The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 456 ศึกชี้ชะตาแห่งป่าฉีหลิน
EP.456 ศึกชี้ชะตาแห่งป่าฉีหลิน
การต่อสู้อย่างดุเดือดดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลาสองวันสองคืน เมื่อฝนฤดูใบไม้ผลิหยุดตก อสูรเกราะก็เข้ายึดทุกหนแห่งในป้อมปราการหลักของกำแพงเหล็ก ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยทหารแห่งจักรวรรดิและเผ่าอสูร เสียงคมดาบกระทบกัน เสียงกรีดร้องดังก้อง เสียงลูกธนูพุ่งแหวกอากาศดังติดต่อกัน ซึ่งเป็นการโจมตีทางอากาศจากกองกำลังอสูรปีก
“ตูม!”
ส่วนหนึ่งของกำแพงเหล็กพังทลายลงกะทันหัน กำแพงมูลค่าห้าร้อยล้านเหรียญทองไม่สามารถต้านทานการรุกรานของเผ่าปีศาจได้อีกต่อไป ท่ามกลางกองอิฐที่แตกสลาย ทหารและปีศาจยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือด และไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดในเร็ววัน
ทางเดินบนป้อมปราการ เหล่าองครักษ์อวี้หลินล้อมรอบจักรพรรดินีเพื่อล่าถอย ฉินเหยียนซึ่งเป็นผู้บัญชาการถือทวนยาวที่ปกคลุมด้วยแสงเกราะเกล็ดมังกรพร้อมกระซิบว่า “ฝ่าบาท รีบออกจากเมืองเถิด กระหม่อมจะสกัดกั้นที่นี่เอง”
“ระวังตัวให้ดีและรีบตามมาโดยเร็ว” ฉินอินกล่าว
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฉินเหยียนหันม้าไปอีกทางก่อนจะควบออกไป วิญญาณยุทธ์เกราะเกล็ดมังกรแผ่ออกมาปกป้องฉินเหยียนและม้า ทันใดนั้น! เขาตวัดทวนออกไปสามครั้งติดกันพร้อมเฉือนคออสูรเกราะทันที กระนั้นวิญญาณยุทธ์ส่องแสงสีทองประกายและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนทำให้ผู้บัญชาการอายุน้อยที่สุดของจักรวรรดิต้องขมวดคิ้ว ขณะที่มีเลือดไหลออกมุมปาก
โชคดีที่กองทหารม้าด้านหลังซึ่งนำโดยเฟิงจี้สิงรีบเข้ามาช่วยทันควัน
“เป่าแตรสังข์ให้ถอยทัพ!”
สิ้นเสียงคำสั่งเฟิงจี้สิง เสียงแตรสังข์อันเป็นเอกลักษณ์ของกองทัพจักรวรรดิดังก้องเมือง ซึ่งเป็นสัญญาณให้ทุกคนถอนทัพ ทหารกองทัพองครักษณ์ยกโล่ป้องกันจักรพรรดินีเพื่ออพยพออกจากเมือง ขณะที่ด้านหลังมีอสูรเกราะสีดำทมิฬอย่างน้อยหลายหมื่นตัวกำลังโจมตีอย่างบ้าคลั่ง แต่ทหารแห่งจักรวรรดิกลับเหลือเพียงหนึ่งพันนายเท่านั้น
…
“ออกจากเมืองให้หมด!”
เฟิงจี้สิงตะโกนเสียงดัง ขณะที่ฉินเหยียนนำทหารออกจากเมืองทันที จากนั้นเฟิงจี้สิงรีบไปด้านบนของประตูเมืองชั้นในพร้อมเหวี่ยงดาบสะบั้นวาโยออกไป “เคร้ง!” คมดาบตัดบ่วงประตูเหล็กจนทำให้พังลงมาทันที เมื่อหันมองเข้าไปในเมือง เขาเห็นเหล่าทหารกองทัพองครักษ์หลายร้อยนายกำลังถูกอสูรเกราะรายล้อมและสังหารอย่างต่อเนื่อง
“ผู้บัญชาการ!”
ชายผู้มีเลือดเปรอะเต็มใบหน้าตะโกนเสียงดัง “ท่านรีบไปเสีย พวกเรากำลังจะตายกันแล้ว ท่านมีค่ายิ่งกว่าเงินทอง โปรดอย่ามาตายอยู่ที่นี่!”
