
รากสามรากผุดขึ้นมาพุ่งเข้าใส่เขา การโจมตีนั้นเกิดขึ้นเร็วมากอย่างไม่คาดคิดแต่เขาก็ยังคงเป็นจ้าวแห่งความมืด ความเร็วในการตอบสนองของเขาไม่เหมือนกับคนทั่วไป
“กระบี่เวหา!”
เอากำหมัด กระบี่เวหาเฉือนสิ่งที่พุ่งเข้ามา
การโจมตีของราชามนุษย์นั้นอัญเชิญพลังสวรรรค์มาได้ พลังของเขานั้นมหาศาล
ฉั่วะ–
รากไม้ขาดไปแต่ก็มีรากใหม่พุ่งขึ้นมาจากพื้นดินนับพันราก มันพุ่งเข้าใส่ฉิงจูราวกับน้ำตก
ฉิงจูใช้ฝ่ามือสร้างมีดเวหาเก้าเล่มและซัดออกไปพร้อมกัน
ครืน—
รากทั้งพันรวมเป็นหนึ่งเดียว มันปัดมีดลมทั้งเก้าเล่มที่แข็งแกร่งราวกับเหล็ก รากจำนวนมากพันฉิงจูและลากเขาลงกับพื้น
“ผนึกวารีสวรรค์!”
เซี่ยจิงหยูยื่นมือออกไป รากทั้งพันรากสั่นสะเทือน ของเหลวสีแดงถูกดูดออกจากรากทำให้รากเหล่านั้นเหี่ยวเฉาลง ผีร้ายกรีดร้องออกมา
ฉิงจูใช้โอกาสนี้สะบัดตัวออกจากพันธนาการและบินขึ้นที่สูง ส่วนในร่างกายที่ถูกรากรัดนั้นเกิดรอยแผลเป็นอันน่ากลัว
“เจ้านั่นมันดูดกลืนพลังชีวิตได้!”
ฉิงจูอ้าปากค้าง
เซี่ยจิงหยูปล่อยม่านวารีออกไปรักษาฉิงจู พริบตาเดียวรอยแผลเป็นก็หายแห้งเหี่ยว
“มันรักษาบาดแผลได้แต่ฟื้นฟูพลังชีวิตเจ้าไม่ได้”
“ขอบคุณนะ”
ฉิงจูอายและขอบคุณด้วยความละอายใจ เขาอยากจะปกป้องนางแต่ก็จบด้วยการให้นางต้องช่วยแทน
“ค่อยพูดตอนที่บินสูงกว่านี้เถอะ”
หลงเฟยหยูปกป้องเซี่ยนเอ๋อและบินออกไปไกล
รากไม้ไล่ล่าอย่างรวดเร็ว มันเกือบจะได้รัดตัวหลงเฟยหยูหลายครั้ง สถานการณ์เริ่มย่ำแย่แต่ในท้ายสุดพวกเขาก็หนีมาได้หลายร้อยลี้ พวกเขากลับมาถึงซากศิลาอันสงบสุข
ทั้งกลุ่มรวมตัวกันอีกครั้ง
“พี่หิมะทมิฬไปไหนแล้วล่ะ?”
เซี่ยนเอ๋อถาม นางกังวลถึงซือหยู มีเพียงพวกนางสี่คนที่กลับมา
ฉิงจูสับสน
“เมื่อครู่ชุลมุนนัก ข้าไม่ทันสังเกต”
หลงเฟยหยูพูดต่อ
“พวกเราไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พลังของราชาปีศาจหิมะทมิฬนั้นมหาศาล เขามีประสบการณ์การต่อสู้อันเข้มข้น การตอบสนองของเขาเร็วกว่าพวกเราเสียอีก ข้าว่าเขาไม่เป็นอะไรหรอก”
มีแค่เซี่ยจิงหยูที่ขมวดคิ้ว
“เจ้ามั่นใจได้ยังไงกัน? เจ้าเป็นราชามนุษย์ ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เจ้าจะหนีรากไม้นั่นมาได้ แต่พลังของราชาปีศาจหิมะทมิฬอาจจะไม่พอที่จะหนีออกมา! แล้วพวกเราสัญญาว่าจะร่วมมือกันปกป้องเขาขณะที่หาผลก้นบึ้งมังกร แต่เมื่อถึงคราวเกิดเรื่อง เราก็ทิ้งเขาเอาไว้!”
ทั้งสี่คนรู้สึกละอายใจ
หลงเฟยหยูไม่พอใจ
“ทำไมข้าจะไม่เสี่ยงไปหาเขาเล่า?”
