The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 351
มีสัตว์อสูรมากมายในรัศมีร้อยห้าสิบลี้ ทุกย่างก้าวไปผ่านไปนั้นก็จะจบสัตว์มีพิษหลายขนาด
แล้วก็ยังมีตัวที่แข็งแกร่งที่สุดและทำให้ซือหยูกลัวอย่างมาก เขาไม่กล้าจะทำอะไรมัน
“ระวังด้วย พวกเราอาจจะเข้ามาในพื้นที่พิเศษโดยบังเอิญแล้วล่ะ”
ซือหยูพูดอย่างจริงจัง สิ่งต่างๆรอบตัวพวกเขาไม่ปกติแม้แต่น้อย พวกเขาต้องระวัง
จู่ๆ ขณะที่พูดก็มีหมอกสีม่วงคล้ำพวยพุ่งมาจากส่วนลึกในป่า
“นั่นมันหมอก! สีนั่นน่าจะเป็นหมอกพิษ หลบเถอะ”
ซือหยูพูดอย่างระวัง
ทั้งสองบินอ้อมหมอกอย่างระวังเพื่อหนีจากมัน
แต่….
แกร๊ง–
แกร๊ง—
เสียงโลหะกระทบกันดังในหมอกนั้น ตามด้วยเสียงสตรีที่ราวกับจะขอความช่วยเหลือ
ซือหยูพยายามดู แต่พลังดวงตาของเขาก็มิอาจมองเห็นสถานการณ์ในหมอกได้
ฉีหยุนเซี่ยงพูดอย่างกังวล
“เราควรจะช่วยนางไหม?”
ตามปกติพวกเขาควรจะรีบไปโดยเร็ว แต่ตามความรู้สึก…พวกเขารู้สึกว่าควรจะช่วยคนที่กำลังลำบาก
ซือหยูคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“เจ้ารอข้าอยู่ข้างนอกหมอกตอนที่ข้าเข้าไป”
เพราะเขาอยู่ในที่เกิดเหตุและมีพลัง จะไม่ดีกว่ารึที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยนาง?
ปั้ง–
ปั้ง–
ชั้นอัสนีม่วงล้อมรอบกายซือหยู
ชั้นหมอกพิษที่เข้ามาหาซือหยูได้สัมผัสกับอัสนีและกลายเป็นเถ้าถ่านร่วงหล่นเป็นจำนวนมาก
ฟึ่บ–
หลังจากที่เข้ามาในหมอก ซือหยูเห็นสถานการณ์ภายในทันที
เขาพบหญิงสาวที่งดงามน่าหลงใหลอายุประมาณยี่สิบหกปี นางมีพลังอำมฤตระดับสามขั้นต้น
นางดูอ่อนหวานและมีเสน่ห์ นางสวมชุดหนังจิ้งจอกหิมะที่ขับกล่อมให้รูปน่างอันยั่วยวนนั้นน่าสะดุดตายิ่งขึ้น
ในตอนนี้นางกำลังต่อสู้กับอสรพิษยักษ์ยาวร้อยศอกด้วยเหงื่อที่โทรมกาย
ในบรรดาสัตว์อสูร อสรพิษยักษ์นั้นมีร่างกายและพลังที่ไม่แข็งแร่ง แต่หมอกพิษของมันนั้นอันตรายมาก แม้แต่ซือหยูยังต้องหวาดกลัว
เหตุที่หมอกพิษปรากฏขึ้นก็เพราะอสรพิษยักเป็นตัวการ!
สัญชาตญาณบอกซือหยูว่าถ้าน้ำพิษสัมผัสตัว แม้แต่ร่างของเขาที่แข็งแกร่งก็ต้องเน่าเปื่อยในทันที!