เฟิงจี้สิงกัดฟันแน่นและพุ่งตัวออกจากกำแพงเมืองชั้นใน เมื่อมองย้อนกลับไป เหล่าทหารด้านในถูกสังหารจนสิ้นแล้ว น้ำตาพลันไหลรินออกจากตา ขณะที่เขาพึมพำ “เหล่าพี่น้อง…การเสียสละของท่านจะไม่เปล่าประโยชน์”
“พรึ่บ!”
เปลวไฟปรากฏขึ้นบนใบดาบ เมื่อกลุ่มอสูรเกราะเห็นเฟิงจี้สิง พวกมันพุ่งตัวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วหวังสังหารผู้บัญชาการมนุษย์
“ตูม!”
ดาบสะบั้นวาโยผ่าร่างกลุ่มอสูรเกราะ ก่อนจะปล่อยเปลวไฟตกลงบนน้ำมันบีชสีดำในคูน้ำของเมืองพร้อมไฟลุกโชนจนทำให้ป้อมปราการกลางป่าเขาแห่งนี้กลายเป็นทะเลเพลิงในพริบตา ไม่รู้ว่าทหารแห่งจักรวรรดิติดอยู่ในนั้นกี่นาย…แต่เหล่าอสูรเกราะมากมายจะต้องตายในทะเลเพลิงนี้!
เฟิงจี้สิงถือดาบยาวด้วยดวงตาแดงก่ำ เขากระโดดลงจากกำแพงและควบม้านำหน้าเหล่าทหาร ก่อนจะกล่าวว่า “ถอยออกไปตั้งหลักรอพวกปีศาจที่ป่าฉีหลิน”
“ขอรับ!”
ทุกคนควบม้าตามออกไป ระยะไกลมีเพียงควันดำพวยพุ่งจากป้อมปราการ ใบหน้าเฟิงจี้สิงซีดเผือด เขาไม่รู้ว่ามีทหารแห่งจักรวรรดิกี่นายที่ต้องถูกไฟคลอกตายในนั้น กระนั้นหากไม่ลงมือ…เผ่าปีศาจอาจไล่ล่าตามมาอย่างรวดเร็ว และเป็นเหตุให้ฉินอินไม่สามารถหลบหนีออกไปได้…
…
ริ้วไฟเปล่งประกายภายใต้ความมืดของป่าฉีหลิน กระโจมทหารแห่งจักรวรรดิถูกสร้างอย่างเรียบง่าย ขณะที่เสียงฮึดฮัดของม้าศึกดังรอบบริเวณ
ฉินอินนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางสงบ ขณะที่ชวีฉู่ เฟิงจี้สิง เซี่ยงอวี้ ซูอวี่ และคนอื่นๆ นั่งอยู่ด้านข้างอย่างเงียบงัน
ในที่สุดจางเหว่ยกล่าวทำลายความเงียบ “กำแพงเหล็กพังทลายแล้ว หน่วยสอดแนมรายงานว่ามีเผ่าปีศาจรวมตัวกันอย่างรวดเร็วกว่าหนึ่งแสนตัว และกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ เราจะหยุดพวกมันได้อย่างไร?”
เซี่ยงอวี้กล่าว “ฝ่าบาท กระหม่อมแนะนำให้ถอยทัพกลับไปเมืองห้าหุบเขา เนื่องจากเราได้ฟื้นฟูเมืองมาหลายปีจนแข็งแกร่งและอุดมไปด้วยเสบียงอาหาร เราสามารถใช้ที่นั่นเป็นปราการป้องกันพ่ะย่ะค่ะ”
ซูอวี่แสดงท่าทีไม่พอใจพร้อมกล่าวว่า “ต้องใช้เวลาเดินทางไปยังเมืองห้าหุบเขาราวห้าวัน ทหารม้าอาจไปถึงได้อย่างรวดเร็ว แต่ทหารราบจะถูกปีศาจไล่ล่าและสังหารจนสิ้น อีกทั้งเกินกว่าครึ่งของกองทัพล้วนเป็นทหารราบ เจ้าต้องการทำลายกองกำลังหลักของจักรวรรดิงั้นหรือ?”
จางเหว่ยกล่าวเสริม “อีกทั้งเมืองห้าหุบเขาไม่มีปราการล้อมรอบเพื่อสกัดกั้นปีศาจ เฉียนเฟิงเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม เขาอาจสั่งให้กองทัพเผ่าปีศาจเลี่ยงเมืองห้าหุบเขาและโจมตีเมืองหลวงของจักรวรรดิโดยตรง”
เฟิงจี้สิงกล่าวด้วยใบหน้าซีดเซียว “นอกเหนือจากวิธีนี้…มีเพียงต้องต่อสู้เท่านั้น”
ฉินอินขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถาม “ผู้บัญชาการเฟิงหมายความว่าอย่างไร?”
