The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 485
แหวนหยกทมิฬบนนิ้วชี้ซือหยูเปล่งแสงพร้อมกับแสงสีม่วง จากนั้นร่มสีม่วงก็มาอยู่ในมือของเขา มันคือร่มวิเศษสุริยาม่วง!
ชายหนุ่มคิ้วหงอกตกใจในทีแรก จากนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป
“ร่มวิเศษสุริยาม่วง? เจ้า…เจ้าคือซื่อหลิงเรอะ?”
เมื่อเขาเหลือบเห็นผมสีแสงของซือหยู ตัวตนของเขาก็ยิ่งถูกยืนยันได้มากกว่าเดิม นี่คือซื่อหลิงผู้ชั่วร้ายผู้เป็นศิษย์ของตำหนักชิงวิญญาณ!
อีกสี่คนที่ได้ยินแสดงสีหน้าหวาดกลัว พวกเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของซื่อหลิงได้อย่างไร?
ชายหนุ่มคิ้วหงอกเปลือกตากระตุก เขาที่กำลังไล่ล่าหยุดเคลื่อนไหวทันที
“เดี๋ยวก่อน!”
“นี่มันเรื่องเข้าใจผิด! พวกข้าไม่คิดจะดูหมิ่นท่าน!”
ทั้งห้านั้นเปลี่ยนเป็นถอยหนีแทนที่จะไล่ล่า
แต่ซือหยูก็ไม่คิดจะฟัง เขาสะบัดมือ ร่มวิเศษสุริยาม่วงหมุนวนและกางออก เขาไพล่มือหนึ่งข้างไว้ที่หลังและใช้อีกมือถือร่ม สีหน้าของเขาเยือกเย็น เส้นผมสีโลหิตร่ายรำ และหน้ากากสีทองแดงที่แตกก็ทำให้เขาดูลึกลับ เขาดูประหลาดอย่างมากถ้ามองจากที่ไกลๆ
ที่แปลกยิ่งกว่าก็คือนภาภายในระยะพันศอกที่เปลี่ยนเป็นสีม่วง ความร้อนพุ่งทะยานสูข่จุดสูงสุด หมอกควันดำพวยพุ่งออกมาจากดิน
ทุกตารางนิ้วในระยะพันศอกนั้นเต็มไปด้วยเพลิงพิโรธ ความร้อนนั้นสูงอย่างไม่น่าเชื่อ มันร้อนยิ่งกว่าต้นกำเนิดอัคคี
กึ่งเทพสามคนมีเพียงเวลาให้กรีดร้องครั้งเดียวก่อนจะกลายเป็นเถ้าถ่าน จากหัวจรดเท้า มีเพียงสมบัติเทพระดับกลางไม่กี่ชิ้นที่ยังคงอยู่
ชายหนุ่มคิ้วหงอกกับกึ่งเทพอีกคนตกตะลึง พวกเขารีบใช้พลังวิญญาณปกป้องร่างกายตัวเอง ร่างกายของพวกเขาถูกเพลิงพิโรธแผดเผา พวกเขาตะโกนเสียงดังด้วยความหวาดกลัว
“ซื่อหลิง!”
ชายหนุ่มกรีดร้องออกมา
“เจ้าจะมากเกินไปแล้ว!”
ซือหยูไม่ได้สนใจอะไร ตอนที่พวกเขาห้าคนร่วมกันรุมซือหยู พวกเขาไม่คิดเลยรึว่ามันเกินไป? กับคนประเภทนี้ ซือหยูไม่คิดจะสงสาร
“แยกกันหนี!”
ชายหนุ่มคิ้วหงอกตะโกน
เขากลิ้งกับพื้นเพื่อดับเพลิงสุริยาที่กำลังเผาร่างกาย จากนั้นเขาก็รีบพุ่งไปในทิศทางของป่าศิลาที่มีคนเยอะ ส่วนอีกคนก็หนีไปในทางตรงกันข้าม
ซือหยูตาลุกวาวด้วยความแค้น
“สายไปแล้วถ้าพวกเจ้าจะหนี!”
