The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 427
จ้าวฉิงจูหน้าซีดเล็กน้อย แต่ก็แทนที่ด้วยความยินดีเมื่อเห็นว่าเซี่ยจิงหยูกลับมาได้อย่างปลอดภัย
“หิมะทมิฬ…”
“ที่นี่ปลอดภัยอยู่แล้ว เจ้าจะวางยี่หยูลงได้รึยัง?”
ฉินเซี่ยนเอ๋อมองดูอยู่อีกด้านด้วยความตกใจ นางมองเซี่ยจิงหยูด้วยอารมณ์หลากหลาย
หลังจากที่ซือหยูคืนสติ เขาก็เห็นว่าเขายังกอดเซี่ยจิงหยูเอาไว้ในอ้อมแขน เขาสลายวงแวหนอัสนีและปล่อยมือลง ดวงตาของเขาสดใสไร้ความคิดแอบแฝง
เซี่ยจิงหยูหน้าแดงระเรื่อ หลังจากที่มองรอบๆนางก็สีหน้าเคร่งเครียด นางแนะนำตัว
“ข้าคือยี่หยู ยินดีที่ได้พบกับเทพกระบี่ดาวเหนือ ผู้เฒ่าจ้าวอู๋จี๋ จ้าววิหคเพลิงอาสัญ ผู้เฒ่าฉิวหนิงชุ่ย และเจ้าพันธมิตรหลง ผู้เฒ่าหลงจื้อซิน”
เทพกระบี่ดาวเหนือ? จ้าววิหคเพลิงอาสัญ? ซือหยูตกใจ
ซือหยูเคยได้ยินนามของทั้งค่มาก่อน พวกเขาเหล่านั้นคือยอดฝีมือระดับสูงสุดแห่งทวีปเหนือ เทพกระบี่ดาวเหนือนั้นมาจากร้อยดินแดน จ้าววิหคเพลิงอาสัญเคยเป็นจ้าวคณะวิหคเพลิงคนก่อน และนางก็คืออาจารย์ของจ้าววิหคเพลิงคนปัจจุบัน!
ส่วนอีกคนที่มีกระบี่อยู่กับตัวก็คือเทพกระบี่ดาวเหนือ ส่วนสตรีวัยกลางคนที่แต่งงานแล้วที่ยืนอยู่ข้างเซี่ยนเอ๋อก็คือจ้าววิหคเพลิงอาสัญ ฉิวหนิงชุ่ย!
คนสุดท้ายที่ดูคุ้นตาจะต้องเป็นเจ้าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์! พลังของเขาแข็งแกร่งเหนือผู้ใด ซือหยูรู้สึกถึงอันตรายจากเขามากยิ่งกว่าสองคนก่อนหน้า
จ้าวอู๋จี๋หัวเราะ
“แม่ตุ๊กตาน้อยนี่จำพวกเราได้เพียงแค่ปราดตามอง ดูเหมือนข่าวลือที่ว่าจ้าวยี่หยูปราดเปรื่องและการทุกสิ่งบนจักรวาลจะเป็นความจริง!”
ในบรรดาพวกเขาทั้งสามคน มีเพียงหลงจื้อซินเท่านั้นที่แทบจะไร้อารมณ์
หลังจากที่เหลือบมองเซี่ยจิงหยู ฉิวหนิงชุ่ยก็หันไปมองซือหยู
“ที่นี่ไม่เหมาะที่จะพูดคุยกัน”
จ้าวอู๋จี๋หุบยิ้ม
“พวกเจ้าสองคนตามเรามา เรามีเรื่องจะถามพวกเจ้า”
ทั้งหมดเข้าไปยังห้องลับ จ้าวอู๋จี๋ ฉิวหนิงชุ่ย และหลงจื้อซินมองหน้ากันไปมาและเริ่มเอ่ยปาก
“เป็นการดีที่ท่านเจ้าพันธมิตรจะเริ่มถามก่อน”
จ้าวอู๋จี๋เปรยเบาๆ
หลงจื้อซินใบหน้าแข็งกร้าว เขามองซือหยูกับเซี่ยจิงหยูและพูดอย่างหนักแน่น
“ข้าได้ยินว่าเจ้าสองคนเจอกับเรื่องประหลาดในก้นบึ้งมังกร เพื่อความปลอดภัยของทวีปเฉินหลง โปรดบอกสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกข้าเถอะ”
ซือหยูพยักหน้าและบอกเล่าเรื่องราวที่ได้เจอกับเซี่ยจิงหยู บอกวิธีที่เขาหนีรอดจากอสุราและได้เจอกับจางตี๋เก้อหลังจากนั้น และพวกเขายังทำให้จางตี๋เก้อหนีออกมาได้ในท้ายสุด แต่เขาก็เก็บเรื่องกระบี่สายฟ้าเอาไว้
เมื่อได้ยินว่าภูติสวรรค์หนีจากผนึกมาได้ ทั้งสามก็สีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ตอนที่ภูติสวรรค์เข้ามาจากจิวโจว…”
จ้าวอู๋จี๋เป็นฝ่ายพูดบ้าง
“รอยแยกนั้นปิดในไม่นาน ทำให้ภูติสวรรค์ติดอยู่ในทวีปเฉินหลง พวกผู้อาวุโสต้องพยายามอย่างมากเพื่อที่จะจองจำนางไว้ในก้นบึ้งมังกร ถ้านางหนีมาได้ ข้าก็เกรงว่าทวีปกำลังตกอยู่ในอันตราย”
เขาคิ้วกระตุก
ผ่านไปนาน หลงจื้อซินพูดขึ้นมา
“อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น ภูติสวรรค์บาดเจ็บหนักเพราะผู้อาวุโสจิว ด้วยเวลาเพียงเท่านี้ นางคงทำเรื่องเลวร้ายไม่ได้มากนัก ช่วงนี้น่าจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่!”
