The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 331
หยินหยูได้ก่อเรื่องมากมายกับตระกูลตู่ และเขาก็ยังสังหารยอดฝีมือของตระกูลตู่ไปมากมาย แต่ตระกูลตู่ก็ไม่ได้สังหารเขาเพราะหวาดกลัวอาณาจักรทมิฬ แต่หยินหยูกลับมาที่นี่ด้วยตัวเอง!
ซือหยูถามกลับ
“ไม่ได้งั้นรึ?”
ชายแก่คิดอยู่ชั่วครู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องยากที่เขาจะตัดสินใจ แต่ในท้ายสุดเขาก็กัดฟันและบันทึกชื่อหยินหยูลงไป เขามอบสร้อยหยกให้กับซือหยู
“นี่คือศิลาขาว ถ้าเจ้าสังหารสัตว์อสูรไป มันจะบันทึกคะแนนที่เจ้าได้! คะแนนของเจ้าจะขึ้นอยู่บนศิลาขาว อย่าทำมันหายก็แล้วกัน!”
ชายแก่พูดเตือนขณะที่โยนศิลาขาวออกมา
แต่ก่อนที่ซือหยูจะคว้าศิลาขาว เสียงอันเย็นชาก็ดังมาจากด้านข้าง
“เดี๋ยวก่อน!”
ชายแก่หันหน้าไปมองและพบว่าเป็นเสียงของหวงฉีซาน ชายแก่เห็นดังนั้นจึงแสดงความนับถือ
ชายแก่มีพลังอำมฤตระดับหนึ่ง แต่หวงฉีซานมีพลังอำมฤตระดับสองขั้นสูง!
ว่ากันว่าเขาเคยเป็นเจ้าสำนักแห่งหนึ่งในพันธมิตรร้อยดินแดน
แต่เพราะว่าเขานั้นป่าเืถ่อนและสังหารคนมานับไม่ถ้วน เขาได้ทำได้ขุมกำลังโดยรอบโกรธแค้น ดังนั้นขุมกำลังเหล่านั้นจึงร่วมมือทำลายสำนักของเขา
สำนักของเขาถูกล้างสังหารสิ้น เหลือแค่เขาที่ต่อสู้และรอดกลับมาคนเดียว เขาหนีมาที่เมืองอันยี่ ตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่เคยออกจากเมืองอันยี่อีกเลย
เขามีชื่อเสียงที่ดีในเมืองอันยี่
เขาเข้าร่วมการล่าสัตว์อสูรครั้งนี้และกำลังหาคนร่วมทีม
ซือหยูนั้นเป็นอำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูง เขาทั้ง ‘โง่เขลา’ ‘อ่อนวัย’ และ ‘ไร้ประสบการณ์’ ดังนั้นซือหยูจึงเป็นเป้าหมายที่ดีที่สุด
“เจ้ามีปัญหาอันใดรึ?”
ชายแก่ถาม
หวงฉีซานชี้นิ้วไปที่ซือหยู
“เขาไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการล่าครั้งนี้ ข้าแนะนำให้เจ้าปฏิเสธเขาซะ!”
ชายแก่เริ่มไม่พอใจ เขาที่เป็นแค่คนนอกกล้าเข้ามายุ่งกับธุระของตระกูลตู่งั้นรึ?
ในสถานการณ์ปกติ หวงฉีซานคงจะถูกสั่งสอนไปแล้ว!
แต่ในตอนนี้ ตระกูลตู่ต้องการคนให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ และหวงฉีซานก็ยังเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง ชายแก่จะไม่สนใจเขาได้อย่างไร?
“ฮ่าๆๆ พลังของเขาแข็งแกร่งนัก เขาจะไม่เหมาะสมได้ยังไงกัน?”
ชายแก่ยิ้ม
หวงฉีซานพูดเบาๆ
“แข็งแกร่งงั้นรึ? มันก็แค่อำมฤตระดับหนึ่งขั้นสูง ตอนที่คลื่นสัตว์อสูรมา เขาจะเป็นคนที่ตายคนแรก!”
“แต่เขาจะตายไปคนเดียวก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเขาไปทำให้ยอดฝีมือคนอื่นที่อยู่ใกล้ลำบากไปด้วยเล่า? เขาจะไม่สร้างปัญหาให้ตัวเองกับคนรอบข้างหรอกรึ? ข้ายืนยันให้เจ้าปฏิเสธเขาซะ!”
ชายแก่โกรธขึ้นเล็กน้อย เขาให้เวลาและความนับถือกับหวงฉีซานเกินไปแล้ว
แต่หวงฉีซานก็ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ควรจะรามือ
ชายแก่พูดอย่างเย็นชา
“แล้วถ้าข้าปฏิเสธล่ะ?”
หวงฉีซานหัวเราะ
“เช่นนั้นข้าก็ต้องขออภัย เพื่อความปลอดภัยของข้าเอง ข้าจะไม่ร่วมในการล่านี้!”