ซือหยูพุ่งหายลับไล่ตามกึ่งเทพอีกคน นิ้วชี้เปล่งแสงอ่อนๆ เข็มเก้าเล่มก่อลำดับหยินหยางพุ่งลงจากนภา
กึ่งเทพคนนั้นตั้งตัวไม่ทันและถูกลำดับเก้าหยินหยางแทงทะลุจนตาย
ชายหนุ่มคิ้วหงอกได้ยินเสียงกรีดร้องและหันไปดู เขาพบกึ่งเทพที่นอนตายอยู่กับพื้นและรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา! ซื่อหลิงนั้นน่ากลัวอย่างที่ร่ำลือไม่มีผิด! ด้วยมือเขา แม้แต่กึ่งเทพที่เหนือกว่ากึ่งเทพทั่วไปก็ตายในเวลาไม่กี่อึดใจ!
แต่ไม่กี่อึดใจก็เพียงพอที่จะให้เขาหนีไปได้หลายพันลี้ เขากลับไปถึงป่าศิลาในไม่นาน ซื่อหลิงคงจะต้องคิดหนักถ้าหากจะโจมตีในจุดที่เต็มไปด้วยยอดฝีมือ
แต่ก็มีเสียงกรีดสายลมและเสียงสายฟ้าฟาดดังตามมา สายฟ้าพุ่งลงมาตรงหน้าเขา ในสายฟ้านั้นมีร่างหนึ่งอยู่ด้วย เขาคือซือหยู!
เมื่อซือหยูสะบัดมือ ลำดับเก้าหยินหยางก็พุ่งเข้าล้อมชายหนุ่ม ชายหนุ่มอ้าปากค้าง นี่มันวิชายักย้ายตัวตนอะไรกัน?
ชายหนุ่มคิ้วหงอกตัวสั่น เขาหยิบเอาสิงห์ตัวเล็กที่เปล่งแสงสีเขียวมาจากอก พลังชีวิตอันยิ่งใหญ่หมุนเวียนรอยร่างกายสิงโต ทันทีที่ปรากฏก็ทำให้รู้สึกถึงความตาย
“ซื่อหลิง!”
“ถ้าเจ้าไล่ต้อนข้าต่อไปก็อย่าโทษที่เจ้ากับข้าจะต้องตายตกตามกัน! สิงห์วิญญาณหยกมรกตมีพลังของขอบเขตภูติ ถ้าเจ้าไม่อยากตายก็ถอยไปเดี๋ยวนี้!”
แต่ซือหยูกลับนิ่งไม่ไหวติง ลำดับเก้าหยินหยางพุ่งลงจากเหนือศีรษะของศัตรู และเขาก็โบกมืออีกข้าง ลูกแก้วห้าลูกลอยออกมาหมุนวนรอบตัว ลำแสงห้าสายเปลี่ยนเป็นกรงขังพันธนาการศัตรู เขาถูกกังขังอยู่ภายใน
เมื่อกรงแคบลงรักตัว เขาขยับไม่ได้แม้แต่น้อย มันรู้สึกราวกับเป็นนิรันดร์แต่ทั้งหมดก็เกิดในอึดใจเดียวตั้งแต่ที่ลำดับห้าธาตุถูกใช้งาน
ชายหนุ่มคิ้วหงอกรู้ว่าสถานการณ์ของเขากำลังเลวร้าย แม้ว่าเขาอยากจะออกจากพันธนาการนี้เท่าใด…มันก็สายไปแล้ว
ลำดับเก้าหยินหยางพุ่งเข้าใส่ เสียงกรีดร้องดังก้องนภา ร่างชายหนุ่มคิ้วหงอกถูกแทงทะลุ รูอันว่างเปล่ามากมายปรากฏบนร่างกาย เขาถูกสังหารคาที่