เมื่อได้ยินดังนี้ สีหน้าสองทั้งสามก็ยังคงไม่สู้ดีดังเดิม
จ้าวอู๋จี๋พยักหน้าอย่างเคร่งเครียด
“ดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้วที่พวกเขาจะไปก้นบึ้งมังกร พวกเราแค่ต้องบอกเหล่าขุมกำลังในทวีปให้เตรียมการล่วงหน้าเอาไว้”
ทั้งสามมองหน้าและพยักหน้าพร้อมกัน
“จบเท่านี้แหละ…”
หลงจื้อซินกล่าว
“พวกเจ้าไปได้แล้ว”
จ้าวอู๋จี๋ ฉิวหนิงชุ่ย และซือหยูกับเซี่ยจิงหยูยืนขึ้น
“ราชาปีศาจหิมะทมิฬอย่าเพิ่งไปไหน!”
หลงจื้อซินพูดอย่างไร้อารมณ์
เอ๋?
ซือหยูเริ่มคิดในทันที ตลอดการพูดคุย หลงจื้อซินนั้นทำกับเขาอย่างเย็นชา
จ้าวอู๋จือออกท่าทาง
“พวกเด็กๆออกไปก่อนเถอะ”
ฉิวหนิงชุ่ยนั่งลงอีกครั้งอย่างใจเย็น
หลงจื้อซินขมวดคิ้ว
“นี่พวกเจ้าสองคน ข้ามีเรื่องจะคุยส่วนตัวกับราชาปีศาจหิมะทมิฬ ออกไปซะ”
จ้าวอู๋จี๋หัวเราะและยังยืนอยู่อย่างมั่นคง
“หึหึ เจ้าพันธมิตร พวกเราสองคนก็มีเรื่องจะคุยกับราชาปีศาจหิมะทมิฬเหมือนกัน”
หลงจื้อซินหน้าผากย่นอย่างร้อนใจ เขามองทั้งสอง
“ย่อมได้ ดูเหมือนพวกเราจะคิดแบบเดียวกัน”
สีหน้าของเขาแข็งทื่อ
“ราชาปีศาจหิมะทมิฬ เจ้าสังหารผู้คนมากมายในทวีป สร้างการนองเลือด เรื่องนี้ขัดต่อความสงบนัก! เจ้ามีจะไรจะแก้ตัวหรือไม่?”
คำถามของเขานั้นค่อนข้างรุนแรง เขาอยากจะให้ราชาปีศาจหิมะทมิฬยอมจำนน
ซือหยูตกใจ แต่เขาก็ยังใจเย็น
“ทุกความผิดย่อมมีผู้กระทำ ข้าผิดอะไรที่ฆ่าคนพวกนั้น?”
ความคิดของซือหยูทำให้หลงจื้อซินสีหน้าหม่นหมอง พลังที่มองไม่เห็นกดดันซือหยูราวกับภูเขาลูกใหญ่
“ไม่รู้สำนึก!”
ซือหยูรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล แต่ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนแปลงมาแล้วด้วยผลของน้ำนมธรณีและพลังชีวิตของภูติ ร่างกายของเขากำลังไปถึงระดับกึ่งเทพ ดังนั้นแล้ว พลังของหลงจื้อซินจึงทำอะไรกับซือหยูไม่ได้
ซือหยูวางถ้วนชาลงและพูดอย่างเรียบเฉย
“ข้ายอมรับที่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ดูแลทวีปมาตลอดหลายยุคสมัย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของขุมกำลังกับตัวข้าแต่เพียงผู้เดียว หากเป็นเช่นนี้แล้วผู้คุมสวรรค์จะถามหาอะไรจากข้า? หมื่นปีที่ผ่านมา ขุมกำลังในทวีปก็พยายามจะแก่งแย่งชิงดีซึ่งกันและกัน คนที่บาดเจ็บล้มตายจะมีแค่ล้านคนงั้นรึ? ทำไมข้าไม่เคยเห็นพวกเจ้าเข้าไปกล่าวโทษขุมกำลังเหล่านั้นเล่า? แต่พวกเจ้ากลับป้ายความผิดกับข้า หรือว่าการที่ขุมกำลังนั่นฆ่าล้างสังหารผู้คนจะมิใช่ความผิด แต่ข้าที่ล้างแค้นกับเป็นคนที่กระทำผิด?”
