The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 334 ทายาทราชวงศ์ฉิน
“ก่อกำแพงหิน ประหยัดลูกธนูไว้!”
หลัวอวี่ตะโกนจนเสียงแหบอยู่หน้าแนวป้องกันของภูเขาหลงหยาน ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด ผ้าคลุมขาวเปลี่ยนเป็นสีเทา บริเวณประตูของภูเขา กำแพงหินสูงเกือบสิบเมตรถูกก่อขึ้น มีเพียงกำแพงหนานี้เท่านั้นที่จะช่วยป้องกันการรุกรานของจักรวรรดิอี้เหอได้ หากมองจากระยะไกลจะเห็นว่าภูเขาหลงหยานเต็มไปด้วยทหารของอี้เหอที่จัดแนวทัพอยู่ หลัวอวี่และเว่ยโฉวตัวสั่นมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร
“ข้าไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับท่านแม่ทัพ…” เว่ยโฉวกระชับคันศรกลืนโลหิตด้วยสีหน้าเป็นกังวล
หลัวอวี่ยิ้มพลางแตะบ่าเว่ยโฉว “ท่านพี่เว่ยโฉวอย่ากังวลไปเลยขอรับ ผู้นำของเราดวงดีอยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องห่วง ที่สำคัญ…เหล่าพี่น้องของเราที่ถูกส่งไปด้านล่างเพื่อส่งข่าวก็กลับขึ้นมาหมดแล้ว อีกอย่างท่านเว่ยโฉว…ท่านเป็นถึงยอดนักรบ ตอนนี้องครักษ์อวี้หลินก็ไม่มีอยู่แล้วเหตุใดจึงไม่มาเป็นหัวหน้าหน่วยมังกรให้กลุ่มมังกรผงาดเสียเล่า?”
เว่ยโฉวยิ้ม “จักรวรรดิล่มสลายแล้ว ไม่มีทหารองครักษ์ใดอีก…ตอนนี้ข้าเป็นเพียงเว่ยโฉวที่คอยปกป้ององค์หญิงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
“อืม…เท่านี้ก็ตัดสินแล้วว่าท่านคือส่วนหนึ่งของกลุ่มมังกรผงาด จากนี้ไปเราจะเป็นเช่นพี่น้องที่อยู่และตายไปด้วยกัน!”
“อืม”
ทันใดนั้นก็มีม้ากลุ่มหนึ่งควบขึ้นมาบนภูเขา ฉินอินในชุดชาวบ้านธรรมดาลงจากม้าและปีนขึ้นไปบนป้อมปราการหินโดยมีฉู่เหยาและฉินเหยียนอารักขาอยู่
“องค์หญิงระวังเพคะ…” ฉู่เหยามองลงไปเบื้องล่าง “พวกมันมีพลธนูมาก…”
ฉินอินพยักหน้า “ข้าไม่เป็นไรท่านพี่ฉู่เหยา ท่านก็ระวัง…ฉินเยียนดูแลนางด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!”
ฉินเหยียนถือโล่คอยคุ้มกันฉู่เหยาราวผู้พิทักษ์ของเทพเจ้าสงคราม
“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินอินถาม
หลัวอวี่ประสานกำปั้นคำนับก่อนจะตอบ “พวกมันมีกำลังทหารมาเพิ่มอีกห้าหมื่นนาย และคงจะมีมาเพิ่มขึ้นอีก มันตั้งกองทัพล้อมรอบภูเขาหลงหยาน คงหมายเข้ายึดในทีเดียว ทว่าคงไม่ง่ายเช่นนั้น…กว่าภูเขาลูกนี้จะถูกยึดได้สำเร็จเราคงมีกำลังเสริมมาช่วยแล้ว อีกทั้งทางด้านหลังเขาเราก็มีพลธนูคอยซุ่มอยู่ โดยอาศัยพื้นที่ที่อำนวยต่อการป้องกันมากกว่าโจมตี พวกมันคงคิดไม่ถึงแน่”
“อืม”
ฉินอินพยักหน้าและถามต่อ “แล้วมีข่าวท่านพี่อาอวี่บ้างหรือไม่?”
