The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 89 ผู้พิทักษ์บุปผางาม
ริมถนน ในร้านขายเนื้อกวางที่ไม่สะดุดตาร้านหนึ่ง กลับมีสาวงามสวมเสื้อผ้าหรูหรานั่งอยู่ เป็นถังเสี่ยวซีนั่นเอง นางถือส้อมจิ้มเนื้อกวางในจานกินอย่างเบิกบานใจ
หลินมู่อวี่ก็นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ถูมือไปมา ดูเคอะเขินเป็นอย่างมาก “เสี่ยวซี ข้าขอพูดอะรกับเจ้าหน่อยได้ไหม”
“อื้อ เรื่องอะไรเหรอ”
“ข้าขอยืมเงินหน่อยสิ…”
“ฮะ ยืมเงิน?” ถังเสี่ยวซีอดหัวเราะไม่ได้ เอียงศีรษะแล้วมองหน้าเขาพูดจาล้อเลียน “มู่มู่ เจ้าจนขนาดนี้เลยเหรอ ถึงขั้นต้องมายืมเงินกับข้าเนี่ย”
“ผู้ช่วยฝึกในวิหารส่วนใหญ่ก็จนทั้งนั้นแหละ เจ้าก็น่าจะรู้ดี” หลินมู่อวี่เคอะเขินอยู่บ้าง “แล้วข้าต้องใช้เงินด่วน แน่นอนว่าข้าจะรีบคืนให้เร็วที่สุด เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะคืนให้ภายในเจ็ดวันแน่นอน!”
“งั้นก็ได้…”
ถังเสี่ยวซียู่ปาก “ว่ามาสิ ต้องการเท่าไร”
หลินมู่อวี่ชูสองนิ้ว “เท่านี้!”
“หา เจ้านี่โลภไปรึเปล่า สองหมื่นเหรียญทองเชียว?!” ถังเสี่ยวซีชะงักไป
“เปล่าสักหน่อย แค่สองพันต่างหาก” หลินมู่อวี่รู้สึกอยากตายขึ้นมานิดหน่อย
“ค่อยยังชั่ว…”
ถังเสี่ยวซีล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบเหรียญหนักๆ สองเหรียญออกมาแล้วโยนให้เขา ยิ้มพูด “เอาไปสิ!”
“เคร้ง…”
เหรียญใสแวววาวสองเหรียญกลิ้งวนอยู่บนโต๊ะสองรอบแล้วหยุดลง นั่นเป็นเหรียญคริสตัลที่เกือบจะโปร่งแสง ผ่านการแกะสลักอย่างประณีตงดงาม เห็นสัญลักษณ์ของจักรวรรดิรูปดอกจื่ออินชัดเจน แต่…เหรียญสองเหรียญจะมีค่าเท่ากับสองพันเหรียญทองเชียวหรือ
หลินมู่อวี่หยิบเหรียญขึ้นมา พิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง อดหัวเราะไม่ได้ “เสี่ยวซี เลิกแกล้งข้าได้แล้ว นี่มันอะไรเหรอ มีค่าเท่ากับสองพันเหรียญทองไหม เป็นไปไม่ได้หรอก…”
ถังเสี่ยวซีเลิกคิ้ว ใช้สายตาเหมือนมองแมลงสาบมองเขา “มู่มู่ เจ้ามาจากบ้านนอกจริงด้วย เจ้าไม่เคยเห็นเหรียญเพชรหรือนี่! เหรียญเพชรหนึ่งเหรียญมีค่าเท่ากับหนึ่งพันเหรียญทอง นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนในจักรวรรดิต่างทราบกันดี!”
ด้านข้าง พนักงานของร้านเนื้อกวางมีสีหน้าตกใจ “แม่นางท่านนี้มีเหรียญเพชรหรือนี่…นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเหรียญเพชรกับตา ว่ากันว่า…เหรียญเพชรแบบนี้ชาวบ้านทั่วไปไม่มีปัญญาใช้หรอก จะมีก็แต่พวกขุนนางที่ได้ครอบครองเหรียญเพชร…”
แล้วหลินมู่อวี่ก็เข้าใจกระจ่าง เขารีบเก็บเหรียญเพชรสองเหรียญลงกระเป๋าที่เอว ยิ้มดีใจ “ขอบใจเสี่ยวซีมาก ภายในหนึ่งสัปดาห์ข้าจะคืนให้ แถมจะคืนให้เจ้าสามพันเหรียญทองเลย เป็นอย่างไร”
ถังเสี่ยวซียิ้มดีใจ “ว้าว ได้กำไรด้วยเหรอเนี่ย ดีเลยๆ ข้ากังวลอยู่พอดีว่าเงินค่าขนมจะไม่พอใช้…”
“อื้ม คำไหนคำนั้น!”