เฟิงจี้สิงจับด้ามดาบพร้อมเอ่ยคำเบา “ถึงเวลาที่จะต้องตัดสินอย่างเด็ดขาดแล้ว…ครึ่งเดือนก่อนกระหม่อมระดมพลเรือนขุดกับดักบริเวณนี้พร้อมติดตั้งกล่องลูกศรแปดร้อยกล่องและเครื่องยิงอีกกว่าสามร้อยตัว พลังทะลุทะลวงของกล่องลูกศรบนพื้นราบแข็งแกร่งมาก ตราบใดที่เผ่าปีศาจเริ่มโจมตี เราจะส่งทหารม้าทั้งหมดเพื่อใช้กล่องลูกศรและเครื่องยิงจัดการ ดูสิว่าเฉียนเฟิงจะตอบโต้เราได้อย่างไร…”
“ทะ…ท่านต้องการต่อสู้กับเผ่าปีศาจจริงหรือ?” ถังลู่ตกตะลึง “ผู้บัญชาการเฟิงก็เห็นแล้วว่ากองทัพอสูรเกราะแข็งแกร่งมากเพียงใด ท่านคิดว่าทหารม้าของเราจะต่อสู้กับพวกมันได้อย่างนั้นหรือ?”
“หากไม่ทำเช่นนั้น…”
เฟิงจี้สิงชี้ไปทางตะวันตกพร้อมกล่าวอย่างเย็นชา “มีเมืองห้าหุบเขา เมืองหลันเยี่ยน เมืองชีไห่ เมืองหยาดสายัณห์ และเหล่าเมืองเล็กใหญ่นับร้อยนับพันภายในจักรวรรดิ หากเราไม่ปักหลักต่อสู้กับเผ่าปีศาจที่นี่ แล้วผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร? ต้องการเฝ้าดูจักรวรรดิถูกเหยียบย่ำและผู้คนมากมายถูกสังหารหรือ? ท่านถังลู่…อย่าลืมว่าตนเองกำลังสวมชุดทหารแห่งจักรวรรดิ เช่นนั้นควรตามหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุด”
เซี้ยโหวซาง รองผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์ประสานหมัดกล่าว “ฝ่าบาท ผู้บัญชาการ เราเพิ่งได้รับสารมาว่า ผู้บัญชาการหลินมู่อวี่แห่งกองทัพมังกรผงาดกำลังนำกองกำลังฝีมือดีหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นนายจากเมืองหลันเยี่ยนมาเป็นกำลังเสริม และจะมาถึงเมืองห้าหุบเขาในอีกห้าวัน”
“ยอดเยี่ยม!”
ดวงตาเฟิงจี้สิงเปล่งประกายพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเราต้องปักหลักและพยายามต่อต้านเฉียนเฟิงเป็นเวลาห้าวัน ทันทีที่กองทัพของอาอวี่มาถึง เราจะสามารถพลิกสถานการณ์และได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน!”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้างามของฉินอินในที่สุด ก่อนกล่าวว่า “ทุกสิ่งอย่างจะดำเนินการตามคำสั่งของผู้บัญชาการเฟิง”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเปลี่ยนแปลงอนาคตตามความคาดหวังนี้ให้ได้”
…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เสียงร้องของสัตว์ประหลาดดังแผ่วเบาภายในป่าฉีหลิน กระนั้นไม่มีผู้ใดต้องการออกไปตรวจสอบหรือให้ความสนใจกับสัตว์ร้ายและดอกไม้ที่บานสะพรั่ง หมอกหนาปกคลุมรอบบริเวณ ก่อนที่จะกลายเป็นสายฝนโปรยปรายลงบนชุดเกราะ เหล่ากองทัพทหารม้าหนักแห่งจักรวรรดิยืนข้างม้าของตนพร้อมถือดาบด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ห่างออกไปเล็กน้อย กองทัพทั้งห้าพันนายติดตั้งเกราะหนักและหอก ก่อนจะแปรทัพเป็นวงกลม
ภายใต้หมอกหนา ฉินอิน ซูอวี่ ถังลู่ ถังเทียน และคนอื่นๆ ยืนอยู่บนแท่นไม่สูงนัก ขณะที่เซี่ยงอวี้ยิ้มมุมปากพร้อมกล่าวขึ้น “นี่มันกลยุทธ์การต่อสู้ที่สืบทอดโดยบรรพบุรุษเซี่ยงเหวินเทียน”
“ใช่” เฟิงจี้สิงพยักหน้า “สงครามแห่งสรวงสวรรค์และโลกไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน ด้วยภูมิประเทศป่าทำให้พวกมันไม่สามารถทะลวงกองทัพของเราได้ง่ายดาย อีกทั้งหมอกที่ปกคลุมหนาแน่น ทำให้พวกปีศาจมองไม่เห็นกลยุทธ์นี้ และเราเองก็มองไม่เห็นมัน แต่เสียงกลองสงครามจะเป็นตัวกำหนดรูปแบบการต่อสู้หากมันถูกใช้อย่างถูกจังหวะและเวลา”
เซี่ยงอวี้อดไม่ได้ที่จะเย้ยหยัน “ข้าจำกลยุทธ์การต่อสู้ของบรรพบุรุษตนเองไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ผู้บัญชาการเฟิงกลับศึกษามันอย่างละเอียด”
เฟิงจี้สิงขมวดคิ้ว และไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกไป
ฉินอินด้านข้างพลันเอ่ยถาม “ผู้บัญชาการเฟิง โอกาสที่จะได้รับชัยชนะของเรามีเท่าใด?”
