The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 74 ครูฝึกระดับดาวสีเงิน
“เอาละ หลินจื้อเจ้าตามข้ามา!”
ในตอนนี้เอง มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา หนวดเฟิ้มเต็มหน้า เหมือนไม่เคยโกนหนวดมาก่อน เขาเลิกคิ้วขึ้นถาม “เจ้าเด็กนี่ยังจะอืดอาดยืดยาดอะไรอยู่ ตามข้ามาเร็วเข้า ข้าจะจัดการเรื่องที่พักให้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องเริ่มทำงาน นี่ อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ การเป็นผู้ช่วยฝึกมิใช่งานที่คนธรรมดาจะทำได้!”
หลินมู่อวี่พยักหน้า เดินตามหลังเขาไป
ระหว่างทาง อดไม่ได้จึงถามขึ้นว่า “ท่านลุง ท่านมีชื่อว่าอะไรหรือขอรับ”
ท่านลุงผู้นี้ถูกเรียกจนเกิดความรู้สึกปวดใจ เขาเป่าหนวดยาวแล้วคำรามออกมาเสียงดัง “ข้าชื่อจางเหว่ย ปราชญ์สงครามระดับห้าสิบแปด อาจารย์ระดับดาวสีเงินของวิหาร ปีนี้อายุสามสิบสอง หากเรียกข้าว่าลุงอีกครั้งข้าจะบิดคอเจ้าทิ้งเสีย!”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “ใต้เท้าจางเหว่ย อาจารย์ระดับดาวสีเงินนี่แข็งแกร่งมากหรือขอรับ”
“เฮอะ เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้แล้วล่ะ”
จางเหว่ยชี้ไปที่หน้าอก ที่ตรงนั้นมีเหรียญตราดาวสีเงินติดอยู่ เขายิ้มอย่างเย็นชา “ครูฝึกในวิหารแบ่งออกเป็นสี่ระดับ เรียงตามลำดับได้แก่ ดาวสีทอง ดาวสีเงิน ดาวสีทองแดง และดาวเหล็ก อย่าเห็นว่าข้ายังไม่ได้เข้าสู่ขอบเขตนภา แต่ข้าสั่งสอนเจ้าได้อย่างสบายๆ แน่นอน! ไปเถอะ ใกล้จะถึงที่พักของเจ้าแล้ว”
“ขอรับ”
ที่พักอาศัยภายในวิหารมีไม่มากนัก แต่อย่างน้อยก็เป็นห้องพักเดี่ยว ที่พักของหลินมู่อวี่นั้นไม่ค่อยจะโสภาเท่าใดนัก บนกำแพงมีรอยแตกเป็นร่องขนาดใหญ่ ทำให้ลมหนาวพัดหวีดหวิวลอดเข้ามาภายในห้อง แถมพอสัมผัสถูกผ้านวมก็แข็งอย่างกับก้อนอิฐ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ามันไม่ได้ถูกซักมานานเท่าใดแล้ว พอจางเหว่ยพาเขามาส่งก็กลับไป บอกหลินมู่อวี่แต่เพียงว่าโรงอาหารอยู่ที่ใด และพรุ่งนี้จะต้องทำงานที่ไหน
ในเมื่อมาเเล้วก็อยู่ให้มีความสุขก็แล้วกัน หลังจากวางกระบี่เหลียวหยวนลง หลินมู่อวี่ก็ไปหาม้าของตนที่คอกม้า หลังจากป้อนหญ้าให้มันกินเสร็จก็กลับที่พัก ด้านนอกแดดจ้าสดใส เขาจึงนำผ้าห่มไปซัก ขณะที่เขาตากผ้าปูที่นอนอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงร้องโอ๊ยดังลอยมาจากข้างห้อง ดูเหมือนว่าจะมีคนอยู่
ตนเองนั้นเพิ่งจะมาถึง ดูเหมือนไม่ควรจะหาเรื่องยุ่งยาก แต่ทนไปได้สักพัก เสียงนั้นก็ยังคงอยู่ ในที่สุดเขาก็อดรนทนไม่ไหว เดินไปเคาะประตู “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“ข้าไม่เป็นอะไร…เจ้าเป็นใคร” คนข้างในถาม
“ข้าชื่อหลินจื้อ ผู้ช่วยฝึกเพิ่งจะมาใหม่”
“อ้อ มาใหม่เช่นนั้นหรือ งั้นเจ้าก็แย่หน่อยนะ” เขาลังเลเล็กน้อยก่อนพูดว่า “หลินจื้อ เจ้าเข้ามาสิ”
เมื่อผลักประตูเข้าไป เห็นคนผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียง กำลังส่งเสียงครวญครางไม่หยุด บนแขนของเขามีรอยช้ำใหญ่ บนหน้าผากก็เช่นกัน ดวงตาบวมปูด บางทีคนผู้นี้เดิมคงมีรูปโฉมที่หล่อเหลาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้กลับดูสะบักสะบอมอย่างที่สุด สภาพเหมือนถูกคนทุบตีจนบวมปูดน่วมไปหมด!
“เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ” หลินมู่อวี่อยากจะหัวเราะ แต่พยายามยั้งไว้สุดชีวิต คิดอยู่ในใจว่าตนเป็นคนหนุ่มนิสัยดีผู้หนึ่ง ไม่ควรจะซ้ำเติมผู้อื่น
‘ผู้บาดเจ็บ’ ส่งเสียงครวญครางพลางเอ่ย “จะใครเล่าหากมิใช่ไอ้ระยำจางเหว่ยนั่น ถือว่าตัวเองเป็นครูฝึก จะยั้งมือสักหน่อยก็ไม่มี ผู้ช่วยฝึกของที่นี่หน้าไหนบ้างที่ไม่เคยได้ลิ้มรสหมัดของไอ้จางเหว่ย”
หลินมู่อวี่รู้สึกหน่วงในใจ “ผู้ช่วยฝึกมีหน้าที่แค่ถูกซ้อมเท่านั้นจริงๆ หรือ”
“ก็แหงล่ะ กฎของวิหารก็คือผู้ช่วยฝึกห้ามโต้กลับอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นก็ไม่เรียกผู้ช่วยฝึกแล้ว”
“เช่นนี้นี่เอง…”
หลินมู่อวี่มองหัวที่บวมปูดของเขาอีกครั้ง เกือบจะหัวเราะออกมาอยู่แล้ว เขาล้วงโอสถขวดหนึ่งออกมาจากหน้าอก “ข้าจะใส่ยาให้เจ้า อย่าแหกปากเสียล่ะ”
“ตกลง ข้าไม่แหกปาก…โอ้ย เจ็บ เจ็บ เจ็บ! เจ้าบ้านี่ เบามือหน่อยสิวะ!”
“……”
ผลของโอสถฟื้นฟูเกรดหนึ่งนั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก ไม่กี่นาทีต่อมาความเจ็บปวดของผู้บาดเจ็บก็ลดลงไปมาก และเปิดปากพูดจาต่อได้ เขาชื่อว่าฉินจื่อหลิง เพราะความที่เขาแซ่ฉิน ว่ากันว่าเคยมีสายเลือดของเชื้อพระวงศ์จักรพรรดิฉิน แต่ได้สูญสิ้นไปแล้ว บิดาจึงรอคอยให้เขาสามารถปลุกวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะขึ้นมาได้ ผลสุดท้าย…
“ผลสุดท้ายเจ้าปลุกวิญญาณยุทธ์อะไรขึ้นมาได้” หลินมู่อวี่ถาม
ฉินจื่อหลิงแบมือ พืชต้นหนึ่งผุดขึ้นมากลางฝ่ามือ หลินมู่อวี่รู้จักมัน จึงหลุดปากออกมา “เฮ้ย ดอกหางสุนัข?”