“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ”
หลัวอวี่ส่ายหัว “เราขาดการติดต่อกับเมืองหลันเยี่ยนรวมไปถึงทั้งจักรวรรดิแล้ว นกส่งสารทุกตัวไม่หายก็บินหนีไป ถึงกระนั้นองค์หญิงทรงวางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีเรื่องร้ายแรงใดเกิดขึ้นกับท่านผู้บัญชาการแน่นอน”
“อืม” ฉินอินตอบด้วยท่าทีกังวลกว่าเดิมก่อนจะมองไปยังกองทัพอี้เหอที่อยู่ตีนเขา “บางที…หากข้าลงจากเขาและเข้ามอบตัวกับพวกอี้เหอเสีย อาจช่วยให้กลุ่มมังกรผงาดทั้งพันคนรอดก็ได้…”
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
หลัวอวี่ ฉินเหยียน เว่ยโฉวและคนอื่นๆ รีบคุกเข่าลง หลัวอวี่เงยหน้ากล่าว “องค์หญิงเป็นสายเลือดราชวงศ์ฉินคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ พวกเราเกิดและยอมตายเพื่อแผ่นดินนี้อยู่แล้ว หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับพระองค์ พวกกระหม่อมจะมีหน้าไปพบกับท่านหลินมู่อวี่ได้อย่างไร? หากต้องเสียพระองค์ไป กระหม่อมก็จะขอยอมตายอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน!”
ฉินเหยียนพยักหน้า “พ่อของข้าเองก็ถูกสังหารไปพร้อมกับองค์จักรพรรดิด้วยฝีมือของฉินอี้ ความเกลียดชังนี้หากไม่ได้รับการแกแค้น ข้าก็ไม่ขอเรียกตัวเองว่ามนุษย์!”
ฉินอินมองผู้คนโดยรอบพร้อมกล่าวพึมพำ “ราชวงศ์ฉินโชคดีที่มีพวกท่านคอยช่วยเหลือ…ลุกขึ้นเถิด ทว่าหากเรายังอยู่บนภูเขาเช่นนี้ต่อไป เราคงไม่รู้สถานการณ์ด้านล่างเป็นแน่”
ฉู่เหยากล่าว “องค์หญิงวางใจเถิด บนเขาหลงหยานมีนำและอาหารเพียงพอให้อยู่ได้เป็นเดือน จนถึงตอนนั้นท่านนตาของพระองค์คงทราบเรื่องและส่งกองกำลังมาช่วยเราแล้ว”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น…”
ฉินอินไม่กล้าที่จะหวังกำลังเสริมจากตาของตัวเองถึงเพียงนั้น แววตาใสเริ่มพร่ามัว “ข้าหวังเพียงให้ท่านพี่โปรดภัยก็พอแล้ว…”
“ระวัง! การโจมตีระลอกใหม่จะมาแล้ว!”
หลัวอวี่มองไปยังตีนเขา “พลธนูเตรียมยิง!”
เว่ยโฉวดึงลูกศรออกมาจากซอง “พวกมันส่งพลโล่ขึ้นมา ใครก็ได้ส่งศรเศวตรมณีให้ข้าและขอกำลังยี่สิบคนไปช่วยกันดักทางขึ้นเขา เราจะยิงพวกมันให้หมด!”
“ขอรับ!”
ทุกคนพยักหน้า บริเวณตีนเขา…กองทัพโล่จากอี้เหอกำลังเคลื่อนทัพขึ้นเขา ทว่าก็ถูกยิงตายและบาดเจ็บทันทีด้วยศรเศวตรมณีจากประตู ศรสีขาวอันคมกริบสามารถเจาะทะลวงโล่หนาได้ หน้าประตูทางขึ้นเขามีศพกองเป็นพะเนิน รวมไปถึงทางไหล่เขาที่มีศพอยู่กว่าห้าร้อย
“ระวัง!” เว่ยโฉวก้มหัวลง
ลูกธนูหลายดอกพุ่งผ่านหัวเขาไป หลัวอวี่ยิ้ม “พวกมันถอยแล้ว”
หลังถูกระดมยิง ทหารอาสาก็พากันถอยไปจัดทัพใหม่
“เปิดประตูออกไปเก็บศรเศวตรมณีจากศพเพื่อประหยัดทรัพยากรของเรา!”
“ขอรับ!”
เมื่อทหารมังกรผงาดเก็บลูกธนูมาทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ฉู่เหยาก็ได้กลิ่นบางอย่าง “มีใครได้กลิ่นแปลกๆ หรือไม่?”
