The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 513
เขาเคยพบกับซือตี๋…สัตว์ประหลาดเฒ่าในระดับผู้สร้างสรรพสิ่งตั้งแต่เมื่อใดกัน?
“ถึงข้าจะไม่เข้าใจ ในครั้งนี้ มีหลายคนในกระโจมเทพสวรรค์ที่มีรังสีพลังของซือตี๋ คล้ายกับพวกเด็กเมื่อร้อยปีก่อนนัก”
ร้อยปีก่อนคือครั้งที่กระโจมเทพสวรรค์มาถึงทวีปเฉินหลงเป็นครั้งแรก เทียนจี่จื้อกำลังจะบอกว่าคนจากทวีปเฉินหลงมีพลังของซือตี๋อยู่กับตัวรึ?
ซือหยูพูดอย่างเคร่งเครียด
“ท่านผู้เฒ่า ข้ามีเวลาเท่าใด?”
“โอ้? ดูเจ้าจะมั่นใจดีนี่”
เทียนจี่จื้อตกใจ ซือหยูไม่ได้ทำสีหน้าเหมือนคนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก เขากลับถามถึงขอบเขตเวลาที่มี เทียนจี่จื้อหัวเราะชอบใจ
“บางทีข้าอาจจะคิดถูก! นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้ามีเวลาร้อยปี!”
ร้อยปี อีกแล้ว ก่อนหน้านี้เขาสัญญากับจิ้งจอกเก้าหางที่เป็นเจ้าของมุกวิญญาณเก้าหยกว่าเขาจะมุ่งหน้าไปยังตระกูลจิ้งจอกอสูร มีเวลาจำกัดร้อยปีเช่นกัน
การบ่มเพาะจนถึงขอบเขตของผู้สร้างสรรพสิ่งในเวลาร้อยปี…ความยากอาจจะเหนือล้ำอย่างมาก แต่ซือหยูก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทิ้งสมบัติศักดิ์สิทธิ์รูปแบบจักรพรรดิตรงหน้าไป
“ย่อมได้ ท่านผู้เฒ่า ข้าสัญญา!”
“ภายในร้อยปี ข้าจะหาแม่นางฉีเซียเซี่ยนและแก้แค้นให้กับท่าน”
เทียนจี่จื้อพยักหน้าด้วยความขอบคุณ ร่างกายของเขาเริ่มหายไป เขาถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
“เท่านี้…ข้าก็พอใจแล้ว…”
ร่างเทียนจี่จื้อที่เกิดจากทรายดาราทางช้างเผือกหายไป จุดแสงดาวเล็กๆเปล่งประกายที่หน้าผากของซือยหู จากนั้นก็มีจุดแสงที่เหมือนกับทางช้างเผือกปรากฏขึ้นในดวงวิญญาณของเขา
“คำสาบานจะอยู่ในดวงใจของเจ้า”
เสียงของเทียนจี่จื้อดังในหัว
“เจ้าน่าจะเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าทำตามคำสาบานไม่ได้ในร้อยปี”
คำสาบานดวงใจโหดร้ายอยู่เสมอ ถ้าซือหยูทำตามคำสาบานไม่สำเร็จในร้อยปีข้างหน้า เขาจะตาย
“เจ้าหนุ่ม ดูแลตัวเองให้จงดี…”
“ก่อนที่พลังของเจ้าจะไปถึงระดับที่มากพอ เจ้าจะต้องเลี่ยงการเผยทรายดาราทางช้างเผือก มิเช่นนั้นเจ้าจะจบลงเช่นเดียวกับข้า!”