ส่วนสิงห์วิญญาณหยกมรกตก็ร่วงหล่นลงมาจากมืออันไร้พลัง ซือหยูชิงมันที่อยู่กลางอากาศ เขาถือสิงห์วิญญาณหยกมรกตเอาไว้ เขาทั้งสีใจและแปลกใจเมื่อพบว่าพลังของสิงโตนี้อยู่ในขอบเขตภูติ
แต่เดิมเขาวางแผนจะสังหารเพียงเท่านั้น แต่เขาไม่รู้เลยว่าเขาจะได้สมบัติชั้นดีเพิ่มมาอีกชิ้น ไป่หยูผู้นี้มิใช่คนธรรมดา มีโอกาสสูงที่สิงห์วิญญาณหยกมรกตจะเป็นของที่ผู้เฒ่าในสำนักมอบให้เขา
หลังจากที่ปล้นเอาของทั้งหมดจากไป่หยูมา ซือหยูก็เผาร่างไป่หยูจนกลายเป็นเถ้าถ่าน จากนั้นซือหยูก็หายลับไปปรากฏที่หน้ายู่จาง เขามองดูร่างไร้วิญญาณที่เหลือและเก็บสมบัติเทพที่เหลือเอาไว้ในมุกวิญญาณเก้าหยก ซือหยูนั้นทำทุกอย่างในขณะที่ยู่จางเบิกตากว้าง
ซือหยูนั้นเยือกเย็นไร้ความแยแส ราวกับว่าการที่ราชามนุษย์สังหารกึ่งเทพไปทั้งกลุ่มนั้นเป็นเรื่องเล็กๆ เหล่ากึ่งเทพของสำนักนั้นถูกกำจัด และทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นในเวลาที่ใช้ในการประลองเดียว!
ราชาปีศาจหิมะทมิฬแข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? ความแตกต่างในด้านพลังเช่นนี้ทำให้ยู่จางตัวแข็งทื่อเมื่อพบสิ่งที่กลับตาลปัตรต่อหน้าต่อหน้า! ในความทรงจำของนาง ซือหยู…ผู้ที่ครอบครองต้นกำเนิดสองธาตุ…แทบจะรับมือกับกึ่งเทพฝีมือดีหนึ่งคนไม่ได้ แต่ตอนนี้เพียงแค่การลงมือครั้งเดียว เขาก็สังหารกึ่งเทพไปห้าคนอย่างง่ายดาย!
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ถ้าซือหยูจู่โจมนาง เขาก็ไม่ต้องลงแรงมากนักในการจัดการกับนางเช่นกัน
ตอนนั้นเอง ซือหยูได้ปลุกความกลัวในส่วนลึกของนางออกมา ราวกับว่าเขาเป็นซื่อหลิงผู้ไร้พ่าย! นางเริ่มหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นว่าลำดับห้าธาตุเมฆาแห้งเหือดของศิษย์พี่ตกมาอยู่ในมือของราชาปีศาจหิมะทมิฬ! ยิ่งไปกว่านั้น หยางยี่เต๋ายังต้องใช้ถึงห้าคนในการใช้ลูกแก้วทั้งห้า แต่ซือหยูกลับควบคุมลูกแก้วทั้งห้าได้ด้วยตัวคนเดียว! นั่นมันไม่ใช่เครื่องยืนยันหรอกรึ? มันพิสูจน์แล้วว่าราชาปีศาจหิมะทมิฬได้ชำระลำดับห้าธาตุเมฆาแห้งเหือดไปแล้ว!
