The Divine Nine Dragon Cauldron - ตอนที่ 368
มู่เทียนฟางขบริมฝีปาก นางลากซือหยูออกมาอย่างเงียบๆ
“นิสัยนางก็เป็นเช่นนี้ เจ้าไม่ต้องถือสา”
มู่เทียนฟางทำให้ซือหยูใจเย็นลง
“สร้างปัญหาให้คนอื่นเพื่อให้ตัวเองพอใจในความเหนือกว่าน่ะรึ? ทำไมข้าต้องเอาตัวไปยุ่งกับคนเช่นนั้น?”
“นั่นก็ดีแล้ว! แล้วเจ้าคิดจะทำอะไรต่อไปล่ะ?”
มู่เทียนฟางถาม
ซือหยูยังคงมีมุมมองที่เขาได้รับในกระโจมหลงลืม
“ข้าจะหาที่เงียบๆไปบ่มเพาะพลังสักสามวันเพื่อเตรียมตัวในงานชุมนุมวิหคเพลิง”
“ทำไมไม่อยู่ที่นี่เล่า? เจ้าจะเข้าร่วมงานได้เลยหลังจากบ่มเพาะเสร็จ”
ซือหยูประสานหมัด
“ขอบคุณหัวหน้ามู่”
หัวหน้ามู่พาซือหยูมายังที่ที่ทรุดโทรมในดินแดนวิหคเพลิงด้วยรอยยิ้ม ที่นี่คือสวนที่ถูกทิ้งร้าง มันเคยใช้สำหรับปลูกสมุนไพรโอสถ
“ที่นี่สงบเงียบดี”
นางพูด
“ไม่มีใครมาที่นี่หลายเดือนแล้ว เจ้าผ่อนคลายและบ่มเพาะที่นี่เถอะ”
มู่เทียนฟางยิ้ม
“ข้าทำเพื่อเจ้าได้เท่านี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีกสามวันก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”
ซือหยูขอบคุณนางอีกครั้งและมองรอบๆหลังจากที่นางไป เขาใช้พลังดวงตามองทุกรายละเอียดของสิ่งรอยข้าง ที่นี่ไม่มีใครเลยจริงๆในระยะสิบลี้
ไม่สิ!
ทันใดนั้นซือหยูก็สีหน้าเคร่งเครียด เขาพบคนคนหนึ่งในระยะสิบห้าลี้ ชายคนนั้นสวมชุดสีแดง
“เจ้าเมืองอันยี่ ผู้นำตระกูลตู่!”
ซือหยูแอบตกใจ เมืองอันยี่พบกับคลื่นสัตว์อสูรและตกอยู่ใต้อำนาจของจักรพรรดิสัตว์อสูร เจ้าเมืองอันยี่ได้หนีเอาชีวิตรอด แต่ทำไมเขาถึงปรากฏตัวที่นี่กัน? และเขาก็กำลังแอบออกจากดินแดนวิหคเพลิง!
ที่เมืองอันยี่ เขามีเรื่องบาดหมางกับซือหยู เขาไม่แม้แต่ซ่อนความคิดที่จะสังหารซือหยู เขาทำให้ซือหยูตกอยู่ในอันตราย เขาจะลืมหนี้แค้นนี้ได้อย่างไร?