ปั้ง–
หวงฉีซานวางศิลาขาวลงบนโต๊ะเสียงดัง
“ถ้าเขาได้ไป ข้าก็จะไม่เข้าร่วม เจ้าเลือกเอาก็แล้วกัน!”
ทุกคนมองหน้ากันด้วยแววตาว่างเปล่า หวงฉีซานเป็นบ้าไปแล้วรึ? เขาต้องทำถึงขั้นนี้เชียวรึ?
ชายแก่ตัวแข็งทื่อ เขากลับมาได้สติและคิดชิงชังหวงฉีซานจนกัดฟันแน่น เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเขาจะผ่านมันไปได้ยังไง?
“เจ้าแน่ใจรึ?”
ชายแก่กัดฟันพูด
หวงฉีซานพยักหน้า
“ใช่แล้ว เจ้าอยากได้เขาหรือข้า? สองคน เจ้าเลือกมาหนึ่ง!”
ชายแก่ชักสีหน้า หลังจากครุ่นคิดเขาก็พยักหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว
“เข้าใจแล้ว! ถ้าเช่นนี้ถ้าก็จะทำอย่างที่เจ้าว่า!”
พรึ่บ–
เหล่าผู้คนงุนงงเมื่อชายแก่เริ่มจริงจังและหยิบศิลาขาวของหวงฉีซานกลับไป
จากนั้นก็ตามมาด้วยหวงฉีซานที่ตัวแข็งทื่อ
“จะ..เจ้า…เลือกเขารึ?”
หวงฉีซานมิอาจยอมรับความจริงตรงหน้า
ชายแก่เหลือบตามองเขาจากด้านข้างและโยนศิลาขาวให้กับซือหยู
“ข้าหวังว่าเจ้าจะพยายามเต็มที่นะ”
ซือหยูพยักหน้าอย่างเรียบเฉย เขาเดินจากไปและรอวันที่คลื่นสัตว์อสูรจะมา
“เดี๋ยวก่อน! เจ้าจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”
แต่หวงฉีซานจะยอมรับชะตาเช่นนี้ได้งั้นรึ?
หวงฉีซานที่โดนเยาะเย้ยซึ่งหน้าบินไปด้วยความโกรธจากความอับอาย
“เจ้ามีอะไรรึ?”
ซือหยูถาม
หวงฉีซานพูดอย่างไม่พอใจ
“ทำไมเจ้าเลือกเขาแต่ไม่เลือกข้าเล่า?”
ชายแก่ตากระตุก
“ฮ่าๆๆ ง่ายดายนัก ก็เจ้าอ่อนแอกว่าเขา!”
“ข้าน่ะรึอ่อนแอกว่า?”
หวงฉีซานลืมตากว้างจนแทบจะถลนออกมา
“ไอ้เฒ่า เจ้าตาบอดเรอะ? ข้าจะไปต่ำต้อยกว่าไอ้ขยะเช่นนั้นได้ยังไง?”
ชายแก่หน้าตึง เขาพูดยืนยันคำเดิม
“ข้าแนะนำให้เจ้าระวังคำพูดไว้ให้ดี ลิ้นเจ้าอาจจะขาดได้”
ชายหนุ่มผมสีเงินผู้นี้คือเจ้าตำหนักหยินหยู!
ทั้งฐานะและพลัง ทั้งหมดล้วนเหนือกว่าหวงฉีซาน
“เขารึ? ฮ่าๆๆ ข้าอยากจะรู้นักว่ามันจะเก่งแค่ไหนกัน”
หวงฉีซานก้าวไปคว้าคอเสื้อของซือหยู
“เด็กเหลือขออย่างเจ้าที่มองข้ามคนแข็งแกร่งแม้จะอ่อนแอยังมีหน้ามาเข้าร่วมการล่าสัตว์อสูรอีกรึ?”
“ข้าจะชี้แนะเจ้าถึงวิธีการเคารพผู้คน!”
กรงเล็บของเขาพุ่งเข้าหาซือหยูอย่างป่าเถื่อน แต่ซือหยูไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ
เมื่อหวงฉีซานกำลังจะได้ตัวซือหยู ซือหยูก็ยื่นดัชนีออกมาอย่างง่ายดาย
ฟึ่บ–
อัสนีม่วงคำรามลั่น หวงฉีซานที่ร่างกายกำยำกระเด็นลอยออกไปร้อยเมตรชนกับกำแพง จากนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมา
สีหน้าของเขาตกตะลึง
“เจ้ามัน….”
ถ้าหากเป็นในครั้งอดีต วิชาอัสนีระดับอำมฤตนั้นไม่ค่อยมีชื่อเสียงมากนัก
แต่ในเร็วๆนี้มันคือตัวแทนของคนคนหนึ่ง!
“ฮ่าๆๆๆ โง่เขลานัก เจ้านั่นกล้าที่จะสั่นสอนคนอื่นทั้งๆที่ตัวเองยังจำเจ้าตำหนักหยินหยูไม่ได้เลย!”