“อืม”
ฉินอินพยักหน้า “เป็นกลิ่นน้ำมัน”
เว่ยโฉชะงัก “บัดซับ! น้ำมันจากต้นบีช พวกมันคิดจะเผาเราทั้งเป็นอย่างนั้นรึ?”
“ท่านคิดไม่ผิด” หลัวอวี่ชี้ไปทางศัตรู “พวกมันขนเครื่องยิงหินขึ้นมาแล้ว อีกไม่นาน…ที่นี่คงกลายเป็นทะเลเพลิง”
“ไอ้พวกคนใต้น่ารังเกียจ!” เว่ยโฉวกัดฟันกรอด
หากทหารอี้เหอใช้เครื่องยิงหินยิงน้ำมันจุดไฟขึ้นมา คงเกิดเรื่องที่ยากจินตนาการได้ หลงเซียนหลินก็ใช้วิธีนี้กำราบกองทัพของเฟิงจี้สิงจนพ่ายแพ้ ตอนนี้พวกมันกำลังจะใช้วิธีเดียวกันซ้ำอีกครั้ง
…
บริเวณตีนเขา เครื่องยิงนับสิบถูกนำมาตั้งเรียงสลับฟันปลา พร้อมกับถังใส่น้ำมันบีชสีดำ ด้านข้างมีผู้บัญชาการทหารยืนยิ้มอยู่ด้วยสีหน้าอันโหดเหี้ยม “หลงเซียนหลินใช้กองทัพถึงสามแสนนายแต่ก็ล้มเหลวในการจับกุมฉินอิน ตอนนี้คงถึงตาเซี่ยวเหรินผู้นี้แล้วสินะ ฮ่าๆๆ”
ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มทหารความม้าเข้ามา ชายที่นั่งอยู่บนหลังม้าคือแม่ทัพสองดาว…ติงซี่ ผู้บัญชาการกองหมื่นของเมืองสายัณห์
ติงซี่ควบม้าอย่างช้าๆ มองถังใส่น้ำมันบีชสีดำ “เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?”
เซี่ยวเหรินประสานกำปั้น “ท่านแม่ทัพติง ทายาทของจักรวรรดิที่อยู่บนเขาหลงหยานดื้อด้านมาก เราพยายามโจมตีพวกมันถึงสามครั้งแต่ก็ยังเอาชนะไม่ได้ ข้าจึงตัดสินใจจะใช้ไฟโหมใส่พวกมันและตามด้วยทัพทหารม้าบุกขึ้นไปในทีเดียว”
“บังอาจนัก!”
ติงซี่เลิกคิ้วขึ้น “แม่ทัพเซี่ยวเหริน ข้าขอถามเจ้า…ใครเป็นผู้บัญชาการกองทัพเจ็ดหมื่นนายในภารกิจปิดล้อมภูเขาหลงหยานนี้?”
เซี่ยวเหรินชะงัก “แน่นอนว่าเป็นท่านแม่ทัพติงซี่ขอรับ ท่านเป็นผู้บัญชาการหลักที่ถูกเลือก…”
“เยี่ยม”
ติงซี่กล่าวอย่างเย็นชา “หากข้าไม่ได้สั่งให้เผาภูเขาหลงหยาน ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามใช้ไฟโจมตีเด็ดขาด เอาเครื่องยิงนั่นออกไปเสีย แล้วล้อมวงเข้ามาฟังข้าให้ดี เราจะปักหลักอยู่ที่นี่ รอคอยจนกว่าเสบียงอาหารของพวกมันจะหมด แล้วค่อยกำราบพวกมันโดยที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ หลังการปะทะกับเมืองหลันเยี่ยนทางเหนือ เราเสียกองกำลังไปกว่าแสนห้า ฉะนั้นจะให้ใครตายเพิ่มอีกไม่ได้”
“ขอรับ!”
