The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 90 ถือกำเนิดกายาใหม่
“เจ้าสามัญชนต้อยต่ำ ไอ้ชาติหมา!”
เมื่อหลัวปินตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น แววตาเขาเต็มไปด้วมความอาฆาตแค้น เอ่ยด้วยโทสะ “คอยดูเถอะ จวนราชเลขาธิการจะไม่ยอมแน่ สมาพันธ์โอสถก็จะไม่ปล่อยเจ้าไว้ ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
พูดจบ หลัวปินก็เดินจากไป เหล่านักปรุงโอสถที่ล้อมอยู่ก็สลายตัวไปเช่นกัน
……
“อาอวี่ เจ้าก่อเรื่องแล้ว!” ฉู่เหยามองเขาอย่างตำหนิ แล้วพูดขึ้น “พวกเราเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงแท้ๆ เจ้าไปล่วงเกินคนอย่างหลัวปินได้อย่างไร บิดาของเขาเป็นราชเลขาธิการ มีอำนาจในวัง พวกเราไปล่วงเกินเขา แล้วต่อไปจะอยู่เมืองหลวงต่อได้อย่างไร”
“……”
หลินมู่อวี่รู้สึกผิดขึ้นมา ถูจมูกแล้วพูด “ข้าทนท่าทางอวดดีของมันไม่ไหวนี่ ยิ่งทนไม่ได้ที่เห็นมันคิดไม่ดีกับท่านด้วย!”
ฉู่เหยาได้ยินประโยคสุดท้ายจิตใจก็สั่นคลอนทันที รู้สึกเพียงหัวใจเต้นตึกตัก อดขำออกมาไม่ได้ นางยิ้มออกมาราวกับลมในวสันต์ฤดูที่พัดผ่านสระน้ำ “เอาล่ะ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า แต่ว่าเจ้าอยู่ที่สมาพันธ์โอสถไม่ได้แล้ว รีบกลับวิหารศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยคนในวิหารต้องคุ้มครองเจ้าได้ รีบกลับไปเร็วเข้า…”
“พี่ฉู่เหยา แล้วท่านจะไม่เป็นไรใช่ไหม” หลินมู่อวี่ถามไถ่อย่างเป็นห่วง เขากังวลว่าหากหลัวปินหาตนไม่เจอจะไปลงมือกับฉู่เหยาแทน
ฉู่เหยากลับส่ายศีรษะแล้วยิ้มออกมา “วางใจเถอะ ข้าเป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอ แถมยังเป็นนักปรุงโอสถระดับเข็มเงินของสมาพันธ์โอสถด้วย ชื่อก็อยู่ในทะเบียนแล้ว เขาทำอะไรข้าไม่ได้หรอก จะว่าไป คราวก่อนผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงกับพี่ใหญ่มาเยี่ยมข้า เจอหน้าบรรดาผู้ดูแลในสมาพันธ์โอสถแล้ว อย่างน้อยหลัวปินก็ต้องเห็นแก่หน้าเฟิงจี้สิงอยู่บ้าง”
“อืม เช่นนั้นก็ดี! ท่านรีบกินฝันคืนสู่สูงสุดเถอะ แล้วหาที่ปลอดภัยนอนหลับสามวัน ระดับพลังของท่านจะต้องรุดหน้าแน่นอน ข้าก็จะกลับไปฝึกต่อเหมือนกัน”
“อื้อ ไปเถอะ!”
