The Conquerors Path | เส้นทางผู้พิชิต - ตอนที่ 372 Too Smart For Her Own Good
ทั้ง 2 คนเดินหน้าต่อไป และในขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่ก็เจอเข้ากับเอลฟ์อีก 3 คนอีกครั้ง ซึ่งพวกมันทั้งหมดนั้นก็ได้รับการจัดการอย่างรวดเร็ว และคราวนี้ซาบริน่าเตรียมพร้อมแล้ว ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในเลือดของเธอจึงไม่ทำให้เธอตื่นตัวแต่อย่างใด ส่งผลให้เธอมีโอกาสที่จะฆ่าศัตรูของเธอ
ในขณะที่ออสตินมักจะฆ่าพวกมันด้วยการโบกมือของเขา
หลังจากการสังหารเสร็จสิ้น ทั้ง 2 ก็มุ่งหน้าต่อไปทางอุโมงค์อันมืดมิด พวกเขาเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดอย่างกะทันหัน เนื่องจากสิ่งที่เห็นอยู่ข้างหน้าพวกเขา
“นะ-นี่มันเยอะเกินไปแล้ว”
ซาบริน่าพูดด้วยอาการสะอึกเล็กน้อยพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างขึ้น ในขณะที่ขนลุกไปทั่วทั้งร่างกาย ข้างหน้าพวกเขานั้นมีกลุ่มเอลฟ์ที่เคยเจอก่อนหน้านี้ยืนยั๊วเยี๊ยะอยู่
พวกมันเดินไปมาในรูปแบบสี่ขาโดยไม่มีโฟกัสใดๆ คล้ายกับฝูงซอมบี้และพวกมันก็เหมือนกับซอมบี้มากขึ้นกว่าเดิมเมื่อทั้ง 2 เข้ามาใกล้ เอลฟ์ทั้งหมดมุ่งความสนใจไปที่ทั้ง 2 คนด้วยดวงตาสีแดงที่เป็นประกายราวกับว่าพวกมันเห็นของหวานแสนอร่อย ดวงตาสีแดงวาววับของพวกมันนั้นเปรียบเสมือนลางร้ายสำหรับพวกออสติน
ทุกที่ในอุโมงค์เล็กๆ นี้นั้นมีเหล่าเอลฟ์เข้ามาจนเต็มไปหมด มันเป็นแถวของเอลฟ์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด และซาบริน่าก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองไม่สามารถจัดการพวกมันทั้งหมดได้ แม้แต่กับคู่ต่อสู้คนก่อนๆ เธอก็ยังไม่สามารถบอกระดับต้นกำเนิดของพวกมันได้เลย ราวกับว่ามันถูกแย่งชิงหรือเอาออกไป แต่พวกมันกลับเคลื่อนไหวโดยมีความเร็วที่เกินกว่าปกติ
และเธอมั่นใจว่าพวกเธอทั้ง 2 คนคงไม่สามารถรับมือกับศัตรูทั้งหมดที่อยู่ข้างหน้าพวกตัวเองได้
“หนีกันเถอะ”
เธอกระซิบอย่างช้าๆ แต่ในตอนนั้นเอง กองทัพเอลฟ์แดงที่ดูน่าเกลียดก็เริ่มโจมตีพวกเธอแล้ว ดวงตาที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งมองมาที่ทั้งคู่ด้วยความปรารถนา ในขณะที่เสียงคำรามและเสียงกรีดร้องของพวกมันดังไปทั่วอุโมงค์
“หายไปซะ”
ออสตินพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ พร้อมกับโบกมือไปข้างหน้าอีกครั้งทำให้กองทัพทั้งหมดกลายเป็นฝุ่นไป
ไม่มีพลัง, การป้องกันหรือสิ่งใดเลยที่สามารถสกัดกั้นพลังทำลายล้างที่ราเซลเลียมอบให้เขาได้
ทุกสิ่งที่ขวางทางออสตินอยู่นั้นกลายเป็นฝุ่นผงไป มันช่างเรียบง่าย, ตรงไปตรงมาและเป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างแท้จริง
ซาบริน่าหันหน้าเหมือนหุ่นยนต์ไปทางออสตินที่ซึ่งกำลังเดินไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ คราวนี้ความรู้สึกหวาดกลัวทั้งหมดที่เธอรู้สึกนั้นได้ถูกย้ายไปหาชายหนุ่มที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าเธอแทนแล้ว