ซือหยูมองไปในทางที่เจ้าเมืองอันยี่กำลังหนี เมื่อยืนยันได้ว่าเขาไปแล้วซือหยูก็นั่งลงอย่างเงียบๆ เขาข่มใจให้เย็นและบ่มเพาะพลัง
สามวันผ่านไปในพริบตา ซือหยูบ่มเพาะพลังอย่างเข้มข้นไม่หยุดพัก หนทางที่ไม่ชัดเจนเริ่มแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ มันรู้สึกราวกับว่าเขาจะคว้ามันได้ด้วยใจนึก แต่มันก็ยังเล็กน้อยและห่างไกลไร้ร่องรอย
สายลมพัดพาเส้นผมสีเงินออกจากใบหน้าซือหยู ดวงตาทั้งสองข้างอันสดใสค่อยๆลืมออก ราวกับดวงตานั้นคือท้องนภากว้างใหญ่ที่มีสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก
ซือหยูพูดกับตัวเองเบาๆ
“สุดท้ายก็ยังต้องผ่านไปอีกหน่อยสินะ”
หลังจากที่บ่มเพาะมาสามวัน ดูเหมือนเขาจะเข้าใจในสิ่งที่ฎีกาสวรรค์ของเขาขาดหาย แต่ก็รู้สึกได้เช่นเดียวกันว่าเขาไม่ได้รู้อะไรเลย
“ข้าต้องการปาฏิหาริย์”
เขาถอนหายใจเบาๆและออกจากสวน ที่นี่ไม่มีใครอยู่อีกแล้ว หลงเหลือแต่ภายติดตาของร่างซือหยูที่หายไปช้าๆ
ณ ที่ดำเนินงานของคณะวิหคเพลิง
ที่นี่มีไว้เพื่อให้ศิษย์ในคณะวิหคเพลิงได้ประลอง มันจุคนได้หมื่นคน ซึ่งในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยผู้คน
เหล่าหญิงสาวนั่งอยู่เต็มที่นั่งรับชม พวกนางมองดูบุรุษร้อยคนอยู่ข้างเวทีประลอง ทั้งร้อยคนนั้นคือบุรุษที่ยิ่งใหญ่ในทวีป พวกเขาคือตัวแทนยอดฝีมือยุคใหม่ พวกเขามาเพื่อแสดงพลังและความหลงใหลในสตรีที่ต้องตา ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่หรือการประลอง ทั้งสองล้วนเป็นเรื่องที่มีความหมาย
มู่เทียนฟางลอยอยู่สูงมองดูสถานการณ์
“หัวหน้าหมู่ ยอดฝีในยุคนี้เหนือกว่ายุคก่อนมากนัก หอสดับหิมะส่งเว่ยฉีหลินมหาบุตรมาทั้งสองคน ทั้งเว่ยฉีหลินที่เป็นลำดับหนึ่งกับโจวเนี่ยนเฉิน ร้อยดินแดนก็ส่งกระบี่ปีศาจซงหลวนกับพิรุณดอกท้อเจียงมู่เฟย แล้วก็ยังมีเจ้าตำหนักเฉินคง เจ้าตำหนักหลิวลี่ …โอ้ เจ้าตำหนักหยินหยูจากอาณาจักรทมิฬ คนเหล่านี้ล้วนเป็นมังกรและวิหคเพลิงในหมู่บุรุษ”
ข้างนางคือสตรีที่ยิ้มแย้ม
“โดยเฉพาะเจ้าตำหนักเฉินคง เขาคือตำนานไร้ผู้ใดเทียบแห่งยุคของทวีป!”
เหล่าหญิงสาวตื่นเต้นอย่างออกหน้าออกตา มู่เทียนฟางมองดูผู้คน ในตอนนั้นเอง บุรุษผมสีเงินเข้ามาในงานแต่เพียงผู้เดียว นางตาเป็นประกาย
“ว่ากันว่าเจ้าตำหนักเฉินคงใช้แค่กระบวนท่าเดียว ไม่ว่าจะอ่อนแอหรือแข็งแกร่ง เขาก็เอาชนะได้หมด”
มู่เทียนฟางจ้องมองซือหยู นางคือศิษย์ของวิหคเพลิงที่รู้เรื่องการต่อสู้ในหกวันก่อน มันคือการต่อสู้ระหว่างสองเจ้าตำหนักแห่งอาณาจักรทมิฬกับมหาบุตรทั้งสองแห่งหอสดับหิมะ การต่อสู้ของเฉินคงนั้นน่าตกใจอย่างไม่น่าเชื่อ!
ไม่แปลกใจเลยที่จ้าววิหคเพลิงหมั้นเฟิงเซี่ยนกับเขาในทันที เฉินคงนั้นเหนือยิ่งกว่าคำว่าน่ากลัว!
“หยินหยู อยู่ที่ตัวเจ้าแล้ว…”
มู่เทียนฟางพูดและถอนหายใจ นางมองด้วยความสงสาร
ซือหยูมาถึงแล้ว ผมสีเงินและหน้ากากสร้างความสนใจแก่คนหลายคน
“เอ๋? เจ้าตำหนักหยินหยูใช่หรือไม่? เขาเป็นตำนานยอดฝีมือที่มีใบหน้างดงาม แล้วยังมีพลังมหาศาล….”