“ท่านหลง…”
เซี่ยนเอ๋อเป็นฝ่ายเริ่มพูด
“โปรดช่วยพี่หิมะทมิฬด้วยเถอะ”
นางดีใจที่หลงเฟยหยูรักษาคำพูดและไม่น่าเบื่ออย่างที่นางทำให้เขาเป็น
ฟึ่บ–
หลงเฟยหยูออกบินโดยไม่รอเวลา เขาอยู่สูงมากเพื่อเลี่ยงการถูกลอบโจมตี ทั้งกลุ่มเงียบกริบ
“ข้ารู้แล้วทำไมผลก้นบึ้งมังกรถึงมีน้อยนักในครั้งนี้”
ฉิงจูถอนหายใจ
เซี่ยจิงหยูพยักหน้า
“เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นดูเหมือนจะกินผลก้นบึ้งมังกรเพื่อเอาชีวิตรอด”
ฉิงจูเจ็บปวดอย่างมาก
“ฐานพลังของมันเป็นของจริง! ราชามนุษย์สองคนยังไม่พอ! แต่พลังที่มันใช้ออกมาเป็นแค่ระดับผู้คุมสวรรค์ ทำไมมันถึงแข็งแกร่งนัก”
เซี่ยจิงหยูคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางหลับตาช้าๆคิดถึงอะไรบางอย่าง ไม่นานดวงตาคู่นั้นก็เป็นประกาย
“เราอาจจะได้เจอกับรากษสในตำนาน!”
ฉิงจูไม่ตกใจที่ได้ยินการคาดเดาของเซี่ยจิงหยู นางอ่านตำราหลายล้านเล่มในอาณาจักรทมิฬ ความทรงจำของนางไม่มีใครเทียบได้ นางจดจำได้ทุกสิ่งที่เคยอ่าน มีเรื่องไม่มากนักที่นางไม่รู้
เซี่ยนเอ๋อสับสน
“พี่ยี่หยู รากษสคืออะไรรึ? มันแข็งแกร่งงั้นรึ?”
ยี่หยูส่ายหน้า
“รากษสไม่ได้แข็งแกร่ง แต่หลังจากที่มันตาย วิญญาณของมันจะกลายเป็นพลังปีศาจไปหลายยุคก่อนที่จะหาร่างสิงเจอ มันเชี่ยวชาญวิชาวิญญาณและมีร่างเนื้อที่แข็งแรง จุดอ่อนคือมันกลัวน้ำและพลังของบุรุษเพศ ถ้าเจ้าทำให้มันเชื่องได้ ผู้คุมสวรรค์ที่เป็นมนุษย์ก็ชนะมันได้ง่ายๆ มันคือภูติผีที่อ่อนแอที่สุด เหนือกว่านั้นยังมีพวกกึ่งเทพอย่างอสูรขาว เหนือกว่าอสูรขาวคือภูติสวรรค์ มันแข็งแกร่งกว่าทุกสิ่งในโลกใบนี้ พลังของมันอยู่ในขอบเขตภูติ!”
มีภูติผีในขอบเขตภูติอยู่ด้วย! เทียบกันแล้ว…รากษสนั้นอ่อนแอที่สุดในบรรดาภูติผี การที่พวกเขาหนีมาได้ง่ายๆนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดี
“สรุปก็คือรากษสนั้นไม่ได้แข็งแกร่ง”
“แต่ข้ากำลังกลัว…ตามตำรา รากษาจะไม่ลงมือตามลำพัง มันมักจะมีคู่หรือ…ฝูง!”
******
ซือหยูเข้าไปยังก้นบึ้งหวงห้ามลึกขึ้น เขาไปในทางตรงกันข้ามกับคนที่เหลือ เขาขยับหินก้อนใหญ่ก่อนที่จะหยุดหนีและหันกลับไป
“หึหึ…! ไม่หนีอีกแล้วเรอะ?”
ร่างใหญ่ของมันสั่นสะเทือนเมื่อพุ่งเข้ามา มันมองรอบๆด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้หนีมาทางนี้เพราะตกใจ เจ้าล่อข้ามาที่นี่ ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจกว่าจัดการข้าได้นะ!”
“ข้าก็คิดแบบนั้น จัดการเจ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่”
ภูติผีหัวเราะ
“แค่มนุษย์ขอบเขตอำมฤตกลับคิดจะต่อกรกับข้า น่าขันสิ้นดี!”