เซี่ยวเหรินยิ้ม “ท่านแม่ทัพช่างมีเมตตาต่อทหาร ช่างเป็นโชคดีของกองทัพนี้เสียจริง ข้าจะคอยอยู่ที่นี่ล้อมรอบไม่ให้พวกมันหนีจนกว่าจะถึงเวลานั้นขอรับ”
“อืม”
ติงซี่พยักหน้ามองตามเซี่ยเหรินที่หันหลังกลับไปแล้ว เขาเอื้อมมือไปจับด้ามดาบเย็นที่เอวก่อนจะบ่นพึมพำ “ท่านแม่ทัพหลินมู่อวี่ ข้านับถือท่านเป็นวีรบุรุษ ทว่าติงซี่ผู้นี้ไม่รู้จริงๆ ว่าจะช่วยท่านได้อย่างไร จะหยุดความโหดร้ายของโลกใบนี้ได้อย่างไร”
…
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อากาศร้อนอบอ้าวเผาผลาญโลกนี้อย่างสิ้นหวัง ราวกับสงครามที่เกิดขึ้นจะไม่มีวันจบสิ้น ต้องปล่อยให้มันเป็นไปโดยไม่สามารถทำสิ่งใดได้
กระทั่งเวลาราตรีเวียนผ่านมา ดวงดาวพร่างพราวปรากฏขึ้นบนผืนฟ้ามืดมิด ปลอบประโลมทุกสิ่งที่มันปกคลุมอยู่
แผ่นดินที่เคยสงบสุขบัดนี้ถูกย้อมไปด้วยเลือด เมืองหลันเยี่ยนเต็มไปด้วยกลิ่นคาวจากความตาย เสียงร้องครวญครางดังระงมไปทุกหย่อมหญ้า ตลอดพื้นที่ในเมืองเกลื่อนกลาดไปด้วยศพของชาวบ้าน หมาป่าที่หิวโหยระเห็ดออกจากป่าล่ามังกรเพื่อเข้ากัดกินซากศพของผู้เคราะห์ร้าย
“ขรืด…ขรืด…”
มีรถม้าแปดคันช่วยกันลากผลึกยักษ์ที่ห่อด้วยผ้าสีดำและมัดด้วยเชือกอีกชั้น กองทหารม้าถูกระดมพลไปกับทหารคุ้มกันเข้าสู่ป่าล่ามังกรตรงไปหลุมฝังศพที่อยู่ลึกในภูเขาท่ามกลางราตรีมืด
ผู้บัญชาการกองทัพขมวดคิ้วถาม “กลิ่นอะไร?”
“เหม็นมาก” นายร้อยคนหนึ่งชี้ไปยังหลุมศพในภูเขา “ดูนั่น มีงูเหลือมยักษ์นอนตายอยู่ขอรับ น่าจะตายมานานจนศพเน่า ซากกระดูกก็เริ่มโผล่แล้ว”
“หืม?”
ผู้บัญชาการควบม้าเข้าไปยังหัวของงูเหลือม บริเวณจมูกมันมีเส้นสีทองสิบเส้นอยู่ เขาขมวดคิ้วกล่าว “งูเหลือมอายุหมื่นปีที่น่าสงสารตายเสียแล้ว…ใครก็ดายลองมาขุดหาศิลาวิญญาณที”
ทหารม้าหลายนายเดินเข้าไป “ไม่ มันไม่มีศิลาวิญญาณ”
“ชิ”
ผู้บัญชาการทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ “มาเถิด ขุดหลุมฝังไอ้ผลึกนี่เสียที แล้วก็ฝังศพงูตัวนี้ด้วย”
เหล่าทหารใช้เชือก ชะแลงและเครื่องมืออื่นๆ งัดผลึกยักษ์ลงหลุมฝังศะ ก่อนจะเริ่มขุดดินฝังทีละนิด ฝูงหมาป่าที่อยู่รอบบริเวณส่งเสียงเห่าหอน เมื่อผู้บัญชาการเห็นว่าผลึกถูกฝังเรียยบร้อยแล้วก็ออกคำสั่ง “เอาล่ะ คงไม่มีใครมาขุดหาผลึกนี้แล้ว ไปกันเถิด”
ทหารจักรวรรดิอี้เหอควบม้าจากไป
…
ทว่าไม่มีใครทันสังเกตว่าดวงดาวบนฟ้ารวมตัวกันและฉายแสงลงไปยังดินที่ผลึกถูกฝังอยู่ ราวกับได้รับการชี้นำจากพลังอันลึกลับ
“เจ้าไก่อ่อนหลินมู่อวี่ ข้าติดค้างเจ้าในชีวิตก่อนหน้านี้ ข้าจะใช้พลังเทวะช่วยผสานสามจิตเจ็ดวิญญาณของเจ้าให้เอง”
มีเสียงพูดดังออกมาจากก้อนผลึก