The Devil's Cage - ตอนที่ 198
คนบงการ
เฮลล์ไฟร์ ผู้โจมตีกลุ่มที่สอง
ปืนใหญ่ของพวกเขาและยังสนามแม่เหล็กคือความทรงจำที่ยังสดใหม่ในใจจีหราน
เมื่ออู๋ฝ่าอู๋เทียนอ่านข้อความให้เขาฟัง จีหรานก็สงสัย
“พวกเขาต้องการพบฉัน?” จีหรานถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ใช่…” อู๋ฝ่าอู๋เทียนเองก็ดูสงสัยอยู่เหมือนกัน ดวงตาของเขามองมาที่จีหราน “ฉันขอให้คนช่วยสืบเรื่องพวกเขา และตอนนี้พวกเขาก็ต้องการนัดเจอ… นายจะไปไหม?”
เขาให้สิทธิ์จีหรานเลือก จะอย่างไรเขาก็เป็นคนที่เฮลล์ไฟร์ต้องการพบ
อู๋ฝ่าอู๋เทียนนั้นย่อมต้องไปด้วยอยู่แล้ว
“แน่นอนสิ! ที่ไหนและเมื่อไหร่?”
ถึงแม้ว่าความสงสัยจะยังอยู่ จีหรานก็ไม่มีปัญหากับการตัดสินใจ
เขาอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์กรนักฆ่าจะแย่อยู่แล้ว
“เวลาคือตอนนี้ สถานที่คือจัตุรัสชาเหมยเกิน” อู๋ฝ่าอู๋เทียนพูด
“แล้วพวกเราจะรออะไรอยู่อีก?”
ทันทีที่จีหรานพูดจบ เขาก็หันกลับกลับเดินไปที่สถานีรถไฟ
อู๋ฝ่าอู๋เทียนรีบวิ่งตามไป
…
จัตุรัสชาเหมยเกิน
ถึงแม้ว่ามันจะเรียกว่าจัตุรัส แต่อันที่จริงแล้วก็แค่ที่รกร้างว่างเปล่าที่ด้านนอกเมือง
ผู้คนมักไม่เคยมาที่นี่นอกเสียจากว่าจะเป็นผู้เล่นสายผจญภัย
ในฐานะหน้าใหม่อย่างเขาเองนั้น จีหรานจึงไม่รู้จักที่นี่ กระทั่งอู๋ฝ่าอู๋เทียนที่เป็นมือเก่ายังมีข้อมูลของสถานที่นัดพบอย่างจำกัด
โชคดี เพื่อนของอู๋ฝ่าอู๋เทียนพอจะรู้จักที่นี่อยู่บ้าง
“จัตุรัสชาเหมยเกินนั้นดูเหมือนจะเคยเป็นโรงงานประกอบรถยนต์ตามที่ในเกมอธิบายไว้น่ะนะ เคยมีพนักงานอยู่ที่โรงงานนี่กว่าหมื่นคนในตอนที่กิจการรุ่งเรือง แต่ในที่สุดมันก็ปิดตัวลงและกลายมาเป็นจตุรัสว่างเปล่านี่ ที่นี่น่ะกว้างมาก มันเหมาะจะใช้เป็นจุดหลบซ่อนและลอบสังหาร ฉันไม่คิดว่าพวกมันจะมาที่นี่เพื่อดื่มชาตอนบ่ายอ่ะ!” อู๋ฝ่าอู๋เทียนอ่านสิ่งที่เพื่อนของเขาส่งมาให้เกี่ยวกับจัตุรัสนี่และบอกสิ่งที่ตัวเองสงสัย
“ฉันก็เหมือนกัน แต่ฉันคิดว่าพวกมันก็ต้องคิดว่าพวกเรามีจุดประสงค์แอบแฝงเหมือนกัน พวกเราก็ต้องระวังเรื่องนั้นด้วย” จีหรานพูด
“ผ่อนคลายน่า! ฉันติดต่อกำลังเสริมไว้เยอะอยู่ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันจะตีตั๋วเที่ยวเดียวกลับบ้านให้พวกมัน!” อู๋ฝ่าอู๋เทียนพูดอย่างมั่นใจ
จีหรานไม่พูดอะไรอีก เขารู้ดีว่าอู๋ฝ่าอู๋เทียนย่อมไม่เอาชีวิตตัวของตัวเองหรือของเขาไปเสี่ยง