“หนึ่งในสามพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจี้สิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม “กองทัพอสูรเกราะมีจำนวนค่อนข้างมาก เมื่อรวมกับอสูรปีกและปีศาจระดับสูง กระหม่อมเกรงว่าโอกาสชนะอาจไม่ถึงครึ่ง”
ซูอวี่ประหลาดใจ “หากเป็นเช่นนั้น…ความหมายของการต่อสู้ในป่าฉีหลินคืออะไร?”
“กวาดล้าง”
ใบหน้าเฟิงจี้สิงเต็มไปด้วยความเกลียดชังขณะที่กล่าวว่า “เผ่าปีศาจเข้ามาเหยียบย่ำภูเขาและแม่น้ำของจักรวรรดิเรา ไม่ช้าก็เร็วเราต้องเผชิญหน้ากันอยู่ดี แม้การต่อสู้นี้อาจต้องสูญเสียแม่ทัพ ทหาร และม้ามากมาย แต่เราจะต้องจัดการพวกมันให้ได้อย่างน้อยสี่ถึงห้าหมื่นตน! เพื่อที่…จะสร้างโอกาสแห่งชัยชนะให้กับกองทัพมังกรผงาดของอาอวี่”
ซูอวี่ตะลึงงัน
ขณะที่เซี่ยงอวี้เยาะเย้ย “ไม่คาดคิดเลยว่าผู้บัญชาการเฟิงจะสั่งให้เสียสละชีวิตต่อสู้กับปีศาจเพื่อสร้างโอกาสให้ผู้บัญชาการหลินได้ทำผลงานโดดเด่น? เพื่อให้พี่น้องได้รับรางวัล? ช่างเป็นผู้บัญชาการที่ยอดเยี่ยมเสียจริง!”
เฟิงจี้สิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง “หากท่านผิงหนานโหวมั่นใจว่าคนของตนมีความสามารถในการจัดการกับอสูรเกราะและได้รับชัยชนะ เช่นนั้นเฟิงจี้สิงจะมอบอำนาจทางทหารให้ คิดว่าอย่างไร?”
เซี่ยงอวี้กัดฟันแน่นและไม่ได้ตอบสิ่งใด แม้ว่าเขาจะหยิ่งยโส แต่ก็ทราบถึงความแข็งแกร่งของอสูรเกราะเป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีจอมพลที่ชาญฉลาดอย่างเฉียนเฟิง กองทัพเมืองชีไห่ที่อยู่ด้านล่างมีความสามารถน้อยกว่ากองทัพมังกรผงาดของหลินมู่อวี่ พวกเขาจะพ่ายแพ้ทันทีที่ออกไปต่อสู้กับศัตรู แต่หากเป็นกองทัพของหลินมู่อวี่ พวกเขายังพอมีโอกาสอยู่บ้าง…
…
“ตึง ตึง ตึง!”
เสียงกลองสงครามของเผ่าปีศาจดังขึ้นเสียดหูจากระยะไกล กลองสงครามของจักรวรรดิทำจากหนังวัวและไม้ตีค่อนข้างทื่อ มันจึงให้เสียงที่ทรงพลังและทะลุทะลวง ขณะที่กลองสงครามอีกฝ่ายทำจากหนังสัตว์แปลกประหลาดส่งเสียงดังก้องราวกับฟ้าร้อง จนทำให้ผู้คนแทบไม่สามารถทนฟังได้