ในตอนนั้นเอง สายลมพัดผ่านอย่างแรง เมฆาคำรามลั่น
เหล่าหญิงสาวเงยหน้ามอง
“อ๊ะ! ดูนั่นสิ นั่นมันวิหคครามของหลิวลี่! หลิวลี่มาถึงแล้ว!”
พวกเขาละสายตาจากซือหยูและเงยหน้าไปมองหลิวลี่ที่อยู่บนวิหคคราม
หญิงสาวคนหนึ่งหน้าแดงระเรื่อ
“หลิวลี่! นี่ข้าได้เจอหลิวลี่ตัวจริงหรือ!”
หญิงสาวที่แก่กว่ามองหลิวลี่อย่างหม่นหมอง
“ถึงหยินหยูจะเป็นอัจฉริยะ เขาก็ตามไม่ทันหลิวลี่ พรสวรรค์ของเขาสูญเปล่า”
หลิวลี่ปล่อยวิหคครามและไปที่ข้างลานประลอง ความหล่อเหลาของเขาทำให้เกิดบรรยากาศน่าตื่นเต้น ใต้สายตาของหญิงสาวนับไม่ถ้วน เขายืนอยู่ใต้ลานประลองไม่ไกลจากซือหยู แต่ผู้คนที่สนใจเขานั้นเทียบกันไม่ติดเลย
เจียงมู่เฟยไม่ได้เหลือบตาไปมองมากนัก นางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“หึหึ! อิจฉาล่ะสิ?”
ซือหยูยิ้มและส่ายหน้า
“มู่เฟย สุภาพหน่อยสิ!”
ซงหลวนพูดและเดินเข้ามาหาซือหยูด้วยรอยยิ้ม
“หยินหยูได้สร้างชื่อช้าเกินไป การเปรียบเทียบนั่นไม่เป็นธรรมกับเขา ถ้าหยินหยูเกิดเร็วกว่านี้สักปีนามของหลิวลี่ก็อาจจะไม่มีใครรู้จักก็ได้”
ทั้งสามยิ้มให้กัน
“ฮื่ม! เจ้าระวังปากไว้บ้างเถอะ!”
เสียงอันคุ้นหูดังขึ้น
“เขาจะไปเทียบกับหลิวลี่ได้ยังไง?”
ซือหยูไปมองและพบว่าคนที่พูดคือยู่หลิง! ใบหน้ารูปไข่ของนางจ้องมองซงหลวนอย่างเยือกเย็น
ซงหลวนไม่สนใจ
“คนที่ดีก็ย่อมเห็นสิ่งดีของผู้อื่น สตรีวิหคเพลิงยู่หลิงจะสนใจไปใย?”
“ข้าก็แค่เตือนเจ้าให้คิดก่อนจะพูด!”
ยู่หลิงพูดโดยไม่ปิดบังเจตนา
“มีคนมากนักในคณะวิหคเพลิงที่ชื่นชอบหลิวลี่ ข้าไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายเพราะปากพล่อยๆของเจ้า!”
เหล่าศิษย์ในขณะวิหคเพลิงมองซงหลวนอย่างไม่เป็นมิตร คำพูดที่ไม่ให้เกียรติหลิวลี่ทำให้เกิดสายตาไม่เป็นมิตรเหล่านั้น
ซงหลวนยังคงยิ้ม
“ขอบคุณที่เตือนข้า ข้าต้องขออภัยด้วย”
ยู่หลิงถอนหายใจแรงและหันเดินไป ตอนที่นางเดินผ่านซือหยู นางมองด้วยความขยะแขยง
“ทำไมจะต้องมีเจ้าอยู่ในทุกที่กัน? หยุดทำให้ข้าไม่พอใจซักที!”
นางพูดจบและเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน!”
ซือหยูตะโกนใส่นางอย่างไม่เป็นมิตร
“นี่มันการเตือนอะไรของเจ้า? ข้าทำผิดกฎอะไรของคณะวิหคเพลิงรึ?”