ผ่านไป 45 นาที ทั้งคู่ก็ลงจากรถไฟ
ภาพที่เห็นเปลี่ยนจากตึกสมัยใหม่สูงระฟ้าไปเป็นแถบอุตสาหกรรมมีโรงงานมากมายตั้งอยู่
ทั่วบริเวณนั้นดูเป็นซากปรักหักพัง กลิ่นเหม็นเน่าโจมตีประสาทสัมผัสของจีหราน มันแย่ยิ่งกว่าอู่ซ่อมรถเก่า ๆ ของเขาเสียอีก
“ไม่เหมือนที่อื่นเลยแฮะ…” จีหรานให้ความเห็น
“พอนายคุ้นแล้วมันก็จะดีขึ้นเอง เหมือนกับตอนที่ฉันย้ายจากปราสาทยุคกลางมาอยู่อพาร์ทเม้นท์สมัยใหม่ ฉันแทบบ้า!” อู๋ฝ่าอู๋เทียนอดยักไหล่ไม่ได้ “ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอันไหนจริงกว่า!” เขาเสริม
“ไม่ว่ายังไงพวกเราก็มีชีวิตเดียว” จีหรานพูดพลางกลั้นหายใจ
“ชีวิตเดียว หึ?” อู๋ฝ่าอู๋เทียนพูดพร้อมถอนหายใจเบา ๆ
เขาสูบบุหรี่อึกใหญ่และพ่นควันออกมาวงเบ้อเริ่ม ก่อนที่มันจะจางหายไปเขาก็ตวัดมือชกใส่ควันนั่นให้มันแตกกระจายออกไปเหมือนเด็ก ๆ เล่น
“เอาไหม?” อู๋ฝ่าอู๋เทียนดึงบุหรี่มวนใหม่ออกมายื่นให้จีหราน
ก่อนที่จีหรานจะทันได้ตอบอะไร อู๋ฝ่าอู๋เทียนก็ดึงไฟแช็กออกมาจากกระเป๋า หมุนเล่นรอบหนึ่งแล้วจุดบุหรี่ขึ้น จากนั้นก็ส่งบุหรี่ที่จุดแล้วให้จีหราน
“นี่เป็นบุหรี่ที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่ที่นี่ เป็นสาว ๆ ของโม่เต๋อเร่อทำเองเลยนะ พวกเธอค่อย ๆ มวนบุหรี่พวกนี้บนตักเลยน้า ฉันชอบมาก!” อู๋ฝ่าอู๋เทียนอวดอย่างภาคภูมิมองจีหรานอย่างคาดหวัง
จีหรานไม่มีทางเลือกนอกจากหยิบบุหรี่มาคาบเอาไว้ แต่ก็แค่นั้น เขาไม่ได้สูบมันจริง ๆ หรอก
กลิ่นบุหรี่เพียงอย่างเดียวก็ทำให้เขารู้ว่ามันไม่ได้มีไว้ให้หน้าใหม่อย่างเขาลิ้มลอง
ตอนที่บุหรี่หมดไปหนึ่งในสี่ ก็มีคนราว ๆ แปดคนมาถึงที่สถานีรถไฟ
พวกเขาคือเหตุผลให้จีหรานและอู๋ฝ่าอู๋เทียนมารออยู่ที่ตรงนี้ หากไม่มีกำลังเสริม กระทั่งอู๋ฝ่าอู๋เทียนยังไม่กล้าเข้าไปในจตุรัสชาเหมยเกินนี่เลย อย่าว่าแต่จีหราน
พวกมือเก๋าที่รอดชีวิตอยู่ในเกมนี้ได้ย่อมไม่ได้โง่
อู๋ฝ่าอู๋เทียนโบกมือส่งสัญญาณให้พวกเขา และทั้งกลุ่มก็กระจายไปรอบ ๆ จัตุรัสชาเหมยเกิน ทุกคนล้วนเข้าสู่ตำแหน่งเพื่อทำหน้าที่
“ไปได้ละ!” อู๋ฝ่าอู๋เทียนพูดหลังจากนั้นสองนาที คนของเขาเข้าประจำที่แล้ว
จีหรานไม่ปฏิเสธ เขาเข้าไปในจัตุรัสชาเหมยเกิน เดินเคียงไปกับอู๋ฝ่าอู๋เทียน
ตอนที่ทั้งสองคนเดินไปตามทางเดินยาว พวกเขาก็เห็นสมาชิกของเฮลล์ไฟร์
เป็นมือลอบสังหารเมื่อตอนนั้น!