“น่าขันสิ่นดี! ยังมีคนกล้าโยนตัวเข้าไปหาเจ้าตำหนักหยินหยูด้วยตัวเอง…มันไม่อยากใช้ชีวิตต่อแล้วงั้นรึ?”
กลุ่มยอดฝีมือแอบมองการแสดงตลกและพากันหัวเราะออกมา
ไม่ได้ทุกคนที่เข้าร่วมงานประมูลในวันนั้นจะออกจากเมืองอันยี่ แค่ปราดเดียวพวกเขาก็เห็นได้ทันทีว่าคนที่หวงฉีซานกำลังหาเรื่องคือเจ้าตำหนักหยินหยู
ตู่หมิงฮั่วที่เป็นผู้จัดงานประมูลแทบจะโดนซือยหูสังหารด้วยดัชนีเดียว
เกาคังเองก็ไม่ต่างกัน เขาเกือบจะถูกส่งไปโลกหน้า
ทั้งสองเป็นอำมฤตระดับสองขั้นสูงไม่ต่างกับหวงฉีซาน
ดังนั้นพวกเขาจึงบอกได้เลยว่าชะตาเช่นใดที่รอคอยหวงฉีซานอยู่
ชายแก่ที่ทำหน้าที่บันทึกรายชื่อยิ้มเยาะ เขาจงใจไม่พูดชื่อเจ้าตำหนักหยินหยูเพราะคิดว่านั่นจะเป็นความคิดที่ดี
“อ…อะไรนะ? เจ้าคือเจ้าตำหนักหยินหยูรึ?”
หวงฉีซานอ้าปากค้าง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัว
ซือหยูมองเขาอย่างเรียบเฉย เขาเกียจคร้านเกินกว่าจะมายุ่งกับคนเช่นนี้ เขาหันหลังและจากไป
ทุกคนมองหวงฉีซานราวกับตัวตลก หวงฉีซานเดินออกจากโถงอย่างหม่นหมอง แต่เขาก็ไม่ได้ไปไหนไกลนัก เขาเดินไปที่ทางใกล้ๆด้วยใบหน้าโกรธแค้น
“ไอ้เฒ่า เจ้าจะฆ่าข้างั้นรึ? เจ้ารู้ว่านั่นเป็นเจ้าตำหนักหยินหยูแล้วทำไมถึงไม่บอกข้า? ถ้าข้ารู้ว่าเป็นเขาข้าจะยอมรับที่จะทดสอบพลังของเขางั้นรึ?”
หวงฉีซานชี้หน้าชายแก่ที่เร้นกายอยู่ในความืด เขาตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว
ชายแก่พูดอย่างเรียบเฉย
“ถ้ามันทำร้ายเจ้าได้ก็แสดงว่าพลังของมันอยู่ที่ขอบเขตอำมฤตระดับสามขั้นต้น นั่นก็ดี ข้าจะได้ฆ่ามันได้ด้วยตัวเอง!”
หวงฉีซานโกรธแค้น
“ไอ้กาเฒ่า เจ้าฟังที่ข้าพูดอยู่หรือไม่?”
“เพื่อทดสอบพลัง ข้าจงใจไปหาเรื่อง ข้าไม่ได้แค่โดนเยาะเย้ย ข้ายังเกือบถูกฆ่า ข้าไม่สนใจแล้ว ข้าต้องการสิ่งตอบแทนเป็นสองเท่า!”
ชายแก่ในเงามืดพยักหน้าช้าๆ
“ไม่มีปัญหา วันนี้ในปีหน้า ข้าจะผลาญเงินให้เจ้าเป็นสองเท่า”
ฟึ่บ–
รูโลหิตปรากฏขึ้นบนหน้าผากหวงฉีซานโดยที่เขาไม่ทันเห็นการเคลื่อนไหวของชายแก่ เขาตายทันที!
“ประการแรก ข้าไม่ชอบคนที่มาต่อรองกับข้า! อย่างที่สอง คนไร้ค่าก็สมควรถูกละทิ้ง!”
ชายแก่ยืนมือไพล่หลัง เขาเดินลึกเข้าไปในซอยเล็กๆ
หกสิบลี้ห่างออกใน ในหมู่เมฆาบนนภา ซือหยูลอยมือไพล่หลังอยู่เบื้องบน เขาเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในซอยเล็กๆนั้น
เมื่อเขาคิดถึงหวงฉีซานที่เข้ามาหาเรื่องอย่างไร้เหตุผลโดยใช้ข้ออ้างน่าขันในการสู้กับซือหยูเช่นนั้น…
คนที่เคยเป็นเจ้าสำนักมาก่อนจะทำเช่นนั้นรึ?
จะต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องเช่นนี้ หลังจากที่ซือหยูไป เขาก็หาที่ซ่อนจากระยะไกลและสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นทันที
อย่างที่เขาคิด มีคนบงการเรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง!
ซือหยูเบิกตากว้าง แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา
“เจ้าเองรึ! ไอ้กาเฒ่านั่นยังไม่ตาย!”