มองร่างหล่อเหลาของหลินมู่อวี่ที่เดินหายออกไป ด้วยระดับของพลังที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้บุคลิกของชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมของเขาในตอนนี้ทำให้จิตใจของหญิงสาวอย่างฉู่เหยาหวั่นไหว ยิ่งรู้จักกันนาน จึงเลี่ยงได้ยากที่จะไม่ให้เกิดความรู้สึกดีๆ ระหว่างกัน
ฉู่เหยาถอนหายใจแผ่วเบา นิ่งเงียบไม่พูดจา นึกเรื่องต่างๆ ไปมา แล้วกลับคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างถังเสี่ยวซีกับหลินมู่อวี่ เรื่องที่ถังเสี่ยวซีเข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องหลินมู่อวี่เป็นที่รู้กันไปทั่วเมือง ต้องรู้ว่า ผู้ดูแลอาวุโสเหลยหงและชางหลานกงถังหลานเป็นสหายสนิทกัน ถึงขั้นที่มีคนลือกันว่าเหลยหงเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาชางหลานกง เรื่องความสัมพันธ์ของถังเสี่ยวซีกับหลินมู่อวี่ แน่นอนว่าเหลยหงต้องปกป้องหลินมู่อวี่ทุกวิถีทางอยู่แล้ว
คิดไปคิดมา ฉู่เหยาจึงได้แต่หลอมโอสถต่อไป
……
หลินมู่อวี่รีบร้อนกลับวิหาร เขาไม่ได้ตรงไปที่ห้องลับ แต่กลับตรงไปยังอาคารหลักของวิหาร ทหารรักษาการณ์สองนายถือดาบ สอบถาม “ผู้ช่วยฝึก ท่านมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด”
“ข้าอยากขอพบท่านปู่เหลยหง”
“ข้าจะไปรายงานให้”
“ขอรับ!”
ไม่นานนัก เหลยหงเดินหน้าตาง่วงนอนออกมาจากวิหาร แล้วยิ้มถาม “เป็นอะไรไปหรือ เจ้าหนุ่ม”
หลินมู่อวี่เอ่ย “ข้าอยากจะเข้านิทราเพื่อฝึกพลังสามวัน เลยอยากให้ท่านปู่เหลยหงช่วยส่งคนมาคุ้มกันข้าที่หน้าห้องลับหน่อย ไม่เช่นนั้น…ข้าเกรงว่าศัตรูอาจมาทำร้ายข้าระหว่างที่เข้าสู่นิทราอยู่น่ะขอรับ”
“หืม?” เหลยหงหรี่ตา “เจ้าเพิ่งใช้โอสถรวมจิตไปไม่ใช่หรือ ข้ารู้ฤทธิ์ของบุหงาน้ำแข็ง เจ้ายังจะหลับได้อีกหรือ”
“ข้าหลับได้ก็แล้วกันน่า!” ดูท่าชวีฉู่จะไม่ได้พูดเรื่องฝันคืนสู่สูงสุดกับเหลยหง ก็ดีเหมือนกัน
เหลยหงพยักหน้า “ได้ สามวันนี้ข้าจะให้ผู้ดูแลเกอหยางเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องลับตอนที่เจ้าฝึกบ่มก็แล้วกัน วางใจเถอะ ในวิหารไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้หรอก”
“ขอบคุณท่านปู่เหลยหงมาก!”
……
กลับมาถึงห้องลับ คราวนี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว หลินมู่อวี่หยิบฝันคืนสู่สูงสุดออกมา หนึ่งขวด เปิดฝาออกแล้วดมกลิ่น กลิ่นหอมหวานของดอกบัวเจ็ดสีก็ลอยเตะจมูก เขากระดกลงไปรวดเดียว วินาทีถัดมา ก็พลันรู้สึกศีรษะหนักอึ้ง ความง่วงแล่นเข้ามาที่สมอง เป็นไปตามคาด ฤทธิ์ของฝันคืนสู่สุงสุดนั้นแรงกว่าโอสถรวมจิตจริงๆ ด้วย บังคับให้ง่วงได้!