และในตอนนี้นางผู้งดงามกำลังหายใจอยู่ในหมอกพิษนั้น ร่างของนางหมดพลังไปมาก สีดำเริ่มปรากฏอยู่ตรงหน้าผาก
ถ้าไม่มีใครช่วยก็ยากที่นางจะมีชีวิตอยู่ได้เกินไปกว่าเวลาครึ่งถ้วยชา
ซือหยูถอนหายใจ นางโชคดีที่ได้มาเจอกับพวกเขา
ซือหยูหยิบธนูมังกรฟ้าดินออกมาเพื่อสังหารอสรพิษยักษ์จากระยะไกล
ฐานพลังของมันไม่สูงมากนัก มันมีพลังที่อำมฤตระดับสอง
ดังนั้นด้วยศรวิญญาณ…มันจึงตายในทันที
หลังจากที่ดิ้นไปมาไม่นาน มันก็หยุดขัดขืนและตายลงอย่างแน่นิ่ง
หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าอสรพิษยักษ์ตายสนิท ซือหยูจึงแสดงตัวออกมา เขาเดินไปที่หน้าอสรพิษและปลดต่อมพิษของมันออกมา
สาวงามตัวแข็งทื่อ พูดได้เลยว่านางไม่คิดว่าอสรพิษที่กำลังจะฆ่านางถูกสังหารโดยลูกธนู
หลังจากที่เห็นซือหยูปลดต่อมพิษ นางก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ขอบคุณท่านวีรบุรุษที่ช่วยชีวิตข้า นี่คือลูกมังกรธรณีอสรพิษ พิษในต่อมพิษของมันยังไม่ถึงจุดที่แข็งแกร่งที่สุด”
แม้นางจะผ่อนคลายลง ทั้งร่างของนางก็ยังคงตื่นตัว ถ้าซือหยูคิดจะสังหารนางและชิงสมบัตินางไป นางก็จะหันหนีทันที
มังกรธรณีอสรพิษรึ? ซือหยูไม่รู้จัก
ซือหยูไม่ได้สนใจนางนัก
ในสถานการณ์นี้ แม้ซือหยูจะเป็นคนที่เข้ามาช่วย แต่เขาก็ต้องเลี่ยงเผื่อว่านางจะเป็นคนที่คิดร้าย
ซือหยูพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์และไม้แม้แต่จะมองนาง เขาหันกลับบินไปยังที่เดิม
“แม่นาง เจ้าควรรีบไปตั้งแต่ตอนนี้ เจ้าควรจัดการพิษเสียก่อน”
หลังพูดจบ ซือหยูรีบบินจากไป
นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าซือหยูจะไม่ใช่คนไม่ดี
ความกังวลของนางเริ่มหายไป พิษเริ่มกระจายไปทั่วร่าง
นางครวญครางและล้มลงกับพื้น นางกุมอกและอดทนกับความเจ็บปวด
ซือหยูหันกลับไปมองและถอนหายใจ เขาบินกลับไปแบกนางออกจากหมอกพิษ
เขากลับมาหาฉีหยุนเซี่ยงและพานางออกจากพื้นที่หมอกพิษเพื่อหาที่ที่สงบและมีแสงสว่าง
เขาใช้พลังวิญญาณเล็กน้อยใส่ร่างของหญิงสาวและขับพิษออกมาส่วนหนึ่ง เพื่อให้นางกลับมามีสติ
“ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้า”
นางตื่นขึ้น หลังจากที่เห็นว่าร่างปลอดภัย นางก็โค้งคำนับ นางยิ้มจนเห็นฟันขาว
รอยยิ้มนั้นราวกับบุพผาแดงในทุ่งอันงดงามและน่าดึงดูดใจ นั่นทำให้หัวใจของหลายคนแทบหยุดเต้น
ทำไมถึงมีเสน่ห์เช่นนี้!
ทุกท่าทางการเคลื่อนไหวนั้นน่าหลงใหลเป็นอย่างมาก
เทียบกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าฉีหยุนเซี่ยงนั้นยังไม่สุกงอม
ซือหยูหันไปมองด้านข้าง
“ถ้าเจ้าไม่เป็นอะไรพวกข้าก็จะไปแล้ว! ไปเถอะหยุนเซี่ยง”
“เดี๋ยวสิท่าน โปรดรอสักครู่! ข้าชื่อโจวจิ้ง ครอบครัวข้าอยู่ในปราการวิหคเพลิง สามีข้าอยู่ในตระกูลเหยาแห่งปราการวิหคเพลิง เป็นตระกูลเก่าแก่ที่ฝึกฝนและผลิตโอสถ ถ้าท่านทั้งสองสะดวก ท่านจะมาเยี่ยมเป็นแขกของตระกูลสามีข้าจะได้หรือไม่? ถือว่าแทนการขอบคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้า”
ตระกูลเหยารึ? ฉีหยุนเซี่ยงใจสั่นเล็กน้อย นางไม่รู้จะพูดอะไร
“ตระกูลเหยารึ? หรือว่าจะเป็นตระกูลเหยาแห่งปราการวิหคเพลิงที่เป็นหนึ่งในแปดตระกูลหลัก?”