เธอมีความภาคภูมิใจมากกว่าใครๆ และเธอก็หลงตัวเอง แต่เหนือสิ่งอื่นใดเธอเป็นคนที่ฉลาด ฉลาดมากและคนฉลาดจะรู้ดีว่าเมื่อใดที่พวกเขาเหนือกว่า
จนถึงตอนนี้ซาบริน่าก็ยังคงอยากจะจัดการกับออสตินอยู่ เพื่อให้เขารู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่จะยุ่งและเล่นด้วยได้
แน่นอนว่าเธอรู้สึกขอบคุณเขา แต่เธอก็รู้สึกเคียดแค้นเขาอยู่ด้วยเช่นกัน แม้ว่าหลังจากเห็นการต่อสู้ของออสตินแล้ว เธอก็ได้คิดวิธีบงการบางอย่างเพื่อแก้การแค้นอันหอมหวาน แต่ตอนนี้เธอได้โยนแผนการเหล่านั้นทิ้งไปหมดแล้ว สัญชาตญาณของเธอกรีดร้องว่าเธอไม่ควรทำอะไรที่ทำให้ตัวเองจะต้องมาเสียใจทีหลัง
‘ฉันต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเขาให้มากกว่านี้ เขาอาจเป็นภัยคุกคามต่อคนของฉันในระดับจักรวรรดิเลยก็ได้’
ความคิดของซาบริน่าดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เธอได้วางออสตินไว้บนแท่นที่สูงที่สุดสำหรับบุคคลอันตรายที่เธอรู้จักแล้ว การที่เธอยอมรับพลังของเขานั้นถือเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าเขาจะประสบความสำเร็จมากเพียงใดในโลกโดยรวม
‘ฉันต้องไม่ทำให้เขาเป็นศัตรู แต่ถ้าฉันจะทำ ฉันต้องทำให้แน่ใจว่าจะสามารถลบเขาออกไปได้อย่างสมบูรณ์ซะก่อน’
ซาบริน่าได้เริ่มวางแผนมาตรการป้องกันบางอย่างสำหรับออสตินแล้ว และเมื่อเธอกลับไปแล้ว เธอจะทำให้แน่ใจว่าต้องไม่มีใครจากฝ่ายเอลฟ์ที่ไปทำให้สัตว์ประหลาดที่อยู่ตรงหน้าเธอโกรธเคืองจริงๆ แม้ว่าเธอจะเห็นแก่ตัว แต่เธอก็รักผู้คนของตัวเอง, อาณาจักรของเธอและเธอก็ไม่รังเกียจที่จะเป็นเบี้ยที่อยู่ภายใต้สัตว์ประหลาดตัวนี้
“จะตามมาไหม?”
ออสตินถามขณะยืนหยุดอยู่กับที่ สิ่งนี้ทำให้ซาบริน่าหลุดจากความคิดของเธออย่างรวดเร็ว
“กำลังไป!”
ซาบริน่าตะโกนก่อนจะรีบเดินไปอยู่ข้างๆ เขา โดยรักษาระยะห่างให้น้อยที่สุดขณะยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของตัวเองเอาไว้ เธอไม่ต้องการที่จะหยอกล้อกับเครื่องจักรสังหารเดินได้นี้อีกต่อไป
“ไปกันต่อเถอะ”
ออสตินพูดอย่างนั้นแล้วก็เริ่มเดินไปข้างหน้าและเช่นเดียวกับทุกครั้ง ซาบริน่านั้นเดินอยู่ข้างเขาโดยเงียบกว่าปกติ ดังนั้นทั้ง 2 จึงเดินต่อไปจนกระทั่งเริ่มมีกลิ่นเน่าเหม็นเข้ามาในจมูก
“อึ๊กก!….กลิ่นอะไรเนี่ย?”
ซาบริน่าพูดขึ้นมา
“กลิ่นแห่งความตาย”
ออสตินตอบโดยไม่ได้ผลกระทบมากนักในขณะที่เขาเดินไปข้างหน้า
เมื่อเห็นแบบนั้นซาบริน่าจึงหยิบหน้ากากโปร่งใสออกจากวงแหวนมิติของตัวเองก่อนจะสวมมัน พอเธอกำจัดกลิ่นอันเลวร้ายออกไปได้แล้ว เธอก็หยิบหน้ากากอีกชิ้นหนึ่งออกมาก่อนจะมอบให้ออสติน
“รับไปสิ”
เธอพูดขณะยื่นหน้ากากไปทางออสติน
เมื่อเห็นแบบนั้นออสตินก็ไม่ได้ปฏิเสธและหยิบหน้ากากมาสวมบนใบหน้า
ทั้งสองกลับมาเดินต่ออีกครั้งก่อนที่คราวนี้พวกเขาเริ่มเห็นสิ่งต่างๆ ด้านข้างของพวกเขาว่ามีอาวุธหลากหลายชนิดถูกวางอยู่เกลื่อนกลาด หลังจากได้มองดูพวกมันแล้ว ดูเหมือนว่าพวกอาวุธทั้งหมดจะทรุดโทรมลงมาก แต่การที่ยังคงรักษาสภาพดั้งเดิมเอาไว้ได้อยู่นั้นหมายความว่าอย่างน้อยพวกมันก็เคยเป็นอาวุธระดับสูงที่จุดสูงสุดมาก่อน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ซาบริน่าถามขึ้นมา ความจริงที่ว่าเธอไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้นั้นคอยรบกวนจิตใจเธออยู่ลึกๆ มาตลอด