การนอนหลับครั้งนี้ยาวนานมาก ในฝันราวกับว่าเขาได้ผ่านภัยพิบัติมามากมาย รู้สึกแสบร้อนไปทั้งร่าง เหมือนกระดูกลุกเป็นไฟ เปลวเพลิงที่แสบร้อนเหลือคณาแผดเผาทุกอณูของร่างกาย แสงสีทองระยิบระยับอยู่เบื้องหน้า เขาเห็นมังกรห้ากรงเล็บเกล็ดสีทองอร่ามหลายตัวบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องนภา หนึ่งในนั้นหนวดสะบัด สายตาเย็นเยียบจ้องมาที่ตน ราวกับเป็นจักรพรรดิแห่งแผ่นดิน
“อา…”
เขาสะดุ้งตื่นจากฝัน เป็นยามรุ่งอรุณพอดี เสียงระฆังบอกเวลาอาหารเช้าดังเข้ามาจากด้านนอก
หลินมู่อวี่กำหมัด สูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกถึงพลังที่ล้นทะลักกำลังไหลเวียนอยู่ภายในร่าง ไม่ต้องใช้เครื่องวัดพลัง เขาก็รับรู้ได้ว่าระดับพลังของตนเพิ่มขึ้นอย่างมาก เขาชูหมัดขึ้น ปราณก่อตัวเป็นไอหนาแน่น เขายิ้มมุมปาก ปล่อยพลังออกมาเล็กน้อย ปราณเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงสีม่วงอ่อนทันที นี่คือแก่นเพลิงมังกร!
พลังทำลายล้างของแก่นเพลิงนี้แข็งแกร่งมาก จะใช้พร่ำเพรื่อไม่ได้ หลินมู่อวี่ถึงขั้นสงสัยว่าพลังการทำลายล้างของแก่นเพลิงมังกรนั้นสามารถโจมตีคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย กระทั่งปลิดชีวิตได้โดยทันที!
เขาก้าวออกมาจากห้องลับ เกอหยางที่อยู่ด้านนอกกำลังสูดรับไออรุณอยู่ ที่เรียกว่าสูดรับไออรุณก็คือการสูดไอฟ้าดินยามรุ่งอรุณ นี่เป็นวิถีการฝึกพลังของเกอหยาง ทุกวันจะมีเพียงครั้งเดียว เกอหยางไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปแน่นอน
เกอหยางลืมตาขึ้นข้างหนึ่งเหล่มองหลินมู่อวี่ เขายิ้ม “หลินจื้อ พลังของเจ้าก้าวหน้าขึ้นแล้ว! ข้าไม่ไปส่งเจ้าหรอกนะ เจ้าไปกินข้าวเช้าแล้วไปขานชื่อเองเถอะ!”
“ขอบคุณท่านผู้ดูแลที่ช่วยคุ้มครองขอรับ!” หลินมู่อวี่ประสานมือทำความเคารพ
เกอหยางยิ้มบางๆ และไม่ตอบอันใด ความจริงระดับพลังของเจ้าหนุ่มนี่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว แต่กลับรู้จักถ่อมตัว ไม่มีความยโส ผู้ฝึกตนอายุน้อยแบบนี้มีน้อยลงเรื่อยๆ บรรดายอดฝีมือรุ่นเยาว์จำนวนมากในวิหารนั้น เจิ้งฟางมั่นใจในฐานะสูงส่งของตน นิสัยโหดร้าย ส่วนจ้าวจิ้น โอวหยางชิวและคนอื่นๆ ต่างมีจิตสังหารรุนแรง ยโสโอหัง หลินมู่อวี่ที่เริ่มงานจากการเป็นผู้ช่วยฝึก ดูเหมือนว่าจะมีจิตใจที่สูงส่งกว่าคนพวกนั้นมาก
มหาสมุทรกว้างใหญ่รับแม่น้ำได้นับร้อยสาย พลังของผู้ที่มีจิตใจกว้างขวางนั้นจักเหนือไปอีกขั้น!
……
“ท่านหลินจื้อ!” คนรับใช้ผู้หนึ่งตะโกนเรียกจากที่ไกล ยิ้มพูดด้วยความเคารพ “ท่านผู้ดูแลอาวุโสเหลยหงให้ท่านไปพบที่วิหารขอรับ!”
“โอ้ ตกลง!”