จีหรานจำเขาได้ในแวบแรกที่เห็น
ถึงใบหน้าของเขาจะพร่ามัวไปด้วยระบบเกม ร่างกายของเขาก็ยังเหมือนเดิม
“นักแม่นปืนมือฉมังผู้โด่งดังมาพบกับหมาจรจัดอย่างฉันมันจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายกำลังพลมามากขนาดนี้เลยเหรอ?” มือลอบสังหารถามด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“ใช่! แกน่ะหมาจรจัดแน่ ๆ มีหมาตั้งหลายตัวที่จนมุมแล้วก็กระโดดกำแพงหนี!”
อู๋ฝ่าอู๋เทียนพูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริง และย้ำคำว่า ‘หมา’
“ฉันไม่สนหรอก ความจริงเสียงดังกว่าคำพูด ฉันมาที่นี่เพื่อตกลงกับ 2567 แกไม่รู้ใช่ไหมว่าแกตกลงมาในวังวนนี่ลึกแค่ไหน?” มือลอบสังหารถามอย่างจริงจังขณะมองมาที่จีหราน
จีหรานรู้ว่ามันกำลังเพิ่มน้ำหนักต่อรองให้ฝั่งมันเอง
ข้อตกลงที่ชายคนนี้พูดถึงนั้นก็ไม่มีอะไรไปมากกว่าการแลกเปลี่ยน Points, Skill Points และอุปกรณ์บางอย่าง หากคิดถึงการถูกลงโทษเพราะการโจมตีครั้งนั้น ก็ย่อมเดาเจตนาของมือลอบสังหารได้
แต่มันก็ยังไม่ทำให้ความสงสัยของจีหรานกระจ่างอยู่ดี ข้อตกลงที่มือลอบสังหารเสนอมานั้นไม่ใช่ข้อเสนอเรื่องความปลอดภัย
จีหรานนั้นนับการพบกันครั้งนี้เป็นกับดักอยู่ตั้งแต่แรก เป็นเหตุผลให้เขาอดทนรอกำลังเสริมของอู๋ฝ่าอู๋เทียน
แต่ว่า ในตอนพบกันกลับไม่เกิดอะไรขึ้น เห็นได้ชัดเจนว่าสถานการณ์นั้นต่างไปจากที่จีหรานคาดเอาไว้
“ถ้าไม่ใช่กับดัก งั้นมือลอบสังหารนี่ก็ต้องการนัดเจอจริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?”