……
ช่วงบ่าย หลินมู่อวี่พกเหรียญเพชรสองเหรียญไปที่ร้านโอสถที่อยู่ในหอการค้าเมืองหลวง เข้าเดินเข้าไปที่ร้านที่ใหญ่ที่สุด พูดตรงไปตรงมา “ข้าต้องการพบเถ้าแก่ของพวกเจ้าหน่อย”
พนักงานในร้านเห็นสัญลักษณ์ดาวสีทองตรงหน้าอกของเขา จึงไม่กล้าชักช้า รีบไปเชิญเถ้าแก่ออกมา
ผ่านไปสักพัก ชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ยผู้หนึ่งก็เดินออกมา เขาสวมเสื้อแพรสีทอง ประสานมือคารวะ แล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ใต้เท้าจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ ข้าน้อยเป็นเจ้าของร้านโอสถ มีนามว่า ‘จินซานพั่ง’ ผู้น้อยแซ่จิน แถมยังตัวอ้วน เป็นลูกชายคนที่สามของตระกูล (“ซาน” ในภาษาจีนแปลว่า “สาม”) ดังนั้นสหายที่อยู่ในแวดวงการปรุงโอสถจึงเรียกข้าว่าจินซานพั่ง ใต้เท้า ไม่ทราบว่ามาหาข้าน้อยมีเรื่องอันใดขอรับ”
หลินมู่อวี่จ้องหน้าเขาแล้วถาม “ระดับการปรุงโอสถของท่านอยู่ระดับใด”
จินซานพั่งประสานมือ แล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “มิกล้าๆ ข้าน้อยเป็นราชาโอสถระดับเก้า เพราะได้ความกรุณาจากสหายในวงการที่ผลักดัน จึงได้เป็นประธานสมาคมร้านโอสถแห่งเมืองหลวง เหอะๆ…”
มิน่าในดวงตาเจ้าอ้วนถึงมีแววภูมิใจฉายออกมา ที่แท้ก็เป็นราชาโอสถ นักปรุงโอสถระดับขนาดนี้น่าจะจัดเป็นอันดับหนึ่งไม่ก็สองของจักรวรรดิเป็นแน่
ทว่าหลินมู่อวี่ไม่ได้มีท่าทางเคารพอะไร เพราะเขาสามารถปรุงโอสถระดับสิบได้ด้วยตัวเขาเอง ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นเทพโอสถหนึ่งเดียวบนโลกนี้ แถมยังชำนาญวิธีการปรุงโอสถทุกชนิดด้วยวิธีการที่หลากหลาย แค่ราชาโอสถแค่นี้ไม่มีอะไรให้ต้องเคารพ
“ข้าอยากจะซื้อวัตถุดิบจากร้านโอสถของท่าน ไม่ทราบว่ามีดอกบัวเจ็ดสีหรือไม่”
จินซานพั่งพอได้ยินคำว่า ‘ดอกบัวเจ็ดสี’ หน้าเขาก็ถอดสี “ใต้เท้า ทะ…ท่านต้องการบัวเจ็ดสีไปทำอะไร”
“ปรุงโอสถน่ะ”
หลินมู่อวี่ตอบกลับสั้นๆ แล้วพูดต่อ “คนของวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้รับอภิสิทธิ์สามารถซื้อดอกบัวเจ็ดสีได้ในปริมาณเล็กน้อย ท่านจะขายเท่าไร เถ้าแก่จิน”
“จินซานพั่งพูดด้วยความลังเล “ดอกบัวเจ็ดสีพบได้น้อย แถมหาได้ยากด้วย อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรต้องห้ามของจักรวรรดิ เอาแบบนี้แล้วกัน…ข้าน้อยขายให้ท่านเหลี่ยง (1 เหลี่ยง เท่ากับ 50 กรัม) ละสองร้องเหรียญทอง เป็นอย่างไร นี่ราคาพิเศษแล้วนะขอรับ”
“ได้ ข้าต้องการยี่สิบเหลี่ยง (หนึ่งกิโลกรัม) เจ้าแถมต้นกระโหลกให้ข้าหน่อยก็แล้วกัน”
“ต้นกระโหลก?” จินซานพั่งชะงัก “ดอกบัวเจ็ดสีกับต้นกระโหลก…หรือว่าท่าน?”