หลินมู่อวี่ไม่กินข้าว ตรงไปที่โถงในวิหารทันที เห็นเหลยหงที่นั่งบนเก้าอี้ผู้ดูแลมาแต่ไกล เขาด้วยรอยยิ้ม “หลินจื้อ เจ้ามาแล้วรึ…ไปเถอะ ไปทดสอบดูหน่อยว่าพลังของเจ้าก้าวหน้าเพียงใด”
“ขอรับ!”
เขากระโดดลงไปยืนกลางแท่นโปร่งใส เปล่งเสียงเบาๆ แล้วปล่อยปราณออกมา ปราณไหลเข้าเครื่องมือที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าทันที ศิลาวิญญาณด้านข้างมีแสงจากพลังวิญญาณเด้งอย่างรวดเร็ว ยาวห้าสั้นเจ็ด
“ปราชญ์สงครามระดับห้าสิบเจ็ด ไม่เลว ไม่เลว!” เหลยหงลูบเครา พูดยิ้มพอใจ “เอาล่ะ ไปเถอะ การฝึกช่วงเช้าจะเริ่มแล้ว ร่างกายของเจ้าคงฟื้นตัวแล้วใช่ไหม”
“ฟื้นตัวแล้วขอรับ ขอบคุณท่านปู่เหลยหงมาก!”
“ไปเถอะ!”
“ขอรับ!”
……
กินข้าวเสร็จ เป็นเวลาขานชื่อพอดี ตอนที่หลินมู่อวี่มาถึงโถงฝึกซ้อม กลุ่มผู้ช่วยฝึกก็เผยสีหน้ายิ้มแย้มออกมา “ท่านหลินจื้อมาแล้ว…ดีเหลือเกิน!”
หลังจากสร้างชีพจรใหม่ด้วยคัมภีร์หลอมกระดูกมังกรแล้ว บุคลิกท่าทางของหลินมู่อวี่ก็เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าเขาจะเป็นคนเข้าหาได้ง่าย แต่ความรู้สึกที่ทรงอำนาจนั้นกลับทำให้เหล่าผู้ช่วยฝึกรู้สึกยำเกรง
“หลินจื้อ เจ้าออกมาแล้วหรือ” ผู้ช่วยฝึกระดับดาวทองแดงหัวเราะฮ่าฮ่า
คนผู้นี้หลินมู่อวี่รู้จัก แต่ไม่รู้จักชื่อแซ่ที่แท้จริง รู้เพียงฉายาว่า “ถั่วงอกน้อย” พละกำลังจัดว่าใช้ได้ทีเดียว แต่วันนี้ดูผิดปกติไปหน่อย ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ จมูกบิดเบี้ยว เหมือนดั้งจมูกถูกคนชกจนหัก หลินมู่อวี่อดขมวดคิ้วถามไม่ได้ “ถั่วงอกน้อย จมูกของเจ้าไปโดนอะไรมาล่ะ”
“เอ่อ ไม่มีอะไรหรอก…” ถั่วงอกน้อยรีบเบือนหน้าหนี
ฉินจื่อหลิงที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “หลินจื้อ เมื่อวานถั่วงอกน้อยจับคู่กับเติ้งจื่อหลินครูฝึกระดับดาวสีเงิน นี่เป็นฝีมือเติ้งจื้อหลินน่ะสิ เขาลงมือโดยไม่สนอะไรเลย”
ถั่วงอกน้อยกัดฟัด “จื่อหลิง เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว!”