นางพูดและกระซิบให้ซือหยู
“หยินหยู เจ้าช่วยคนที่สำคัญมากเข้าแล้ว! ตระกูลเหยาชำนาญการปรุงยา ว่ากันว่าพวกเขาปรุงโอสถโบราณได้! ยอดฝีมือหลายคนขอร้องให้พวกเขาปรุงโอสถให้แต่ก็ไม่มีใครเคยได้ แม้แต่ฮั่นเจียงหลินก็เคยขอโอสถมาก่อนและถูกปฏิเสธ!”
“ถ้านางพูดจริงและเป็นภรรยาของคนตระกูลเหยา เจ้าอาจจะได้รางวัลอย่างงาม”
ซือหยูส่ายหัวโดยไม่แม้แต่จะคิด
“ไม่เป็นไรหรอก! ข้าช่วยนางมิใช่เพราะหวังสิ่งตอบแทน และข้าก็อาจจะได้อย่างอื่นนอกจากรางวัลที่ไปช่วยนาง…”
เขาพูดราวกับมีนัยยะแอบแผง
ฉีหยุนเซี่ยงเข้าใจเช่นกัน นางถอนหายใจ
นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ในโลกใบนี้ การทำความดีก็อาจจะไม่ได้สิ่งที่ดีตอบแทนไม่ใช่รึ?
โจวจิ้งเห็นซือหยูกับฉีหยุนเซี่ยงกำลังจะจากไป นางถอนหายใจอย่างขมขื่น
“ข้าไม่ได้คิดเรื่องนี้ให้ถ้วนถี่ทำให้ท่านตัดสินใจลำบาก! แต่ข้าอยากจะขอยืมมือท่านอีกครั้งจะได้หรือไม่? อวัยวะภายในของข้าเสียหาย ถ้าท่านวีรบุรุษจะไปทางเดียวกัน ข้าก็อยากจะให้ท่านพาข้าไปส่งที่เมือง”
“เมื่อถึงเวลา ข้าจะตอบแทนอย่างแน่นอน!”
เอ๋? ซือหยูขมวดคิ้ว หลังจากที่ยืนคิดเขาก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
“จงเงียบตลอดการเดินทาง อย่าถามอะไรให้มากนัก”
เมื่อช่วยผู้ใดก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด การพานางไปส่งในทางเดียวกันก็น่าจะไม่เป็นอะไรน่านางไม่สร้างปัญหา
“ขอบคุณท่าน ข้าจะจำคำชี้แนะของท่านให้ขึ้นใจ”
โจวจิ้งยิ้มอย่างงดงาม นางโค้งคำนับ
สมกับเป็นภรรยาจากตระกูลใหญ่ วิธีที่นางพูดนั้นต่างจากคนทั่วไปมากนัก
นางไม่พูดอะไรเลยตลอดทาง
ผ่านไปครึ่งวัน พวกเขามาถึงปราการวิหคเพลิง
ส่วนที่พวกเขาจะไปนั้นอยู่ในใจกลางของปราการวิหคเพลิง
ซือหยูส่งโจวจิ้งไปถึงตระกูลเหยา
ตระกูลเหยานั้นตั้งอยู่อย่างงดงามในข้างหนึ่งของปราการ สิ่งปลูกสร้างล้วนตระการตาน่าประทับใจ การคุ้มกันนั้นแน่นหนาอย่างที่ตระกูลใหญ่ควรจะเป็น
“เอาล่ะ ข้าจะส่งเจ้าตรงนี้ ไม่ต้องขอบคุณข้า ข้าจะไปแล้ว”
หลังจากที่ส่งทางตรงทางเข้า ซือหยูบอกลาสั้นๆ
โจวจิ้งรีบพูด
“เดี๋ยวสิท่าน โปรดรอข้าก่อนเถอะ!”
เอ๋? ซือหยูหันกลับไปอย่างใจร้อน
“เจ้ามีเรื่องอะไรอีกรึ?”
นางเสยผมมาทัดหูทั้งสองข้าง มันดูมีเสน่ห์มากทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ จิตใจของคนที่ผ่านไปผ่านมาและทหารตรงทางเข้าตระกูลเหยาว่างเปล่าเมื่อเห็นสิ่งที่นางทำ
แม้ซือหยูที่ข่มอารมณ์เอาไว้ก็ถูกนางเหยียบย่ำอีกครั้ง
“ท่านวีรบุรุษ ข้าขอถือวิสาสะเชิญท่านมาพักข้างในสักครู่จะได้หรือไม่? ท่านช่วยผู้คนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ข้ามิอาจตกต่ำไปถึงจุดที่ผู้คนครหาว่าไม่รู้จักตอบแทนน้ำใจของคนที่หวังดีได้”