ความสงสัยของเขาเพิ่มมากขึ้นทุกวินาที เขาสงบใจไม่ได้แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า เขาพยายามเล่นตามน้ำไป
“แกกำลังพูดถึงค่าหัวของฉันที่องค์กรของแกตั้งเอาไว้หรือว่าเรื่องอื่น?” จีหรานถาม
“โอ้ ดีเลย 2567 แกฉลาดกว่าหน้าตาเยอะเลย คนฉลาดมักจะตายเป็นคนแรกนะรู้ไหมเพราะว่าพวกมันมักจะอวดดีเกินไป จ่ายให้ฉัน 200,000 Points กับ Skill Points อีกสักหน่อย แล้วฉันจะบอกแกทุกอย่าง!” มือลอบสังหารพูดหลังจากเยาะเย้ยจีหรานไป
“สองแสน?” จีหรานหัวเราะเสียงเย็น
เขาไม่ได้มี Points เยอะถึงขนาดนั้น แต่ต่อให้มี เขาก็ไม่ยกมันให้คนที่มีจุดประสงค์ชั่วร้ายอยู่ดี
การกระทำของมือลอบสังหารนั้นยืนยันว่าเขาเป็นศัตรูอย่างแท้จริง
“แกคิดว่ามันมากไปงั้นเหรอ? มันเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ฉันกำลังจะบอกแกด้วยซ้ำ! แกรู้ไว้นะ ฉัน… อึ้ก!”
เขาหยุดกลางคันก่อนที่จะพูดได้จบประโยค
ทันใดนั้น ในใจจีหรานก็สัมผัสได้ถึงอันตรายพุ่งขึ้นมา
“ถอย!” จีหรานตะโกน แล้วถอยกรูดออกไป
อู๋ฝ่าอู๋เทียนเองก็ไม่ชักช้า ทันทีที่จีหรานพูด เขาก็กระโดดห่างจากมือลอบสังหารไปกว่าสิบเมตร
ตูม!
ในตอนที่ทั้งสองคนทิ้งระยะห่างออกมา สไนเปอร์ของเฮลล์ไฟร์ก็ระเบิดตัวเอง
เลือดและเนื้อกระจายไปทั่ว ไม่เหลืออะไรไว้เลย ไม่ว่าจะกระดูกหรือร่างกาย
“เหอเหอเหอ… 2567 อู๋ฝ่าอู๋เทียน พวกแกจะเป็นรายต่อไป!”
เสียงหัวเราะชั่วร้ายดังมาจากเงาร่างหนึ่งที่แวบผ่านโรงงานไกล ๆ
“ไป!” อู๋ฝ่าอู๋เทียนตะโกน พุ่งตัวออกไปราวกับลูกศรหลุดจากแล่ง
จีหรานตามหลังไปติด ๆ
เพื่อนของอู๋ฝ่าอู๋เทียนที่จับตามองอยู่ก็ตามพวกเขาไปด้วย
…
ลูกแก้วเปล่งประกายแสงจาง ๆ ฉายภาพที่ในจัตุรัสชาเหมยเกิน
เงาร่างหนึ่งถือแก้วไวน์เอาไว้ในมือนั่งอยู่บนเบาะเงียบ ๆ และชิมรสชาติและดมกลิ่นจากในแก้ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เงาร่างนั้นก็ถอนหายใจ
“น่าผิดหวังเสียจริง… ทำไมแกถึงกลายเป็นชักช้าอย่างนี้ อู๋ฝ่าอู๋เทียน? แกไม่ได้สังเกตเห็นเงื่อนงำตรงหน้าด้วยซ้ำ ฉันจะให้โอกาสแกอีกสักครั้งแล้วกัน… วันเวลาช่วงนี้ช่างน่าเบื่อ!”
เมื่อคำพูดจางไป เงาร่างนั้นก็ลุกขึ้นยืนและหายลับเข้าไปในเงาช้า ๆ
ลูกแก้วหยุดฉายภาพแล้วมืดลงภายในอึดใจเดียว
แล้วห้องก็มืดมิดไปในทันที
Wufen’s note: ขอเสียงชาวกทม.ที่ยังออกไปทำงานตามปกติหน่อยเร็ว โรคก็กลัวเงินก็อยากได้ //ล้องไห้หนักมาก