“จะตายไหมถ้าไม่พูดออกมา” ฉินจื่อหลิงสายตาไม่พอใจ
“ไม่เป็นไรหรอก วิญญาณยุทธ์ที่ไม่เอาไหนแล้วผ่านการฝึกจนแข็งแกร่งก็มีให้เห็นอยู่มาก” หลินมู่อวี่แบบมือ วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าสีส้มก็พลิ้วไหวอยู่กลางฝ่ามือ ยิ้มพูด “ดูน้ำเต้าเขียวของข้าสิ วิญญาณยุทธ์ระดับสิบ มิใช่เพราะถูกข้าฝึกเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้หรอกหรือ”
แน่นอนว่าฉินจื่อหลิงรู้สึกได้ถึงพละกำลังอันแข็งแกร่งของวิญญาณยุทธ์น้ำเต้า ทำเอาเขาตะลึงจนพูดไม่ออก
เวลาเที่ยง หลินมู่อวี่พยุงฉินจื่อหลิงลุกขึ้นจากเตียง ไปกินข้าวที่โรงอาหารด้วยกัน ผลคือเพิ่งจะเดินเข้าไป ฉินจื่อหลิงก็มีอาการหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนนกน้อยที่หวาดกลัว เขาพูดขึ้น
“หลินจื้อ ห้องโถงด้านขวาของโรงอาหารเป็นที่กินข้าวของพวกอาจารย์ พวกเราผู้ช่วยฝึกจะต้องไปยืนกินข้าวตรงกำแพงเตี้ยๆ ทางด้านซ้ายนู่น”
หลินมู่อวี่ไม่ได้พูดอะไร ในใจคิดว่ากฎของวิหารแห่งนี้ช่างมากมายเสียจริง อีกอย่างระบบลำดับขั้นก็เข้มงวดเกินไป แต่เช่นนี้ก็มีข้อดี คือยิ่งทำให้ผู้คนพยายามก้าวหน้า
คนเข้ามากินข้าวเริ่มทยอยกันมามากขึ้น มีทั้งผู้ช่วยฝึกและครูฝึก ครูฝึกทุกคนมักจะทำตัวเชิดหยิ่ง โดยเฉพาะครูฝึกระดับดาวสีทองกับครูฝึกระดับดาวสีเงินพวกนั้น แทบจะเอาเหรียญตราไปแปะบนหน้าผู้อื่นให้รู้แล้วรู้รอด
“อ้าว คุณชายกระสอบทราย วันนี้ดูเหมือนจะหายบวมแล้วนี่” ไม่ไกลนัก อาจารย์ระดับดาวสีเงินผู้หนึ่ง พูดเยาะเย้ยฉินจื่อหลิง
ฉินจื่อหลิงมีท่าทีกระอักกระอ่วน กินอาหารไม่พูดไม่จา อาหารกลางวันของผู้ช่วยฝึกคืออาหารระดับสาม นอกจากแผ่นแป้งหนึ่งแผ่นใหญ่แล้ว ยังมีน้ำแกงเนื้ออีกชาม แม้ชื่อของมันจะคือน้ำแกงเนื้อ แต่ความเป็นจริงมีเพียงน้ำมันลอยอยู่ที่ผิวนิดหน่อยแค่นั้น ส่วนที่เหลือคือพวกต้นผักกาดขาว หลินมู่อวี่ก้มหน้าก้มตากิน อย่างไรเสียให้อิ่มท้องเป็นใช้ได้ เขาไม่ใช่คนเลือกกินอะไรขนาดนั้น
ในทางกลับกัน เป็นฝ่ายของอาจารย์ระดับดาวสีเงินผู้นั้นที่ยังคงเยาะเย้ยไม่หยุด “คุณชายกระสอบทราย ได้ยินว่าเจ้าสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ของจักรวรรดิ ทำไมเจ้าถึงไม่ปลุกวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะล่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ รีบปล่อยดอกหางสุนัขของเจ้าออกมาสิ ให้ทุกคนได้สนุกกันเสียหน่อย!”
