The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 512
ร่างที่เหมือนกับจักรวาลยิ้ม
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้แล้วนะ”
ซือหยูเหลือบมองด้วยเนตรวิญญาณ เขาไม่พบแม้แต่คลื่นวิญญาณในจักรวาล นี่เป็นเพียงจิตสำนึกอันบางเบาเท่านั้น!
“ข้าคือเทียนจี่จื้อ…”
“ข้าล้มเหลวในการเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง ข้าถูกโจมตีในตอนนั้น ร่างกายและวิญญาณข้าถูกทำลาย สมบัติภูติที่ข้าสร้างในกระโจมเทพสวรรค์ก็เสียหายเพราะวิบัติสวรรค์ ก่อนข้าตาย ข้าทิ้งจิตสำนึกสุดท้ายเอาไว้ในสมบัติภูติที่ถูกทำลาย ข้ายังเหลือสมบัติอีกห้าส่วนเอาไว้…รอคอยให้ใครบางคนได้ต้องชะตาเป็นเจ้าของ”
ซือหยูใจเต้น ทั้งกระโจมเทพสวรรค์ ทั้งเก้าชั้นนี้…คือสมบัติภูติรึ?
เรื่องนี้ทำให้จิตใจเขาอยู่ไม่สุข เทียนจี่จื้อเป็นใครกันแน่? แล้ว “ผู้สร้างสรรพสิ่ง” มันคือระดับอะไรกัน? พลังของคนระดับนั้นจะมากเพียงใดกัน?
ซือหยูไม่เชื่อเขาง่ายๆ
“ท่านผู้เฒ่า…”
“ถ้าท่านคิดจะทิ้งสมบัติเอาไว้ให้คนที่ต้องชะตา แล้วเหตุใดถึงต้องมีกับดักอันตรายมากมายเล่า?”
กบเพลิงขอบเขตภูตินั้นอาศัยอยู่ในที่เก็บสมบัติช่างฝีมือ ยังมีแมลงขอบเขตภูติอยู่ในที่เก็บโอสถ…แล้วที่นี่ก็ยังจำกัดให้คนที่เข้ามาต้องมีพลังต่ำกว่าขอบเขตภูติ…พวกเขาต้องเจอกับสิ่งที่ไม่ต่างกับโทษประหาร การส่งมอบสมบัติเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตของคนเหล่านั้นไป
และการซุกซ่อนสมบัติไว้อย่างลึกลับซับซ้อน…มีคนมากมายที่ไม่มาถึงที่นี่แม้เวลาจะถูกค้นหามาหลายปี! ซือหยูจึงมิอาจเชื่อคำพูดของเทียนจี่จื้อได้ง่ายๆ
“ทั้งหมดเป็นฝีมือของศิษย์ข้า!”
เทียนจี่จื้อพูดและถอนหายใจ
“ตอนที่ข้ากำลังจะตาย ข้าแนะให้ศิษย์สองคนของข้าปกป้องสมบัติทั้งห้า พวกนั้นมิอาจสืบทอดสมบัติของข้าได้เพราะสายโลหิต ดังนั้นข้าจึงสั่งให้พวกเขาและลูกหลานปกป้องสถานที่มาตลอดทุกยุคสมัย พวกนั้นทำได้แค่ใช้หนึ่งในสมบัติและไม่ได้รับอนุญาตให้ขโมย คำสาบานยังคงอยู่ในสายโลหิต ลูกหลานเหล่านี้มิอาจต่อต้านได้! จนกว่าสมบัติทั้งห้าจะถูกรับไป พวกนั้นก็จะถูกกักอยู่ในภูเขาทั้งห้าไปตลอดกาล พวกนั้นจะปกป้องสมบัติไปจนนิรันดร์!”
“แต่ข้าไม่คิดเลย…”
เทียนจี่จื้อพูดต่อ
“ศิษย์ทั้งสองของข้าทำอย่างที่ข้าพูดจนตาย แต่ลูกหลานกลับคิดเป็นอื่น ลูกหลานของพวกเขาอยากจะรับสมบัติเอาไว้เอง! คำสาบานยังคงอยู่ในสายโลหิตทำให้พวกเขามิอาจต้านทาน แต่พลังของคำสาบานก็ค่อยๆอ่อนลงไปตามเวลาที่ผ่านพ้นไป!”