ในตอนนี้เอง ครูฝึกระดับดาวสีเงินรูปร่างกำยำผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขาสวมเสื้อเกราะ มุมปากเผยรอยยิ้มอันภาคภูมิใจ นั่นก็คือเติ้งจื่อหลิน เขากวาดตามองแล้วพูดว่า “ท่านผู้ดูแล วันนี้ข้ายังอยากจะจับคู่กับถั่วงอกน้อยอีก เขาเป็นกระสอบทรายชั้นยอดของข้า”
ผู้ดูแลที่เข้าเวรคือเจิ้งฟาง เขายิ้มหยัน “ให้ตามที่เจ้าขอ”
ถั่งงอกน้อยตัวสั่น ก้มหน้างุด ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง
นี่ก็คือชะตาของผู้ช่วยฝึกในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ต่ำต้อย
อีกทั้งผู้ช่วยฝึกส่วนมากล้วนเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องและเพื่อเหรียญทองแค่หยิบมือ ก็ยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงให้คนทุบตี ถึงแม้ในชีวิตจริงหลินมู่อวี่จะมีฐานะดี เป็นลูกชายเจ้าของบริษัทหลงซิน แต่สำหรับถั่วงอกน้อยที่มีฐานะยากจนแบบนี้ เขากลับเห็นอกเห็นใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล มนุษย์นั้นเดิมทีมีจิตใจที่เมตตา สำหรับเขาแล้วนี่คงเป็นสัญชาตญาณ
หลินมู่อวี่ยกแขนขึ้นเล็กน้อย เอ่ยว่า “ท่านเติ้งจื่อหลินเป็นถึงครูฝึกระดับดาวสีเงิน มาจับคู่กับผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองแดงดูจะไม่เหมาะสมกับระดับของท่าน ถ้าไงวันนี้ให้ข้าเป็นคู่ฝึกแทนดีไหม”
เติ้งจื่อหลินแววตาเย็นชา “หลินจื้อ เจ้าออกหน้าให้คนอื่นงั้นรึ เหอะ อย่าคิดว่าผู้ดูแลอาวุโสปกป้องเจ้าอยู่ แล้วจะทำตามอำเภอใจได้”
หลินมู่อวี่เลิกคิ้ว “ว่าไง ท่านไม่กล้าหรือ”
“ทำไมจะไม่กล้า!”
เติ้งจื่อหลินฮึดฮัด “สู้ก็สู้! ท่านผู้ดูแล โปรดจับคู่ข้ากับหลินจื้อด้วยขอรับ!”
เจิ้งฟางพยักหน้ายินดี “ให้ตามที่เจ้าต้องการ”
……
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ในห้องฝึกซ้อม เติ้งจื่อหลินถอดเกราะออก กล้ามเนื้อทรงพลังเป็นประกายระยิบ เขาเรียกวิญญาณยุทธ์พยัคฆ์ออกมา แล้วยิ้มพูด “เข้ามาเลย หลินจื้อ ขอข้าดูหน่อยสิว่าเจ้ามีสามเศียรหกกรหรือเปล่า!”
เพิ่งพูดจบ เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งหมัดสายฟ้าเข้าใส่หน้าอกของหลินมู่อวี่ทันที
หลินมู่อวี่ไม่เรียกวิญญาณยุทธ์ออกมา ยกแขนขึ้นปัดป้องอย่างเหี้ยมหาญ ใช้แค่พลังจากชั้นก่อผิวและการหลอมกระดูกของร่างกายมาทานไว้!
“เปรี้ยง!”
โจมตีซึ่งๆ หน้า เขาไม่ขยับแม้แต่น้อย กลับเป็นเติ้งจื่อหลินที่ถูกกระแทกกลับไปจนต้องถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าของเติ้งจื่อหลินซีดเผือดในทันที เขารู้ว่าหลินมู่อวี่นั้นแข็งแกร่ง แต่ไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ที่ไม่ได้ใช้พลังของวิญญาณยุทธ์ยังจะต้านการโจมตีของตนเองได้!
พลังวิญญาณยุทธ์สีส้มค่อยๆ ไหลเวียน หลินมู่อวี่เพิ่งอัญเชิญกระดองเต่าทมิฬและปราการเกล็ดมังกรออกมา ยิ้มพูด “ท่านเติ้งดูจะใจร้อนเกินไปหน่อย มาสิ เรามีเวลาฝึกซ้อมกันตลอดทั้งช่วงเช้าเลยล่ะ!”
การโจมตีของเติ้งจื่อหลินล้มเหลวแบบนี้ ยังจะมีความเกรงขามใดเหลืออยู่อีก จึงได้แต่ร้องโอดโอยไม่หยุดอยู่ในใจ