ความหวาดกลัวในใจของเขาทวีคูณทันที “ท่านจะปรุงฝันคืนสู่สูงสุดในตำนานเช่นนั้นหรือ”
“เรื่องนี้ท่านไม่ต้องสนใจ ท่านขายสมุนไพร ข้าปรุงโอสถ”
“ขอรับ ขอรับ…”
จินซานพั่งสั่งให้คนไปชั่งน้ำหนักบัวเจ็ดสีหนึ่งมายี่สิบเหลี่ยงทันที จากนั้นแถมต้นกระโหลกให้สามต้น แต่เขายังคงมีสีหน้าไม่เข้าใจ เพราะฝันคืนสู่สูงสุดไม่มีใครปรุงได้สำเร็จมาหลายพันปีแล้ว คนจำนวนไม่น้อยเคยทดลอง แต่ล้วนหาอัตราส่วนในการปรุงที่เหมาะสมและวิธีการหลอมไม่ได้ หรือว่าเจ้าหนุ่มนี่จะทำได้กัน
คิดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ จินซานพั่งก็พูดขึ้นมา “ใต้เท้า หากท่านปรุงฝันคืนสู่สูงสุดได้จริง…ถ้ายังไงนำมาที่ร้านให้ข้าน้อยดูได้หรือไม่ หรือถ้าท่านต้องการขาย ข้าจินซานพั่งจะช่วยท่านขายให้ได้ราคาที่สูงที่สุดได้อย่างแน่นอน!
“อืม ไว้ค่อยว่ากันเถอะ!”
“ขอรับ!”
……
เขาหอบสมุนไพรหนึ่งกองกลับมายังวิหาร เขาไม่ได้ไปที่ห้องของตนเอง แต่ไปปรุงโอสถอยู่ในห้องลับ ครั้งนี้เขาปรุงฝันคืนสู่สูงสุดออกมาถึงสิบสองขวด!
ขณะที่หลอมโอสถ แก่นเพลิงมังกรผสานเข้ากับฝ่ามือพิสุทธิ์บนฝ่ามือ ความเร็วในการสกัดแก่นโอสถจึงเร็วขึ้นอย่างไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงหลอมโอสถได้เร็วมาก
หลินมู่อวี่เป็นคนมองปัญหารอบด้าน ตอนนี้ตนเองยังอยู่ในช่วงที่โอสถรวมจิตออกฤทธิ์ จึงนอนไม่หลับ เป็นแบบนี้ต่อไปจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ฝันคืนสู่สูงสุดเป็นโอสถสะกดจิตชั้นยอด ฝันคืนสู่สูงสุดหนึ่งขวดไปต้านโอสถรวมจิตก็จะต้องหลับสามวัน นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าน่าจะให้ฝันคืนสู่สูงสุดฉู่เหยาหนึ่งขวดด้วยเหมือนกันเพื่อช่วยในการฝึกพลังของนาง ในช่วงสามวันที่ตนเองนอนหลับ ฉู่เหยาก็ควรจะเพิ่มพลังไปพร้อมกันด้วย
ดังนั้น เขาจึงนำฝันคืนสู่สูงสุดทั้งหกขวดออกไป โดยห้าขวดจะนำไปขายที่ร้านโอสถของจักรวรรดิ หลังจากจินซานพั่งตรวจสอบพบว่าเป็นฝันคืนสู่สูงสุดของแท้ ตัวเขาก็แทบจะเป็นลม หลินมู่อวี่ให้เขาปกปิดฐานะผู้ร่วมประมูล การประมูลจะต้องแบ่งรายได้สองส่วนให้สมาคมการค้า ซึ่งนี่ก็ไม่ได้เอาเปรียบเขา
หลังจากทำธุระเสร็จ หลินมู่อวี่ก็ตรงไปที่สมาพันธ์โอสถ
……
สมาพันธ์โอสถแห่งจักรวรรดิ โถงวิหารของปรมาจารย์ปรุงโอสถและแพทย์ทุกคน ด้วยสถานะผู้ช่วยฝึกระดับดาวสีทองของวิหารศักดิ์สิทธิ์เขาก็เข้าไปได้สบายๆ ฉู่เหยาอยู่ที่แผนกที่สามของโถงหลอมโอสถ หลินมู่อวี่เคยมาที่นี่แล้ว จมูกได้กลิ่นโอสถฉุน เมื่อเขามาถึงแผนกที่สามก็เห็นฉู่เหยาแบบมือออก เห็นนิ้วเรียวขาวเนียนทั้งห้านิ้วมาแต่ไกล นางกำลังตั้งใจสกัดแก่นโอสถของดอกสาลี่เหล็ก นางมีฝีมือเชี่ยวชาญขึ้นทุกวัน ไม่นึกว่าจะเริ่มลองสกัดดอกสาลี่เหล็ก!