“ลูกหลานเหล่านั้นไม่กล้าจะแตะต้องสมบัติไปช่วงหนึ่ง…”
“ดังนั้นพวกเขาจึงรอให้คำสาบานในสายโลหิตจางหายไป พวกนั้นต้องขัดขวางทุกคนที่เข้ามาที่ตำหนักลับสวรรค์…โดยการฆ่าทุกคน พวกนั้นยังเปลี่ยนแปลงสถานที่ที่ข้าจัดทำไว้ก่อนตาย พวกนั้นวางกับดักคร่าชีวิตตลอดในทุกแหล่งเก็บสมบัติ ขัดขวางทุกคนที่พยายามจะสืบทอดสมบัติของข้า พวกนั้นหวังว่าจะได้สมบัติเป็นของตัวเองในสักวันหนึ่ง”
ซือหยูครุ่นคิด เหล่าลูกหลานของศิษย์เทียนจี่จื้อเรียกตัวเองว่า “ผู้ปกป้อง” แห่งตำหนักลับสวรรค์มิใช่รึ? ไม่แปลกใจเลยที่พวกนั้นจะปกป้องสมบัติและไล่สังหารคนที่ไม่ได้เป็นคนจากภูเขา ดูเหมือนว่าพวกนั้นคิดอ่านจะเก็บสมบัติไว้ใช้ในหมู่พวกตัวเอง แต่ซือหยูก็ยังมีข้อสงสัย
“ท่านผู้เฒ่า…”
“ถ้าหากพวกนั้นหมายตาสมบัติท่าน แล้วเหตุใดท่านถึงให้ความสำคัญกับที่เก็บสมบัติโอสถนักเล่า? เพราะอย่างไรท่านก็พูดว่านี่เป็นดินแดนสมบัติที่สำคัญที่สุด!”
เทียนจี่จื้อยิ้ม
“คำสาบานสายโลหิตจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเข้าใกล้ข้า พวกนั้นจะมาในที่ที่มีจิตสำนึกของข้าได้อย่างไรเล่า? พวกนั้นก็กล่าวโทษที่ตัวข้าถูกผนึกอยู่ในส่วนลึกของกำแพงศิลาเช่นกัน”
เช่นนั้น จึงเป็นเหตุที่เหล่าผู้ปกป้องหวาดกลัวเมื่อเข้าใกล้ที่แห่งนี้
ในตอนนั้น ร่างของเทียนจี่จื้อเริ่มเลือนราง ดูเหมือนว่าเขากำลังจะแตกสลาย
“เจ้าหนู ข้าไม่เหลือเวลาอีกแล้ว…”
“ข้าจะให้เจ้าได้ครอบครองสมบัติที่ข้าใช้ปกครองจิวโจว หลังจากที่เจ้าสืบทอดสมบัติของข้า ข้าหวังว่าเจ้าจะทำความปรารถนาสองสิ่งให้กับข้า!”
“ถ้าข้าเหมาะสมกับสมบัติท่าน ข้าก็จะทำตามให้ได้อย่างแน่นอน ถ้าหากข้าไม่เหมาะสม ข้าก็เกรงว่าท่านควรจะมอบสมบัติให้กับคนอื่น”
เทียนจี่จื้อหัวเราะ
“เจ้านี่ขี้ระแวงเสียจริง ไม่ต้องห่วง สิ่งที่ข้าอยากส่งต่อคือสมบัติ ใครก็ใช้มันได้ทั้งนั้น”
ช่างเป็นคำพูดที่เหมือนกับกำปั้นทุบดิน ซือหยูคิด แล้วสมบัติมันคืออะไรเล่า?
สมบัติชิ้นเดียวกันอาจจะไม่เหมาะสมกับคนทุกคน
“สมบัติของข้าเรียกว่าทรายดาราทางช้างเผือก…”
“มันคือสมบัติเทวะโบราณในลำดับที่ยี่สิบเอ็ด!”
ลำดับของสมบัติเทวะโบราณคืออะไรกันอีกล่ะ? มันมีลำดับเพียงแค่ยี่สิบเอ็ด สมบัตินี้อาจจะเป็นของธรรมดา
“มันคือสมบัติสนับสนุน…”
“ใช้เพื่อชำระล้างสิ่งต่างๆ”
ซือหยูงุนงง มันดูไม่สมเหตุสมผลเลย
“ท่านผู้เฒ่า ข้าเกรงว่าข้าจะไม่เหมาะกับสมบัตินี้หรอก…”
เขาพูดด้วยความอับอาย
เทียนจี่จื้อไม่ได้แปลกใจ เขาถอนหายใจ
“เอาเถอะ ถ้าหากเจ้าไม่อยากได้สมบัติศักดิ์สิทธิ์รูปแบบจักรพรรดิ ข้าก็คงต้องขอให้เจ้ารับไว้แล้วส่งให้คนที่เหมาะสม…”
“สมบัติศักดิ์สิทธิ์รูปแบบจักรพรรดิ?”