ยู่หลิงหยุดเดินแต่ก็ไม่หันกลับมา
“เจ้าไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เจ้าทำให้ข้าไม่พอใจ! ข้าที่เป็นสตรีวิหคเพลิงรับผิดชอบในความปลอดภัยของที่นี่ การเตือนเจ้าคือหน้าที่ข้า”
ซือหยูหัวเราะและส่ายหน้า
นั่นมันหน้าที่ของหน่วยลาดตระเวน เป็นงานของหัวหน้ามู่ ทำไมเจ้าต้องเข้ามายุ่งด้วยเล่า?
ยู่หลิงหันกลับมามองอย่างเยือกเย็น
“ข้าไม่ต้องให้คนนอกอย่างเจ้ามาบอกว่าข้ามีสิทธิ์หรนือไม่! ถ้าเจ้าเหลือแรงมากนักก็เตรียมประลองซะเถอะ!”
ยู่หลิงถากถางซือหยู นางพยายามจะเดินจากไปแต่ก็พูดขึ้นมาอีก
“แล้วก็ภาวนาว่าอย่าให้เจอข้าอีกก็แล้วกัน! ข้าขยะแขยงเจ้านัก!”
นางเดินผ่านผู้คนอย่างหยาบกร้าน
ซือหยูงุนงง
“นางก็จะประลองด้วยรึ? ทำไมกัน? นางกลัวที่จะไม่ได้แต่งงานเลยต้องประลองชิงบุรุษที่นางชอบหรืออย่างไร?”
เจียงมู่เฟยปิดปากกลั้นหัวเราะ
“จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงกันเล่า! จำนวนคนที่ต้องการยู่หลิงนั้นเป็นรองแค่เฟิงเซี่ยน! ทำไมนางจะต้องชิงบุรุษให้ตัวเองเล่า? นี่เป็นกฎของคณะหยุนเซี่ยง เพื่อป้องกันเหล่าบุรุษที่จะหลอกทุกคน คณะวิหคเพลิงจะส่งศิษย์สตรีมาทดสอบพลังของเหล่าคนที่เข้าร่วมงาน”
เป็นเช่นนั้นเอง ซือหยูมองแผ่นหลังของยู่หลิงอย่างไม่พอใจ
“เจ้าก็ควรจะหวังว่าอย่าต้องมาประลองกับข้า”
ในตอนนั้นเอง ผู้คนเงียบกริบ!
โฮก—
เสียงสะท้อนดังก้องราวกับสายอัสนีซัดธรณี ซือหยูตัวสั่น เขาหันไปมองข้างหลังและพบพยัคฆ์ขาวที่ทางเข้าค่อยเดินเข้ามาในลานประลอง ดวงตาวิญญาณของมันดูก้าวร้าว มันเชิดหน้าสูงเมื่อเดินเข้ามาในลานประลอง
ซือหยูจ้องหน้าผากของพยัคฆ์ขาว มันมีผนึกอัสนีอยู่อย่างชัดเจน ซือหยูจดจำได้ในทันที
มันคือพยัคฆ์ตัวนั้น! พยัคฆ์ขาวอมตะที่ปกป้องสมุนไพรเพลิงเยือกแข็งในวิหารเซี่ยนหยุน!
ที่วิหารเซี่ยนหยุน พยัคฆ์ขาวนี่เกือบจะสังหารซือหยู ตอนนั้นซือหยูเป็นแค่ราชันย์ศักดิ์สิทธิ์แต่พยัคฆ์ขาวเป็นขอบเขตมังกร ถ้าไม่ใช่เพราะวิหคเพลิงตัวน้อย ซือหยูก็คงต้องพบกับความพินาศ
ซือหยูมองหลังของพยัคฆ์ขาว เขาเห็นชายหนุ่มนั่งอยู่บนหลังของพยัคฆ์ รอยแผลเป็นที่เกิดจากกระบี่พาดผ่านครึ่งใบหน้า ท่อนบนของเขาเปลือยเปล่า ร่างมีลายสักที่ดูมีชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งคนกับพยัคฆ์นั้นดูหยาบกระด้างและป่าเถื่อน พวกเขาเข้ามาในลานประลองใต้สายตาของคนที่เงียบกริบหมื่นคน!
