The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 383
หลังนางพูดจบก็แสร้งทำเป็นใจเย็นและรีบออกไปจากที่นี่ทันที
เจียงมู่เฟยยิ้มเยาะ
“นังคนอวดดี! ข้าเป็นห่วงจริงๆที่คิดว่าน้องหยินหยูชอบสตรีเช่นนี้!”
ซือหยูยิ้ม แม้พวกเขาจะไม่ได้รู้จักกันมานานแต่เจียงมู่เฟยก็เรียกเขาว่า “น้องหยินหยู” แม้มันจะดูดี แต่ความจริงแล้วนางนั้นหลักแหลมในการสร้างสายสัมพันธ์กับผู้คน
ก่อนการประลอง ซือหยูยังไม่ได้แสดงพลังออกมา นางจึงมิได้เข้าหาเขามากนัก แต่ซงหลวนนั้นเป็นคนสัตย์ซื่อและใจดี ดังนั้นเขาจึงต้องการสตรีที่คิดอ่านได้ดีอยู่ข้างกาย
“พี่ซงหลวน พวกท่านไปก่อนเถอะ”
“ไว้พบกันใหม่”
ซงหลวนยิ้มอย่างอ่อนโยนและเดินจากไปเคียงข้างกับเจียงมู่เฟย
ซือหยูมองทั้งสองด้วยรอยยิ้มและถอยเข้าไปหาเงาในซากปรักหักพังอย่างเงียบเชียบ
เอื้อก—
ทั้งร่างของซือหยูสั่น เขาจับซากด้วยแขนหนึ่งข้างเพื่อให้ยังยืนอยู่ได้ เขาก้มหัวกระอักเลือดออกมา
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้นทำให้สีผิวของเขาซีดราวกับกระดาษ ราวกับว่าโลหิตในกายถูกดูดหายไปจนหมด
หากมองดีๆจะพบว่าดวงตาของซือหยูนั้นแววตาหายไปอย่างมาก นั่นเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะตาบอด! และในร่างของเขายังสั่นอย่างบ้าคลั่ง เกิดเสียงดังสะท้อนไปมาในกาย
หัวใจของเขาเต้นแรงดั่งเสียงกีบอาชา มันเต้นเร็วจนน่ากลัวราวกับจะหลุดออกจากอกของซือหยูได้ในทุกขณะ ดวงตาของซือหยูพร่ามัวแต่ก็ไม่ใช่เพราะเขากำลังจะหมดสติ แต่เป็นเพราะตาของเขากำลังจะบอด!
เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้งอย่างควบคุาไม่ได้
“ตาข้า…”
ซือหยูโบกมือข้างหน้าตัวเองและพบว่าตรงหน้าช่างพร่ามัวอย่างมาก เขากำลังจะตาบอดสนิท
ความทุกข์ทรมานปรากฏให้เห็นบนมุมปาก
ฟิ้ว–
ทันใดนั้นเอง สายลมรุนแรงพัดเข้ามาและกวาดเขาออกไป
เมื่อทุกอย่างสงบลง เขาพบว่าตัวเองอยู่ในห้องของหญิงสาวที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอันหอมหวาน เขาได้ยินเสียงอันอ่อนโยน
“ทำไมกัน รึในที่สุดเจ้าก็ทนไม่ไหวแล้ว?”
เป็นเสียงจากจ้าววิหคเพลิง และพวกเขาอยู่ในห้องนอนของนาง
ซือหยูเช็ดคราบเลือดที่มุมปากและฝืนยิ้ม
“ท่านรู้ได้ยังไง?”
จ้าววิหคเพลิงช่วงพยุงซือหยูให้นั่ง ปลายดัชนีของนางแตะเข้าที่หน้าผากของซือหยูและใส่พลังวิญญาณของนางลงไป ใบหน้านางแสดงความนับถือและเต็มไปด้วยอารมณ์
“เจ้าขัดต่อบัญชาสวรรค์และยังทำให้สวรรค์โกรธเกรี้ยว”
“นั่นจะไม่ต้องแลกกับอะไรเลยรึ?”
ยิ่งพลังมากมายเท่าใด ก็ยิ่งต้องแลกมากเท่านั้น พลังของยอดฝีมือเกิดจากการบ่มเพาะมาตลอดหลายปี และสิ่งที่ต้องแลกก็คือการฝึกฝนในทุกๆวัน และซือหยูยังแสดงพลังของสวรรค์พิโรธ นั่นคือเนตรสวรรค์อย่างจงใจ ด้วยพลังเช่นนั้น ถ้าหากเขาไม่ได้ฝึกฝนทีละก้าว เขาก็ต้องแลกด้วยอย่างอื่นแทน และนั่นคือร่างกายของเขา
แม้เขาจะทำให้ศัตรูเจ็บปวดไปสิบส่วน เขาก็ต้องรับเอาไว้เองเสียแปดส่วน
“ข้านับถือเจ้าจริงๆที่เจ้าอดทนมาได้จนถึงตอนนี้”
จ้าววิหคเพลิงชมเชย
ซือหยูกระแอม โลหิตสีแดงคล้ำจำนวนมากออกมาอีกครั้ง เขาฝืนยิ้ม
“ถ้าหากข้าไม่อดทน ท่านจ้าวคณะคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับยอดฝีมือที่มีสมบัติเทพระดับกลางสองชิ้นแล้วบาดเจ็บสาหัสเล่า?”