หยางยี่เต๋านั้นยังไม่มีโอกาส…หรือรู้วิธีที่ราชาปีศาจหิมะทมิฬนำเอาผนึกของลุงจ้าวเทวะออกไปได้…แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญอีกแล้ว เรื่องสำคัญคือลำดับห้าธาตุเมฆาแห้งเหือดในตอนนี้อยู่ในมือของราชาปีศาจหิมะทมิฬ นั่นหมายความว่าราชาปีศาจหิมะทมิฬจะไม่ปล่อยนางไป เป็นไปได้ว่าขั้นต่อไปของเขาคือการสังหารนาง!
“แม่นางยู่จาง”
ซือหยูยิ้มและเดินเข้าไปช้าๆ
“ไม่เจอกันนานนะ”
ยู่จางตัวแข็งไปทั้งร่าง นางหายใจไม่ออก หัวใจแทบจะหลุดออกมาจากอก ซือหยูเพียงแค่ทักทายอย่างเป็นธรรมชาติแต่ยู่จางรู้สึกเหมือนกับกำลังเผชิญหน้ากับความตาย นางฝืนยิ้มแต่รอยยิ้มนั้นก็อัปลักษณ์ยิ่งกว่าใบหน้าที่เศร้าศร้อย
“แค่ไม่กี่วัน…”
“พลังของราชาปีศาจหิมะทมิฬเพิ่มขึ้นมามากนัก แต่บางทีอาจจะมิใช่ จะต้องเป็นเพราะท่านซุกซ่อนพลังเอาไว้อย่างลึกล้ำตั้งแต่แรก!”
คิดย้อนกลับไป มันอธิบายไม่ได้เลยกับการที่ทูตพันธนาการหายตัวไปในวันนั้น มันอาจจะเกี่ยวข้องกับหิมะทมิฬ ก่อนหน้านั้นก็ดูเหมือนจะจริงที่ซือหยูเป็นคนที่ช่วยฉินจิวหยางจากมือของซื่อกุย ในตอนนั้น ยู่จางคิดว่ามันคือคำพูดให้เกียรติซือหยู นางคิดว่าฉินจิวหยางเป็นกำลังหลักและซือหยูเป็นผู้ช่วยเหลือเขา
ความคิดที่ไม่น่าเชื่อมากที่สุดแล่นผ่านจิตใจ นางกัดฟันและถามด้วยความลังเล
“ข้าขอถามเรื่องหยางยี่เต๋าจะได้หรือไม่?”
“มันตายแล้ว”
ซือหยูตอบไปทื่อๆ
ยู่จางหัวใจหยุดเต้น ดวงตาของนางหดเหลือเท่ากับรูเข็ม นางตัวสั่นสะท้านและหายใจหอบ หยางยี่เต๋าตายแล้ว! นางมิอาจยอมรับความจริงตรงหน้าได้เลย
นางคิดว่ามีโอกาสสูงที่ซือหยูจะใช้วิชาบางอย่างขโมยเอาลำดับห้าธาตุมาจากศิษย์พี่หยาง อย่างมากเขาก็น่าจะใช้สมบัติเทพบางอย่างทำให้ศิษย์พี่หยางบาดเจ็บและฉวยโอกาสขโมยลำดับห้าธาตุมา แต่ในความจริงคือหยางยี่เต๋าถูกซือหยูสังหาร!
ยู่จางคืนสติกลับมา ใบหน้านางซีดราวกับคนตาย ดวงตาของนางมีแต่ความสิ้นหวัง
“เช่นนั้น ท่านหิมะทมิฬก็ไม่คิดจะปล่อยข้าไปสินะ?”