เขาแทบจะกัดลิ้น เหนือกว่าสมบัติเทพคือสมบัติวิญญาณ เหนือกว่านั้นก็คือสมบัติภูติ และที่เหนือยิ่งกว่าที่หายากอย่างไม่น่าเชื่อก็คือสมบัติศักดิ์สิทธิ์รูปแบบจักรพรรดิ! ซือหยูเคยอ่านคำร่ำลือของสมบัติศักดิ์สิทธิ์ในตำราของจักรพรรดิสายฟ้ามาก่อน แม้แต่จ้าวเทวะที่ทรงอำนาจอย่างจักรพรรดิสายฟ้าก็ไม่เคยมีโอกาสได้เห็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์รูปแบบจักรพรรดิด้วยตาตัวเอง ทุกอย่างที่จักรพรรดิสายฟ้ารับรู้นั้นมาจากตำราที่เขาเคยอ่าน!
ว่ากันว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์รูปแบบจักรพรรดินั้นเกิดมาตั้งแต่ยุคโบราณ แต่ละชิ้นนั้นมีคุณค่าอย่างมหาศาล พลังดั่งเทพนั้นมิอาจถูกจำกัดอยู่ในกฎเกณฑ์แห่งจักรวาล ซือหยูยังเคยสงสัยว่าหม้อเก้ามังกรเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์รูปแบบจักรพรรดิ ซือหยูจะไม่ตกใจได้อย่างไรกันล่ะ? ทรายดาราทางช้างเผือกตรงหน้าเขาก็คือสมบัติศักดิ์สิทธิ์รูปแบบจักรพรรดิ!
ซือหยูเปลี่ยนใจในทันที
“ข้าต้องการ!”
นี่คือสมบัติศักดิ์สิทธิ์….สิ่งที่อาจจะน่ากลัวเสียยิ่งกว่าหม้อเก้ามังกร!
เทียนจี่จื้อยิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาหัวเราะชอบใจ
“ถ้าอย่างนั้น ภารกิจของข้าก็เสร็จสิ้นแล้ว เมื่อรับสมบัติของข้าไป เจ้าจะต้องฟังคำชี้แนะของข้าให้ดี ข้าต้องการให้เจ้าช่วยข้าทำสองสิ่ง อย่างแรกคือหาสหายเก่าของข้า นางคือฉีเซี่ยเซียน บอกสิ่งที่ข้ากำลังจะพูด!”
เรื่องแรกคือการฝากคำพูดไปถึงนางผู้นั้น
“อย่างที่สอง…ข้าถูกสังหารโดยคนชั่วช้า เจ้าต้องล้างแค้นให้ข้า!”
เรื่องที่สองคือ…การแก้แค้น!
ซือหยูไม่ตอบรับในทันทีทันใด
“ข้าช่วยท่านตามหาแม่นางผู้นั้นได้…”
“แต่ศัตรูของท่านคือผู้ใดกัน? แล้วฐานพลังเลบ่า?”
น้ำเสียงของเทียนจี่จื้อลึกล้ำแฝงความชิงชัง
“คนคนนั้นชื่อซือตี๋ เป็นศิษย์พี่ร่วมอาจารย์ข้า ฐานพลังก็เท่าข้าในตอนนั้น แต่ตอนนี้เขาน่าจะอยู่ในระดับผู้สร้างสรรพสิ่งไปนานแล้ว”
ผู้สร้างสรรพสิ่ง! ซือตี๋ผู้นี้เป็นตัวตนที่ไร้เทียมทานอย่างแน่นอน!
ซือหยูหัวเราะอย่างขื่นขม
“ท่านผู้เฒ่าจะหวังกับข้าเกินไป ขอให้ข้าล้างแค้นให้ท่านจากสัตว์ประหลาดเช่นนั้น”
เทียนจี่จื้อพูดขึ้นมา
“ข้ารู้สึกได้ถึงร่องรอยของซือตี๋ในตัวเจ้าอยู่แล้ว ถึงมันจะอ่อนแอ ข้าก็คิดว่าเขาจะหาตัวเจ้าเจอในสักวันอยู่ดี ถึงเจ้าจะไม่ได้ไล่ล่าตามหา ไม่นานเขาก็ต้องมาถึงเจ้า”
อะไรนะ? ซือตี๋กำลังตามหาตัวเขางั้นเรอะ?