จ้าววิหคเพลิงหมดคำพูด ถ้าหากเป็นเช่นนั้นมันก็คงจะหนักหนายิ่งกว่าบาดเจ็บหนักแน่! นางถอนหายใจเงียบๆและมองดูอาการบาดเจ็บของซือหยู จากนั้นนางก็มีสีหน้าเคร่งเครียด
“ร่างกายเจ้าแข็งแรงดีอยู่…”
“เจ้าจะต้องฝึกร่างกายมาก่อนอยู่แล้ว ดังนั้นแม้บาดแผลภายในเจ้าจะดูรุนแรง แต่มันก็ไม่เป็นภัยต่อชีวิต หากแต่…ดวงตาของเจ้า…”
จ้าววิหคเพลิงสีหน้าไม่ยินดีนัก นางมองซือหยูที่ตาไร้แววก็รู้สึกจุกอก นางมิอาจพูดอะไรได้ ดวงตาของซือหยูถูกทำลาย! สิ่งที่เขาต้องแลกกับการใช้เนตรสวรรค์ก็คือสายตาของเขา!
ซือหยูใช้ตาของตัวเองในการใช้เนตรสวรรค์เพื่อแสดงพลังสวรรค์พิโรธ ดวงตาของเขาที่ใช้พลังสวรรค์พิโรธจึงเสียหายรุนแรงในที่สุด ชีวิตที่เหลือของเขาอาจจะต้องพบเจอแต่ความมืดมิด เขาจะไปอยู่ในระดับของคนตาบอด!
หากเสียการมองเห็นไป เขาก็จะเสียความสามารถในการต่อสู้ไปแปดส่วน ถ้าเขามาในงานชุมนุมวิหคเพลิงอีกครั้ง เขาก็อาจจะเอาชนะหลิวลี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
จ้าววิหคเพลิงรู้สึกเสียใจกับเขา เขาพังทลายประตูความเป็นความตายมาได้ แต่เขาก็ต้องลงเอยด้วยการเป็นคนตาบอด ความเป็นตำนานราชาได้จบลงในไม่นาน
“ข้าตาบอด ใช่หรือไม่?”
เขายิ้ม แม้แต่รอยยิ้มของเขาก็ดูมิใช่รอยยิ้ม จ้าววิหคเพลิงมองเห็นความโศกเศร้า ความเจ็บปวด และความกลัวในรอยยิ้มนั้น คนตาบอดจะท้าทายอยู่บนโลกแห่งนี้ได้อย่างไร? เขาจะต้องร่อนเร่ไปในโลกมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความทรงพลังอย่างนั้นรึ? เขาจะปกป้องเซี่ยนเอ๋อได้อย่างไร?
ความมืดมิดที่มิอาจขจัดออกไปจะติดตามซือหยูไปตลอดชีวิตที่ยังเหลืออยู่ของเขา
“ข้าจะแจ้งข่าวกับอาณาจักรทมิฬและให้เจ้าตำหนักหลิงมารับเจ้าด้วยตัวเอง”
จ้าววิหคเพลิงแน่นในอก นางออกจากห้องไป ชะตาเช่นนี้ไม่เป็นธรรมเกินไปกับซือหยู
ซือหยูนั่งลงในความมืดด้วยตัวคนเดียว เขาตาบอดแล้ว พลังดั่งมนต์ของห้วงเวลาและมิติที่ต้องใช้ดวงตาในการแสดงพลังจากไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเนตรสวรรค์ เขาจะต้องตาบอดไปตลอดชีวิตงั้นรึ? เขาจะไม่ได้เห็นหน้าของเซี่ยนเอ๋ออีกแล้วรึ? ความโศกเศร้าฝังแน่นในจิตวิญญาณ
ทันใดนั้นก็มีแสงขนาดเท่าเมล็ดถั่วปรากฏขึ้นในมุมมองมืดมิดของซือหยู ราวกับว่าเป็นเพียงแสงเดียวในโลกแห่งความมืดมิดแห่งนี้
“ดวงตาข้ากำลังฟื้นฟูรึ?”