ผู้คนโดยรอบหัวเราะเฮฮากันวงใหญ่ ฉินจื่อหลิงถูกเยาะเย้ยจนหน้าแดงก่ำ เขาใช้ตะเกียบจิ้มแผ่นแป้งที่เปื่อยละลายแล้วในชามน้ำแกง
ในที่สุดหลินมู่อวี่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับครูฝึกระดับดาวสีเงินผู้นี้ว่า “เขาเป็นคนที่ทำงานในวิหาร ไม่แตกต่างอะไรกับท่าน อย่าดูถูกกันแบบนี้เลย เพราะมันเท่ากับเป็นการดูถูกตัวท่านเอง”
ครูฝึกผู้นี้เดือดดาลขึ้นมาทันที หันไปมอง “เจ้าเด็กนี่เป็นใคร เป็นแค่ผู้ช่วยฝึกกระจอกๆ ที่นี่ใช่ที่ที่เจ้าจะสอดปากได้หรือ”
ขณะที่พูด จู่ๆ เขาก็งอตัวเล็กน้อยแล้ว และพุ่งเข้ามา บนไหล่มีวิญญาณยุทธ์หมีตัวหนึ่งโผล่ลอยอยู่ด้วย นี่คือผู้ฝึกยุทธ์สายพละกำลัง มิน่าถึงได้ป่าเถื่อนรุนแรงขนาดนี้ ด้วยกระบวนท่านี้ไม่รู้ว่ามีคนเท่าไรที่เสียเปรียบ
“ระวังตัวด้วยหลินจื้อ!” ฉินจื่อหลิงพูดอย่างหวาดกลัว
หลินมู่อวี่เยือกเย็นผิดปกติ เขาหมุนตัวถอยหลังไปหลายก้าว แล้วแบมือเรียกวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าออกมา รวมถึงปราการเกล็ดมังกรและกระดองเต่าทมิฬ เพื่อเพิ่มการป้องกันขึ้นเป็นสองเท่า ทั้งยังดึงปราณแท้ออกมาจนเพียงพอ!
“เปรี้ยง!”
เสียงดังสนั่น คลื่นปราณระเบิดปะทุออกไปทุกทิศทุกทาง
ฉินจื่อหลิงปิดตาไม่กล้ามอง แต่เมื่อลืมตาขึ้นกลับพบว่า ครูฝึกระดับดาวสีเงินผู้นั้นกระเด็นลอยออกไป แล้วร่วงสะบักสะบอมอยู่บนพื้น แต่หลินมู่อวี่กลับยืนตระหง่านไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้นเหมือนกับไม่เป็นอะไร
“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ…ครูฝึกเหลยหยิ่ง ท่านเป็นอะไรไปน่ะ” กลุ่มครูฝึกที่อยู่โดยรอบเริ่มหัวเราะเยาะครูฝึกที่ชื่อเหลยหยิ่งอีกครั้ง
เหลยหยิ่งใบหน้าแดงก่ำ แต่หลังจากที่ได้สัมผัสก็รู้แล้วว่าเจ้าเด็กนี่แข็งแกร่งมากทีเดียว เขาฮึดฮัดแล้วสะบัดศีรษะเดินจากไป
ระหว่างทางที่เดินกลับ ฉินจื่อหลิงเปรมปรีดิ์จนเกือบจะเต้นระบำออกมา
“หลินจื้อ สะใจจริงๆ เลย ไม่รู้ว่าเจ้าเหลยหยิ่งหน้าลาจะโมโหขนาดไหน ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ผู้ช่วยฝึกหลายคนบาดเจ็บเพราะถูกวิญญาณยุทธ์หมีนั่นโจมตี วันนี้ถือว่าเจ้าช่วยแก้แค้นให้ผู้ช่วยฝึกทุกคนเลยทีเดียว!”