เขาชิงสมบัติจากตำหนักศีลหวนคืนและฆ่าศิษย์สำนัก ยู่จางก็เป็นศิษย์ของตำหนักศีลหวนคืน นางรู้สิ่งที่เขาทำลงไป ไม่มีทางเลยที่ซือหยูจะปล่อยนางไป
ซือหยูยิ้ม
“ข้าไม่คิดจะทำอะไรแม่นางยู่จางอยู่แล้ว หยางยี่เต๋าต่างหากที่เป็นคนผิด ข้าไม่ระบายความโกรธใส่คนบริสุทธิ์ และข้าก็มาเจอกับแม่นางยู่จางโดยบังเอิญ แต่อย่างไร ข้าก็มิอาจปล่อยเจ้าไปได้”
ไม่ว่าเรื่องลำดับห้าธาตุหรือความตายของหยางยี่เต๋าก็มิอาจถูกเผยไปได้ทั้งนั้น
ยู่จางฝืนยิ้ม จากนั้นก็ก้มหน้าอย่างเงียบเชียบ นางไม่แม้แต่จะขัดขืน นางยอมให้ตัวเองถูกซือหยูจัดการ
ซือหยูพยักหน้า
“ข้าดีใจที่เจ้าไม่ทำให้ข้าเสียเวลา”
หลังจากที่เขาพูดจบก็มีรอยแตกจากหน้าผาก ผนึกที่เกิดจากสายฟ้าและวิญญาณลอยเข้าสู่ร่างกายของยู่จาง
ยู่จางคิดว่านางกำลังจะตาย นางรู้ตัวอีกทีเมื่อพบว่ามีบางสิ่งปรากฏในดวงวิญญาณ นางตกตะลึง
“ควบคุมวิญญาณ?”
“เจ้าไม่ได้จะฆ่าข้าหรอกรึ?”
ซือหยูประคองนางให้ยืนขึ้นด้วยแขนทั้งสองข้างและถามกลับไป
“ฆ่าเจ้าไปแล้วจะได้อะไรกันเล่า? เจ้าติดตามข้ามาเถอะ เมื่อถึงวันสุดท้ายในกระโจมเทพสวรรค์ ข้าจะสลายสิ่งที่ควบคุมเจ้าและไว้ชีวิตเจ้า จนถึงตอนนั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่ข้าจะผิดหวัง”
ยู่จางงุนงงไปครู่หนึ่งจากนั้นจึงยิ้มออกมา ไม่ว่าซือหยูจะไว้ชีวิตนางจริงๆหรือไม่ แต่อย่างน้อยนางก็ยังคงมีชีวิตอยู่ได้อีกชั่วคราว! ตามที่ซือหยูพูด ดูเหมือนว่าเขาจะให้เกียรติกับตอนที่พวกเขาต่อสู้เคียงข้างกัน ซือหยูไม่คิดจะสังหารนาง
“ขอบคุณท่านหิมะทมิฬที่ไม่สังหารข้า…”
ยู่จากพูดด้วยความนับถือ
ซือหยูพยักหน้า
“บอกข้าเรื่องเวทยักย้าย ที่นี่เกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมพวกเจ้าถึงต้องสังหารยอดฝีมือเร่ร่อน?”
ยู่จางอับอาย แต่นางก็แอบดีใจเช่นกัน ตอนที่ไป่หยูลงมือ นางรู้สึกขอบคุณที่นางไม่ได้คิดอะไรบ้าๆ มิเช่นนั้นนางก็คงจะกลายเป็นเถ้าถ่านบนพื้นดินไม่ต่างกับพวกเขา
“เป็นเพราะโจวฉีหมิง!”
ยู่จางพูดด้วยความเคร่งเครียด
ซือหยูสับสน โจวฉีหมิงเป็นใครกัน?
“โจวฉีหมิงเป็นไพ่ตายที่อันตรายที่สุดของตำหนักชิงวิญญาณในครั้งนี้!”
“เขาคือยอดฝีมือในขอบเขตภูติที่แก้วพลังวิญญาณในตัวกลายเป็นแก้วพลังชีวิตไปแล้ว! แต่ตำหนักชิงวิญญาณก็ใช้วิชาลับเพื่อกดพลังไม่ให้เขาได้เข้าสู่ขอบเขตภูติ เขาจึงก้าวเข้ามาในกระโจมเทพสวรรค์ได้”