ซือหยูตาเป็นประกาย เขามองทั้งสามและพูดต่อ
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมาตามตรง กลไม้นี้ใช้ไม่ได้กับข้า”
พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ไม่เคยเข้าแทรกแทรงเรื่องของเหล่าคนนอกกันเอง ทำไมพวกเขาจะต้องมาหาเรื่องซือหยูและทำลายชื่อเสียงของตัวเองด้วยเล่า? การใช้อำนาจกดดันซือหยูนั้นมิใช่แค่ต้องการข่มซือหยูแน่ มันจะต้องเป็นเรื่องอื่น
จ้าวอู๋จี๋ประหลาดใจ จากนั้นเขาก็มองหน้ากับอีกสองคนด้วยความชมเชย
“มิเพียงแต่ราชาปีศาจหิมะทมิฬจะมีพลังมหาศาล แต่เจ้ายังเฉลียวฉลาดไม่เป็นสองรองผู้ใด ข้าประเมินเจ้าต่ำไป!”
หลงจื้อซินพูดเบาๆ
“เดิมทีพวกข้าก็ไม่คิดจะอ้อมค้อม แต่ข้าก็ออมมือไม่ใช่เช่นกัน! ราชาปีศาจหิมะทมิฬ พันธมิตรผู้คุมสวรรค์ไม่สนใจเรื่องที่เจ้าสังหารผู้คน แต่สมบัติที่เจ้าชิงมาจากงานวิวาห์ตระกูลยี่นั้นมิอาจอยู่ในมือของเจ้า! ปีกตระกูลหวัง เศษตำราระดับตำนาน เขาแห่งความตายที่เป็นสมบัติเทพระดับสูง! และหยดหมื่นพลของตระกูลตู่ สิ่งเหล่านี้มิอาจเป็นของเจ้า! เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าเป็นภัยต่อทวีปและทำให้ผู้คนทุกข์ทรมาน จงส่งสมบัติพวกนั้นมาให้พวกข้าเก็บไว้อย่างปลอดภัยซะ!”
สิ่งของที่สำคัญที่สุดก็คือสมบัติเทพระดับสูง ทั้งสามมองซือหยูด้วยสีหน้าที่นับถือว่าเขาคือศัตรูตัวฉกาจ
ซือหยูยิ้มเยาะ
“ข้าลงแรงไปมากและเสี่ยงเหลือเกินเพื่อสังหารศัตรูของข้า สมบัติพวกนี้มาจากพลังงของข้า เจ้าอยากจะเอาทั้งหมดกลับไปโดยพูดว่าเพื่อความปลอดภัยของทวีปงั้นเรอะ? ฮ่าๆๆๆ…!”
หลงจื้อซินเปล่งเสียงจากลำคอ
“อย่ามาถากถางพวกข้า! ความคิดของพวกเราบริสุทธ์ผุดผ่อง พวกข้าทำเพื่อทวีป! และเจ้าก็ยังได้เหรียญก้นบึ้งมังกรเก้านรกไปแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว!”
ซือหยูแอบแตะจุดกำเนิดพลัง ในนั้นยังมีแก้วพลังชีวิตที่ทำให้เขาใช้กระบี่สายฟ้าได้หนึ่งครั้ง เขาถอนหายใจแรง
“น่าขัน!”
ซือหยูตะคอก
“ สมบัติพวกนี้อยู่ในมือของแปดตระกูล ทำไมเจ้าไม่ไปขอเอากับตระกูลพวกนั้นก่อนหน้านี้เล่า? ทำไมถึงต้องการมันในตอนที่มาอยู่ในมือข้า เจ้าเพิ่งคิดถึงอันตรายต่อทวีปได้เรอะ? การพูดคำโตของเจ้าหลอกได้แค่เด็กไร้เดียงสาเท่านั้น ไม้นี้ตื้นเขินนัก”
ทั้งสามตัวแข็งทื่อ การพูดของซือหยูนั้นไม่ได้มาจากเด็กหนุ่มอย่างแน่นอน!
“พวกเจ้าสามคนมีอะไรอีกหรือไม่?”
“ถ้าไม่ ข้าก็จะไปแล้ว”
ซือหยูยืนขึ้นอย่างเยือกเย็น!
ปั้ง–
หลงจื้อซินตบโต๊ะและยืนขึ้น
“อวดดี! ข้าพูดกับเจ้าดีๆ แต่เจ้ามันดื้อด้าน ข้าต้องลงมือสินะ!”
ซือหยูสายตาเย็นยะเยือก
“อย่างนั้นรึ? เจ้าก็ลองดู…เข้ามา!”