“ดูเหมือนจะเป็นสงครามภายในนะ”
ออสตินพูดขณะที่พวกเขาเริ่มพบโครงกระดูกรอบๆ วางอยู่ทุกที่ โครงสร้างการจัดวางของพวกมันพิสูจน์ได้ว่าโครงกระดูกทั้งหมดเป็นของเอลฟ์
“แต่ไม่มีเรื่องราวใดในประวัติศาสตร์ของเราเลยที่มีการเอ่ยถึงสงครามที่ใหญ่ขนาดนี้”
ซาบริน่ากล่าวแย้งขึ้นมา เธอสามารถบอกได้จากความผันผวนของโครงกระดูกว่าเอลฟ์ทั้งหมดที่ตายอยู่ที่นี่ล้วนเป็นนักรบ เป็นผู้ที่แข็งแกร่งในตอนนั้น
“เธอควรจะรู้ดีกว่าคนอื่นๆ นะว่าประวัติศาสตร์นั้นไม่ใช่ความจริงเสมอไป มีเพียงผู้ชนะเท่านั้นที่จะได้เป็นคนเขียนประวัติศาสตร์”
ออสตินพูดขณะเริ่มมองไปรอบๆ คราวนี้อุโมงค์ที่พวกเขากำลังเดินอยู่นั้นเปิดออกสู่ห้องโถงขนาดมหึมาซึ่งมีโครงกระดูกนอนอยู่
“เอลฟ์เหล่านี้ทั้งหมดถูกฆ่าตายในคราวเดียว ถูกระเบิดจนตาย”
ออสตินกล่าวขึ้นมา
คำพูดของเขาทำให้ซาบริน่าสนใจ ระหว่างที่เธอกำลังเดินอยู่ เธอถือว่าสิ่งนี้เป็นการวิจัยอีกอย่างหนึ่ง แต่ตอนนี้ข้อมูลที่เธอรวบรวมได้อาจส่งผลกระทบต่ออาณาจักรเอลฟ์โดยรวม
“ไปกันต่อเถอะ ที่นี่ไม่มีอะไร”
ซาบรินาพูดขึ้นมา
ครึ่งชั่วโมงต่อมาหลังจากได้สำรวจรอบๆ มากพอแล้ว ขณะที่ออสตินกำลังยืนรอให้ซาบริน่าสำรวจจนเสร็จ
“ขอบคุณที่รอนะ”
เธอพูดขึ้นมา
“ไม่เป็นไร”
ออสตินตอบขณะที่ทั้งสองเริ่มเดินไปข้างหน้า
ซาบริน่าได้เอาของที่เธอคิดว่าอาจมีประโยชน์กลับไปด้วย ในขณะที่ออสตินดูเหมือนจะไม่สนใจสิ่งใดเลย
‘เป้าหมายของเขาคืออะไรแน่?’
ซาบริน่าเริ่มสงสัย เนื่องจากออสตินดูเหมือนจะรู้เกี่ยวกับสถานที่นี้ จริงๆ แล้วดูเหมือนเขาจะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสถานที่นี้และมันไม่ดีเลย ข้อมูลดังกล่าวอาจเป็นอันตรายต่อราชวงศ์ได้ แต่สิ่งที่เธออยากรู้จริงๆ ก็คือ อะไรคือสิ่งที่สามารถดึงดูดคนลึกลับและเจ้าเล่ห์อย่างออสตินให้เคลื่อนไหวได้?
ซาบริน่าไม่เชื่อแม้แต่วินาทีเดียวว่าออสตินเป็นคนโง่ ผู้ที่สามารถซ่อนพลังดังกล่าวและซ่อนเร้นอยู่ภายใต้สายลับทั้งหมด และผู้ทรงพลังทั่วโลกนั้นไม่ปกติเลยแม้แต่น้อย เขาจะต้องมีไหวพริบมาก และตอนนี้บุคคลดังกล่าวได้เริ่มแสดงเขี้ยวเล็บของเขาแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าตอนนี้เขามีพลังมากพอที่จะรับมือกับผู้มีอิทธิพลด้วยตัวเองแล้ว
‘ดูเธอที่กำลังพยายามอย่างหนักสิ’
ออสตินคิดอย่างสนุกสนาน สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับคนที่ฉลาดเกินไปก็คือคุณเพียงแค่ต้องแสดงคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขาและพวกเขาก็จะแต่งเรื่องราวและทฤษฎีขึ้นมาเอง แม้ว่าคุณจะต้องระวังไม่ให้เรื่องมันลื่นมากเกินไปก็เถอะ
‘เห้อออ เรามาจบเรื่องนี้กันดีกว่า’
เมื่อคิดเช่นนั้นทั้ง 2 คนก็เดินเข้าไปในพื้นที่เปิดโล่ง และพบกับเมืองที่กลายเป็นซากปรักหักพังที่สวยงาม
-Donate-
True Money Wallet ID : mraxzy
ไทยพาณิชย์ : 4051572923 //ชาคริต\