ไม่นานเหล่าผู้คนก็กระซิบกระซาบต่อกัน
“บุตรคนแรกแห่งหอสดับหิมะ! เว่ยฉีหลิน!”
“เขามีพลังพอที่จะถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสามแห่งยุค! เขาคือยอดฝีมือที่แท้จริง!
เว่ยฉีหลิน! นั่นเขารึ? ซือหยูมองเขาอย่างเคร่งเครียด เขารู้สึกถึงอันตรายที่บุรุษผู้นี้ทำให้รู้สึก
หัวหน้ามู่พูดด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
“ทุกคนพร้อมแล้วใช่หรือไม่?”
“ยังเหลืออีกคน!”
เสียงแหบแห้งดังขึ้น
หัวหน้ามู่มองออกไป
“ท่านเว่ย ท่านเว่ยพูดถึงโจวเนี่ยนเฉินที่ยังไม่มางั้นรึ?”
“ข้าไม่ได้พูดถึงไอ้ขยะนั่น!”
เว่ยฉีหลินไร้จิตใจอย่างคาดไม่ถึง เขาพูดกับโจวเนี่ยนเฉินที่ยังไม่มาเช่นนั้น
หัวหน้ามู่เป็นกังวลเล็กน้อย
“เช่นนั้นท่านเว่ยหมายถึงผู้ใดรึ?”
เว่ยฉีหลินยืนเหนือพยัคฆ์ขาว เขามองไปยังขอบนภา
“ศัตรูแต่เพียงผู้เดียวของข้า! เฉินคง!”
เขา! ไม่มีใครลืมเฉินคงไปได้ เขาคือยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งทวีปและเป็นราชาของเหล่ายอดฝีมือ
เสียงหัวเราะดังก้องลานประลอง แต่ก็ไม่มีใครในหมื่นคนรู้ว่าเสียงหัวเราะดังมาจากที่ใด
“ข้ามาตั้งนานแล้ว”
เหนือท้องนภา ท่ามกลางหมู่เมฆา เก้าอี้ที่ดูจะเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดบนโลกทำให้ทุกคนรู้สึกสงบสุข อาชามีเขาตามเก้าอี้ตัวนั้นและวิ่งบนหมู่เมฆาอย่างมีความสุข
“อ๊ะ! นั่นมันเก้าอี้เมฆาหิมะของเฟิงเซี่ยน! แล้วก็อาชามีเขาของนาง!”
รังสีอันบริสุทธิ์ เฟิงเซี่ยน…
เซี่ยนเอ๋อรึ?
ซือหยูเงยหน้ามองขึ้นไปทันที เขาหวังจะมองทะลุม่านที่บดบัง หัวใจเขาเต้นอย่างบ้าคลั่ง เซี่ยนเอ๋อจะอยู่บนนั้นไหมนะ?
เก้าอี้เมฆาหิมะลงมายังลานประลอง ชายที่รูปลักษณ์งดงามอย่างไม่น่าเชื่อก้าวออกมาจากม่านบัง เขาดูสูงส่ง ที่สำคัญคือฐานพลังของเขาสูงเกินไปจนมิอาจระบุได้! ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด! เจ้าตำหนักเฉินคง เขาคือราชาแห่งยอดฝีมือ! เขาคือคนที่ตระการตาที่สุดในทวีป!
รูปลักษณ์ พลัง ไม่มีสิ่งใดเลยที่ไม่ได้มาจากสวรรค์ เขาสมบูรณ์แบบจนดูไม่เป็นมนุษย์ เขาราวกับพระเจ้า!
คนรอบๆต่างกลั้นหายใจ ทุกคนต่างหันไปมองเขา ทุกคนต่างตื่นเต้นที่ได้เจอเขา เขาคือตำนานแห่งทวีป เขาคือตัวตนที่ยอดฝีมือทุกคนในทวีปไล่ตาม เขาคือยอดฝีมือที่ทรงพลังที่สุด ไม่มีใครในทวีปเทียบได้! เขาคือราชา!
และคนที่ซือหยูต้องท้าทาย….ก็คือราชาคนนี้!