เปรี๊ยะ–
ซือหยูสะบัดข้อมือ สายอัสนีแล่นผ่านขา กลิ่นเหม็นไหม้โชยขึ้นมา
ใบหน้าของภูติผีบิดเบี้ยว แววตาของมันเกรี้ยวกราด
“เจ้า…”
“ถ้าเจ้ามั่นใจนักทำไมเจ้าถึงต้องลอบโจมตีเล่า?”
ซือหยูหัวเราะอย่างเยือกเย็น
“เจ้าคิดว่าพลังสายฟ้าเล็กน้อยนั่นจะทำอะไรข้าได้รึ?”
มันเริ่มระวังตัว ไม่กล้าก้าวมาข้างหน้า
“ที่นี่มีแค่เจ้ากับข้า เจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดมา เจ้าทำได้แค่ไล่ตามข้าแทนที่จะไล่ตามคนหลายคน มันจะต้องมีเหตุผลเป็นแน่”
ในด้านพลังชีวิต ซือหยูนั้นเป็นรองกว่าราชามนุษย์อยู่หลายขุม ไม่ง่ายที่จะรู้ว่าเหตุใดมันถึงไม่ลงมือทำอะไรซือหยูหลังจากที่ไล่ล่ามานานเช่นนี้
“หึหึ! เจ้ารู้แล้วจะทำไมรึ? จะยังไงเจ้าก็ตายอยู่ดี!”
มันถอนหายใจแรงและปล่อยรากนับหมื่นออกมา
ซือหยูรออยู่แล้ว
“ดัชนีพันสายฟ้า!”
วงแหวนอัสนีพุ่งออกจากปลายนิ้ว มันพุ่งเข้าใส่รากที่พุ่งเข้ามา!
เปรี๊ยะ–
รากหลายพันรากถูกทำลายในทันที
ไฟฟ้านั้นมีพลังที่เหมาะจะสวนกลับพลังปีศาจ วงแหวนอัสนีนั้นไม่เสียพลังใดเลยและพุ่งไปโดยร่างหลักของภูติผี มันกรีดร้อง หินสีดำออกมาจากร่างของมัน ยังคงมีเพลิงลุกไหม้อยู่
“เจ้าใช้วิชาอัสนีงั้นเรอะ!”
มันเริ่มระวังตัวขึ้น จิตสังหารแผ่ออกมา
“โชคร้ายที่เจ้าก็อยู่แค่ระดับต่ำ ถ้าเจ้าได้เป็นผู้คุมสวรรค์ข้าอาจจะกังวล…”
มันยิ้มอย่างเยือกเย็น
การจู่โจมเมื่อครู่คือการทดสอบพลังของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าวิชาอัสนีนั้นไม่ได้อยู่ที่ขั้นกลาง ความกังวลของมันจึงหายไป
มันหัวเราะอย่างโกรธแค้นและพุ่งเข้าใส่ซือหยู แต่ท่าทางซือหยูก็ไม่เปลี่ยนไป ดัชนีพันสายฟ้าของเขาอยู่ในขั้นต้นและจัดการกับอำมฤตระดับสี่ขั้นสูงได้อย่างง่ายดายแต่ไม่มีพลังพอจะจัดการกับผู้คุมสวรรค์ นั่นก็เพราะว่าเขาใช้พลังออกไปเพื่อสวนกลับเท่านั้น
เขารวบรวมดัชนีพันสายฟ้าอีกครั้ง วงแหวนอัสนีก่อตัวขึ้นพุ่งเข้าใส่ร่างของมัน
มันกรีดร้องแต่ก็ฝืนเข้ามาโจมตี มันจะแทงซือหยูด้วยกระดูกทมิฬที่ยาว ซือหยูขยับไหล่หลบกระดูกนั้น แต่กระดูกอีกท่อนที่คมกริบก็พุ่งออกมาจากพื้นดินเบื้องล่าง มันเกือบจะทะลวงร่างของเขา
ซือหยูต้องบินหนี นี่เป็นครั้งที่เขาตอบสนองได้ช้าที่สุด
“เอาชีวิตเจ้ามา!”
มันหัวเราะอย่างชั่วร้าย
แต่ตอนนั้นมันก็กรีดร้องเสียงดัง มันหันไปมองอีกด้าน ซือหยูคนที่สองได้ถูกสร้างจากพลังวิญญาณและร่างก็เปล่งแสงเพลิงออกมา มันร้อนเป็นอย่างมาก เขาถือขวดเพลิงในมือและรินมันใส่ร่างของรากษส
เพลิงได้แผดเผากลืนกินร่างของมัน
“เจ้าสร้างร่างปลอมโดยที่ข้าไม่รู้ตัวได้ยังไงกัน?”
มันตะโกนร้องขณะที่ถูกเพลิงกลืนกิน