พี่ฉู่เหยา!”
หลินมู่อวี่ตะโกนทักทาย ทำให้ฉู่เหยาที่กำลังสกัดแก่นโอสถต้องหยุดมือทันที นางเก็บปราณในมือ แล้วกระโจนเข้าใส่อ้อมกอดของหลินมู่อวี่ พูดด้วยรอยยิ้ม “อาอวี่ เจ้ามาเยี่ยมข้าเหรอ”
“ใช่แล้ว ข้ามีของขวัญมาให้ท่านด้วยนะ!”
“อะไรหรือ”
หลินมู่อวี่หยิบฝันคืนสู่สูงสุดออกมา พูดว่า “ฝันคืนสู่สูงสุด โอสถที่ช่วยดึงศักยภาพของร่างกายออกมาได้มากที่สุดในตำนาน ท่านเลือกเวลาให้ดี เพราะหลังจากดื่มเข้าไปจะหลับลึกสามวัน ระดับพลังท่านจะต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน!”
“จริงเหรอ” ฉู่เหยารับของขวัญ ดีใจไม่หยุด
แต่ตอนนี้เอง ด้านหลังก็ปรากฏเสียงเย็นชาขึ้น “เจ้าเด็กบ้าจากที่ไหนเนี่ย กล้าดีอย่างไรถึงบุกเข้ามาที่โถงหลอมโอสถของสมาพันธ์โอสถโดยไม่ได้รับอนุญาต หึ รีบไสหัวไปซะ!”
“หืม?”
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะโกรธขึ้นมาทันที หันกลับไปมอง ก็พบว่าผู้มาเยือนเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้าปี ตรงหน้าอกกลัดตราสัญลักษณ์ต้นสมุนไพรสีทองหนึ่งต้น ส่วนของฉู่เหยาเป็นสีเงิน นี่ยืนยันได้ว่าระดับของชายหนุ่มคนนี้สูงกว่าฉู่เหยา และจากสายตาที่เกลียดชังของเขาก็ทำให้เดาสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนคนผู้นี้คงจะชอบฉู่เหยาสินะ
“ผู้ดูแลหลัวปิน เขาเป็นสหายของข้า แค่มาเยี่ยมข้า ไม่ได้เข้ามาที่โถงหลอมโอสถโดยพลการ…” ฉู่เหยาอธิบาย
หลัวปินกลับขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “โถงหลอมโอสถคือสถานที่ลับสุดยอดของสมาพันธ์โอสถ จะให้คนนอกแอบดูได้อย่างไร ฉู่เหยา เจ้าก็รู้กฎของสมาพันธ์โอสถไม่ใช่หรือ”
ฉู่เหยายังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่หลินมู่อวี่กลับเข้าไปยืนขวางอยู่ด้านหน้า พร้อมมองหลัวปินด้วยสายตาเคร่งขรึม พูดด้วยรอยยิ้มเรียบๆ ว่า “ข้าเป็นผู้ช่วยของวิหารศักดิ์สิทธิ์ นามว่าหลินจื้อ ท่านผู้ดูแลหลัวปิน มีปัญหาอะไรเช่นนั้นหรือ”
“คนของวิหาร?”
หลัวปินหัวเราะเยาะ “ที่แท้ก็สุนัขรับใช้ของวิหารนี่เอง มิน่าถึงได้เหิมเกริมเช่นนี้ แค่ผู้ช่วยฝึกกระจอกกลับกล้ามาโอหังที่สมาพันธ์โอสถ เจ้าเห็นสมาพันธ์โอสถของพวกเราเป็นพวกไร้น้ำยาไร้เรี่ยวแรงกันทุกคนหรือไง ทุกคนหลบไปซะ ข้าจะสั่งสอนเจ้าเด็กโสโครกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงสักหน่อย!”