ซือหยูประหลาดใจและสับสน
เขานั่งคอยเวลา แสงอันบางเบานั้นได้ขยายขนาดใหญ่ขึ้น ในแสงนั้น…ซือหยูได้มองเห็นโลกอีกครั้ง
แต่ที่แปลกคือสิ่งที่ปรากฏในดวงตาของซือหยูมิใช่มุมมองเดิมของโลก มันกลับเป็นการมองที่ทะลุลึกลงไป
ในห้องแห่งนี้ เช่น…โต๊ะข้างหน้าเขา ซือหยูมิได้เห็นเพียงแต่พื้นผิวของมัน เขากลับเห็นภายในของโต๊ะด้วย! โครงสร้างทั้งหมดและภายในของมันนั้นเห็นได้อย่างชัดเจน!
ส่วนกล่องหยกที่อยู่เหนือโต๊ะ ซือหยูมองผ่านทะลวงมันไปได้ เขาเห็นปิ่นปักผม หวี และหลายอย่างที่ถูกจัดเรียงอยู่ภายใน
ส่วนตู้เสื้อผ้าที่ปิดแน่นอยู่หน้าเตียง ซือหยูยังมองผ่านมันได้อย่างง่ายดาย เขาเห็นกระโปรงหลากสีสันที่เป็นของจ้าววิหคเพลิงและชุดอื่นๆของนาง แม้แต่ของลับที่นางวางไว้ในส่วนลึกที่สุดก็ถูกมองเห็นอย่างง่ายดาย
ในสายตาของซือหยู ทั้งห้องนี้ราวกับโลกอันโปร่งใส เขามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง
หากมีแสงนี้อยู่ เขาก็ได้การมองเห็นกลับมาอีกครั้ง ผลของมันยังดียิ่งกว่าเดิม! ดวงตาของเขามองทะลุสิ่งของได้!
แต่เมื่อซือหยูตรวจสอบดวงตาอีกครั้งก็พบว่าดวงตาของเขายังคงบอดและเสียหายรุนแรง แต่เขาเห็นทุกสิ่งตรงหน้าได้ยังไงกัน?
ความคิดแล่นผ่าน ซือหยูมองดูภายในจิตวิญญาณ หม้อเก้ามังกรยังคงมีรอยฝ่ามืออยู่ในวิญญาณของเขาอย่างเคย แต่หม้อเก้ามังกรมีจุดที่เปลี่ยนแปลงไป! การชำระของมังกรม่วงและมังกรสีชาดได้อยู่อีกด้าน และที่เพิ่มขึ้นมาคือมังกรขาวยาวสามนิ้วที่ถูกชำระ!
มังกรตัวที่สามถูกชำระแล้ว!
ซือหยูตกใจ! หม้อเก้ามังกรนั้นนิ่งเงียบมานาน แต่การชำระของมังกรตัวที่สามก็เกิดขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว
มันเกิดขึ้นเมื่อใดกัน?
ทันใดนั้นความคิดก็แล่นผ่านซือหยูอีกครั้ง หม้อเก้ามังกรจะตอบสนองก็ต่อเมื่อดวงวิญญาณสั่นอย่างรุนแรง เป็นเช่นเดียวกับตอนที่มังกรม่วงและมังกรสีชาดถูกชำระล้าง
ตอนที่ซือหยูใช้พลังขัดบัญชาสวรรค์และฝืนใช้เนตรสวรรค์ออกมา ดวงวิญญาณของเขานับว่าสั่นสะเทือนอย่างแรง แต่ซือหยูกำลังเผชิญหน้ากับสวรรค์ที่พยายามจะกดเขาให้จมดินอยู่ เขาเลยไม่รู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงของหม้อเก้ามังกร!
มังกรม่วงนั้นเป็นตัวแทนแห่งห้วงเวลา มังกรสีชาดเป็นตัวแทนแห่งมิติ เช่นนั้นมังกรขาวก็เป็นตัวแทนแห่งวิญญาณ!