“ความปรารถนาของข้าเป็นจริงแล้ว ข้าหมดห่วงแล้ว…เจ้าหนุ่มม จงจำสัญญาที่มอบไว้ให้กับข้าด้วยล่ะ…”
ร่างทางช้างเผือกของเทียนจี่จื้อหายไป ทรายทั้งหมดไหลมาอยู่ที่มือขวาของซือหยูและซึมผ่านเลือดเนื้อของเขาไป แต่ซือหยูก็ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่ประหลาด จากนั้นภาพวาดทางช้างเผือกที่เปล่งประกายก็สลักอยู่บนฝ่ามือเขาราวกับรอยสัก
ในหัวของซือหยูยังรู้สึกถึงความรู้สึกอันคุ้นเคย เมื่อเขาคิด รอยสลักทางช้างเผือกก็หายไปจากฝ่ามือ เมื่อคิดอีกครั้งก็เกิดรอยปรากฏขึ้นมาอีก รอยสลักนี้ควบคุมได้ง่าย และซือหยูก็เชี่ยวชาญในการควบคุมมัน
“ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องห่วง”
“ข้าจะต้องทำให้ความปรารถนาของท่านเป็นจริงอย่างแน่นอน”
ซือหยูหันไปในทิศทางที่เทียนจี่จื้อหายไปและโค้งคำนับ
ซือหยูได้เจอกับผู้สร้างกระโจมเทพสวรรค์โดยไม่คาดคิดและยังได้สมบัติอันยิ่งใหญ่ เขารู้สึกราวกับอยู่ในฝัน สิ่งที่เกิดขึ้นมันเกินจริงเล็กน้อย
ผ่านไปนาน เขาหยุดคิดและก้มหน้ามองรอยทางช้างเผือกในมือ
“การชำระล้าง…”
“ข้าจะใช้มันยังไงล่ะ?”
ซือหยูไม่เข้าใจในพลังของสิ่งที่ได้รับมา เขาหันมองรอบๆและก็ยังไม่รู้ว่าจะทดสอบมันกับอะไร เขาจึงเลิกคิดเรื่องนี้ไปก่อน จากนั้นเขาก็ซ่อนรอยสลักเอาไว้ ถ้าหากเรื่องสมบัติศักดิ์สิทธิ์รูปแบบจักรพรรดิมีคนรู้เข้า ซือหยูในตอนนี้จะต้องลำบากอย่างแน่นอน
“เหลือเวลาไม่มาก ข้าต้องรีบไปหาสมบัติอื่น”
ซือหยูออกแรงที่ปลายเท้าและหายตัวไปจากจุดเดิม
ไม่นานนักหลังจากที่เขาไป มีโลหิตสีดำไหลซึมออกมาจากกำแพงศิลาของห้องลับที่เก็บสมบัติ
เมื่อซือหยูออกมาที่ทางออก เขาไม่ได้รีบพุ่งออกไปข้างนอกโดยประมาท เขาใช้เนตรวิญญาณตรวจสอบพื้นที่รอบๆเสียก่อน เมื่อเขามองผ่านหมอกหนาก็เบิกตากว้าง เขาเห็นใครบางคนกำลังเอนกายกับศิลาก้อนใหญ่! ซุ่มโจมตีรึ?
แต่หากมองให้ดีก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นไมมีชีวิตเหลืออยู่อีกแล้ว นั่นเป็นร่างคนตาย!
ซือหยูเดินออกไปดูด้วยความสงสัย เมื่อเขาเข้าใกล้หินก้อนใหญ่ก็ต้องตกใจ
“โจวฉีหมิง!”
แต่โจวฉีหมิงไม่ได้ออกมาไล่ตามซือหยูหรอกรึ? ทำไมเขาถึงมาตายอยู่ที่นี่เล่า? เสื้อผ้าของเขาเรียบ รอบๆไร้สัญญาณของการต่อสู้ขัดขืน เดาได้เลยว่าเขาถูกคนอื่นสังหารโดยใช้เวลาที่สั้นอย่างมาก
พลังของเขาอยู่ในระดับของกึ่งภูติที่มีแก้วพลังชีวิตสามดวง มีแค่คนจากขอบเขตภูติเท่านั้นที่จะสังหารเขาได้ง่ายดายเช่นนี้
ซือหยูที่แปลกใจตรวจดูร่างกายของโจวฉีหมิงและก็ต้องหวาดกลัวที่พบว่าแม้ภายนอกของโจวฉีหมิงจะอยู่ดี เลือดเนื้อของเขาที่อยู่ใต้ผิวหนังกับถูกสูบเอาไปจนแห้งเหือด ร่างกายของเขาไม่ต่างอะไรจากมัมมี่
ฐานพลังของเขาก็ถูกสูบเอาไปหมดอีกด้วย
“หุ่นเชิดสีเงิน!”
ซือหยูอ้าปากค้าง
คนนี้จะทำเช่นนี้ได้มีแค่หุ่นเชิดสีเงินเท่านั้น! เขาอยู่ใกล้ที่นี่!
ซือหยูตัวสั่นด้วยความกลัว เขารีบพาตัวโจวฉีหมิงบินกลับไปที่เส้นทางสมบัติและซ่อนตัว ถ้าเขาต้องเจอกับหุ่นเชิดสีเงินอีกครั้งก็เป็นไปไม่ได้แน่ที่เขาจะรอด!