กลุ่มนักปรุงโอสถพากันเปิดทางให้ หลัวปินค่อยๆ ยกมือขึ้นมา ลมปราณสีแดงดั่งโลหิตสายหนึ่งพันรอบฝ่ามือ และก่อตัวเป็นกระบี่สีแดงโลหิตเล่มหนึ่งอย่างรวดเร็ว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นวิญญาณยุทธ์ประเภทอาวุธ ผู้ฝึกตนที่มีวิญญาณยุทธ์ประเภทนี้ล้วนเชี่ยวชาญการโจมตีเป็นอย่างดี ทำให้หลินมู่อวี่ต้องระมัดระวังขึ้นมาหน่อย
ในตอนนี้ ผู้ปรุงโอสถอายุน้อยผู้หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลก็กล่าวเตือนด้วยเจตนาดี “หลินจื้อ เจ้าระวังด้วย…ผู้ดูแลหลัวปินเป็นบุตรชายของราชเลขาธิการ เจ้าอย่าทำเขาบาดเจ็บเชียว…”
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะยิ้มหยัน มิน่าเจ้าหนุ่มนี่ถึงได้ยโสนัก แต่ก็ไม่แปลกอะไร เพราะพลังของเขาก็เกือบจะถึงขั้นนักปราชญ์สงครามระดับห้าสิบแล้ว เดิมทีผู้ช่วยฝึกในวิหารไม่มีผู้ใดต่อกรเขาได้ แต่วันนี้มาเจอกับหลินมู่อวี่ ก็ถือว่าเป็นวันซวยของเขาก็แล้วกัน
……
เอาล่ะ!
หลัวปินพุ่งเข้าไปพร้อมกระบี่วิญญาณยุทธ์ในมือ หมายจะฟันอีกฝ่ายเข้าที่บ่าให้ขาดเป็นสองท่อน!
หลินมู่อวี่เองก็ตัดสินใจในตอนนี้ ว่าจำเป็นต้องให้เขาได้รับบทเรียน ไม่เช่นนั้นหลัวปินผู้นี้จะต้องใช้อำนาจและสถานะในสมาพันธ์โอสถของตัวเขาทำเรื่องต่ำทรามกับฉู่เหยาเป็นแน่
ประกายปราณของท่าฝีเท้าดาวตกแวบผ่านไป หลินมู่อวี่ที่เคลื่อนที่ไปไกลถึงสองเมตรท่ามกลางสายตาของทุกคน หลบการโจมตีของหลัวปินได้อย่างพอดี หลินมู่อวี่หันกลับมายกแขนซ้ายขึ้น ปราณแปรเป็นสายฟ้าสะสมอยู่ในแขนซ้าย จากนั้นสะบัดฟาดเข้าใส่หลังของหลัวปิน!
“เปรี้ยง!”
หลัวปินได้รับบาดเจ็บหนักที่หลัง กระอักเลือดออกมา
“บัดซบ!”
ได้รับความอับอายต่อหน้าฉู่เหยาเช่นนี้ ไหนเลยจะทนได้ จึงหันกลับไปกระโจนใส่หลินมู่อวี่ดั่งสัตว์ป่า
หลินมู่อวี่ไม่ขยับแม้แต่น้อย แต่วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าปรากฏออกมา กระดองเต่าทมิฬบวกกับปราการเกล็ดมังกรพุ่งออกไปพร้อมกัน “เปรี้ยง” หลัวปินลอยกระเด็นออกมา ด้วยใบหน้าโชกเลือด
……
“เจ้า…เจ้า…”
หลัวปินล้มลงกับพื้น ฟันหน้าหลุดออกมาหนึ่งซี่ ตะโกนด้วยความโกรธ “ไอ้ระยำ!”
หลินมู่อวี่ก้าวออกมาข้างหน้า ใช้เท้าเหยียบหน้าอกหลัวปิน พูดเสียงเย็นชา “ฉู่เหยาเป็นพี่สาวข้า ข้ามาเยี่ยมนางเป็นเรื่องปกติ อีกอย่างเจ้าเป็นฝ่ายดูหมิ่นวิหารศักดิ์สิทธิ์ก่อน อย่าตำหนิข้าที่ลงมือหนักเลย”