ข้อความปรากฏในจิตใจของซือหยู
“เนตรวิญญาณเป็นที่รู้จักกันว่าเนตรดวงใจ เจ้าจะได้ใช้วิญญาณของเจ้าในการมองโลกและได้เห็นแก่นของโลก…”
ซือหยูนึกถึงในตอนที่เขาใช้คลื่นจิตวิญญาณในการตรวจสอบว่ามีสิ่งใดอยู่ภายในสิ่งของนั้นหรือไม่เขาก็เข้าใจในทันที เนตรวิญญาณจะทำให้เขามองเห็นทุกสิ่งบนโลกผ่านดวงวิญญาณ เขาจะได้เห็นแก่นแท้ของทุกสิ่งบนโลก แม้ว่ามันจะต่างจากคลื่นจิตวิญญาณ มันก็ให้ผลที่น่าพอใจและน่าอัศจรรย์
การมองของเนตรวิญญาณนั้นทำให้เขาเห็นทุกสิ่งแบบโปร่งใสและแตกต่างจากการมองแบบปกติโดยสมบูรณ์ แต่การมองเห็นถึงตัวตนของทุกสิ่งเช่นนี้น่าจะเป็นผลดีกับการต่อสู้เสียด้วยซ้ำ
จิตใจซือหยูที่เศร้าหมองกลับมาผ่อนคลายขึ้น มิติ ห้วงเวลา และเนตรสวรรค์ยังถูกผนึกเอาไว้เพราะดวงตาของเขาถูกทำลาย แต่การได้เนตรวิญญาณมาก็นับว่าเป็นการเติบโตขึ้นอีกระดับ
ปั่ก ปั่ก–
จ้าววิหคเพลิงกลับเข้ามา
“ข้าติดต่อกับอาณาจักรทมิฬให้พาตัวเจ้ากลับไปแล้ว…”
“เจ้าพักในห้องของข้าได้อย่างเบาใจ ไม่มีใครจะทำอะไรเจ้า”
ซือหยูรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก เขาหันไปมองที่นาง
“ขอบคุณท่านจ้าวคณ…”
แต่เขาก็หยุดชะงักราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่ ในสายตาของเขา รูปลักษณ์ของจ้าววิหคเพลิงเปลี่ยนไปอย่างมาก
ในขั้นแรก เขามองเห็นชั้นเครื่องสวมใส่อันตระการตาที่มองข้ามผ่านไปได้ ต่อมาก็เป็นชุดชั้นใน และก็เป็นทั้งร่างของนางทั้งนอกทั้งใน เขาเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน จ้าววิหคเพลิงราวกับเปลือยกายอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้!
ภาพสลักลงในจิตใจในตอนที่เขาตกใจ เขาปรับสายตาว่าจะมองผ่านที่ใดและเลี่ยงในการมองนาง เมื่อทำเช่นนั้น เขามองจ้าววิหคเพลิงอีกครั้งและเห็นเพียงแค่ภาพปกติที่ควรเห็นและไม่มองทะลุชุดของนางอีก
แต่ในตอนนั้นเอง จ้าววิหคเพลิงก็มองซือหยูด้วยความสงสัย นางเอามือขวาปิดหน้าอกและหรี่ตามอง นางจ้องซ์อหยู และเห็นภาพลวงที่ว่าซือหยูเห็นทะลุทั้งร่างของนาง แต่หลังจากที่เห็นว่าซือหยูยังคงตาบอด นางก็กระซิบกับตัวเอง
“ข้าระแวงเกินไปงั้นรึ?”
จากนั้นนางก็ส่ายหน้าและวางแขนลง นางปลอบเขาด้วยเสียงอันอ่อนโยน
“ข้าเชื่อว่าเจ้าตำหนักหลิงจะต้องหาทางรักษาดวงตาของเจ้าได้แน่”
ซือหยูหวังแบบนั้นเช่นกัน เขาจะได้ใช้เนตรสวรรค์ได้อีกครั้ง จากนั้น…ไม่ว่าโลกใบนี้จะกว้างใหญ่เพียงใด จะมีที่ใดอีกที่เขาไปไม่ได้? เนตรสวรรค์ที่เป็นพลังจากสวรรค์พิโรธนั้นไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าพลังทำลายล้างจากวิหารโบราณเลย
ซือหยูยืนขึ้นและกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
“ขอบคุณท่านจ้าวคณะในน้ำใจต่อข้าและเซี่ยนเอ๋อ ข้าจะต้องตอบแทนน้ำใจของท่านอย่างแน่นอน”
จ้าววิหคเพลิงยิ้ม
“ไม่ต้องพูดให้มากความก็ได้ ตอนนี้การรักษาเจ้ามันสำคัญเสียยิ่งกว่า ดูสภาพเจ้าในตอนนี้น่าจะไปไหนไม่ได้ไปอีกสิบวัน”
ซือหยูมองจ้าววิหคเพลิงด้วยความสำนึกบุญคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ
ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงอะไรบางอย่างและพูดอย่างเคร่งเครียด
“ท่านจ้าวคณะ ข้าขอถามท่านสักหน่อย ท่านสนิทสนมกับเจ้าเมืองอันยี่หรือไม่?”
เจ้าเมืองอันยี่รึ? จ้าววิหคเพลิงส่ายหน้าเบาๆและขมวดคิ้ว
“ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อน เจ้าถามทำไมกัน?”
ซือหยูเบิกตากว้าง
“ท่านหมายความว่าท่านไม่ใช่คนที่อนุญาตให้เขาเข้ามาในคณะวิหคเพลิงงั้นรึ?”
“อะไรนะ? เขาอยู่ในคณะวิหคเพลิงงั้นรึ? เป็นไปไม่ได้!”
จ้าววิหคเพลิงตกใจและปฏิเสธเสียงแข็ง