หลังจากที่รออยู่นาน หุ่นเชิดสีเงินมิได้ปรากฏตัว ซือหยูเริ่มคลายใจไปบ้าง เขาก้มหน้ามองร่างกายของโจวฉีหมิง หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดก็พบว่าร่างกายของโจวฉีหมิงถูกค้นไปแล้ว ของมีค่าทุกอย่างถูกปล้นเอาไป
“หวังว่าแหวนนั่นจะไม่ถูกหุ่นเชิดเอาไปนะ”
ซือหยูดันฝ่ามือไปที่อกโจวฉีหมิง จากนั้นก็เกิดรอยบนอกของเขา แสงประกายวิญญาณพร้อมกับแหวนที่ถูกซ่อนเอาไว้! มันคือแหวนที่มีพลังของขอบเขตภูติ!
นี่คือแหวนป้องกันตัวของโจวฉีหมิง ถ้ามันถูกปลดปล่อยในกระโจมเทพสวรรค์ นอกจากหุ่นเชิดสีเงินที่ป้องกันได้ คนที่เหลือก็คงจะตายและกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตาเดียว
ซือหยูดีใจที่ได้มันมา
“ฮ่าๆๆ! ข้าก็ไม่ได้โชคร้ายสักเท่าไหร่หรอกนะ!”
ก่อนหน้าที่ซือหยูเผชิญหน้ากับโจวฉีหมิง เขาได้ใช้เนตรวิญญาณมองดูตำแหน่งที่โจวฉีหมิงเก็บแหวนเอาไว้ มันคือที่ลับบริเวณอก เมื่อหุ่นเชิดสีเงินค้นตัวเขาจนทั่ว มันก็ไม่พบแหวนวงนี้!
ซือหยูหยิบเอาแหวนออกมาเก็บไว้อย่างดี เขาเหลือบมองร่างไร้วิญญาณของโจวฉีหมิงและถอนหายใจ ครึ่งเดือนก่อน โจวฉีหมิงนั้นเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงน่ากลัว พลังของเขาทำให้ทุกคนต้องยอมศิโรราบ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นซากศพโดยที่ไม่รู้ว่าตายไปอย่างไร
มันคือความคิดที่อยู่ในจิตใจทุกคน ในเส้นทางการบ่มเพาะพลัง ใครก็ตามที่เลือกเส้นทางนี้ถ้าไม่รุดหน้าก็ต้องถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง การตกต่ำหรือประมาทย่อมลงเอยเช่นเดียวกับโจวฉีหมิง แต่นั่นยิ่งทำให้ความทุ่มเทของซือหยูเข้มข้นขึ้นเท่านั้น หลังจากที่ออกจากกระโจมเทพสวรรค์ เขาจะต้องคิดหาทุกวิถีทางที่จะเพิ่มฐานพลังให้ได้อย่างแน่นอน!
ซือหยูฝังร่างของโจวฉีหมิงและจากไป เขาตั้งมั่นอยู่กับภูเขาแรก ครึ่งชั่วยามต่อมา เขาอยู่ท่ามกลางเมฆาและหมอกควัน ไม่รู้ว่าที่เขานี้จะมีสมบัติอะไรซ่อนอยู่
ซือหยูมองเห็นคนหนึ่งคนที่แอบเคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่มหมอกด้วยเนตรวิญญาณ คนผู้นั้นมีผมสีมรกตและยังเคลื่อนไหวได้เร็วมากแม้จะมีฐานพลังอยู่ที่ระดับเพียงราชามนุษย์ เขากำลังหลบเลี่ยงกลุ่มสัตว์อสูรดุร้ายและดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปที่ยอดเขาที่สี่
ฉีเจี้ยงั้นรึ? ซือหยูคิด เขาไม่ได้ติดตามภูติสวรรค์จางตี๋เก้อหรอกรึ? ทำไมเขาปรากฏตัวที่นี่? หรือว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น?
ทันใดนั้นเหล่าหมอกเมฆาก็กระจัดกระจายหายไป เสียงการต่อสู้ดังขึ้นเบาๆ…เสียงคำรามของบุรุษและสตรีที่คุ้นเคยอย่างประหลาดดังขึ้น…เสียงของสตรีนั้นน่าหลงใหลเป็นอันมาก
ซือหยูลังเล
“จ้าวยี่หยู…?”
ซือหยูรีบพุ่งไปตามเสียงการต่อสู้นั้น