ด้านหลินมู่อวี่ก็ยิ้มพลางพูดว่า “จื่อหลิง เจ้าก็ต้องรีบทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น มิเช่นนั้นก็จะต้องถูกซ้อมอยู่เช่นนี้”
ฉินจื่อหลิงหน้าสลด เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากแข็งแกร่งขึ้นอย่างนั้นหรือ ตั้งแต่เล็กจนโตท่านพ่อก็บังคับให้ข้าฝึกยุทธ์อยู่ตลอดเวลา แต่พรสวรรค์มีทั้งสูงและต่ำ ข้ารู้ตัวดีว่าตัวเองมีความสามารถแค่ไหน อายุก็ใกล้จะสามสิบแล้ว แม้แต่ขอบเขตปฐพียังไปไม่ถึง แล้วยังจะปลุกวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ได้เรื่องนี่ขึ้นมาอีก ข้าว่าชั่วชีวิตนี้ของข้าก็คงจะอยู่แค่นี้นี่แหละ…”
หลินมู่อวี่ไม่รู้ว่าควรจะปลอบใจเขาอย่างไรดี จึงตบบ่าของเขาแล้วพูดขึ้น “ไม่เป็นไรน่า สวรรค์ประทานมาให้ มันต้องมีประโยชน์สิ…”
ฉินจื่อหลิงฟังไม่เข้าใจว่าที่เขาพูดหมายถึงอะไร แต่กลับรู้สึกฟังดูมีเหตุผล
……
ช่วงพลบค่ำ เมื่อหลินมู่อวี่ออกมาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ไปหาฉู่เหยาที่สมาพันธ์โอสถ เป็นดังคาด ฉู่เหยาอาศัยการฝึกฝนจากตำราเทพโอสถและได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากสมาพันธ์ แค่วันแรกก็ถูกจัดให้อยู่ในระดับนักปรุงโอสถขั้นที่สองแล้ว เมื่อเทียบกันแล้วชีวิตนางดีกว่าเขามากนัก!
“อาอวี่!”
หลังได้พบกับหลินมู่อวี่ ฉู่เหยารู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างมาก นางพาเขาเดินเที่ยวภายในสมาพันธ์โอสถ ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้น่าเที่ยวเล่นนักหรอก นอกจากหลอมโอสถก็ไม่มีสิ่งอื่น ส่วนทุกอย่างที่เกี่ยวกับสมุนไพร หลินมู่อวี่ก็เห็นจนชินตาแล้ว ไม่มีอะไรที่น่าสนใจอีก
เมื่อฟ้ามืด เขาก็กลับไปยังวิหาร
เขาฝึกยุทธ์อยู่ภายในห้อง พื้นที่ในห้องเล็กเกินไปจึงหมดทางที่จะฝึกมีดเสียงปีศาจ จึงได้แต่ฝึกหลอมความแข็งแกร่งของปราณแท้อย่างเงียบๆ ความจริงแล้วการฝึกก็คือการหลอมระดับความบริสุทธ์ของปราณแท้ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยขั้นตอนนี้จะทำให้ได้รับพลังที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
……
ป่าล่ามังกรในเวลานี้
ภายใต้แสงจันทร์ แนวหินที่ดูเหมือนคมมีดตั้งสูงตระหง่านเป็นแนวอยู่ภายในป่า ใต้กำแพงหินนั้นมีลักษณะเป็นช่องหินที่เว้าเข้าไปเป็นพื้นที่เล็กๆ มีแสงไฟสว่างลอดออกมาจากที่นั่น
น้ำค้างหยดติ๋งๆ จากต้นสนที่งอกอยู่บนแนวหินลงบนไหล่ขาวเนียนของหญิงสาว นางเปิดเสื้อออกอย่างเบามือ แล้วเทโอสถที่เพิ่งจะหลอมเสร็จลงบนบาดแผลที่อยู่ด้านหลัง แต่ความปวดแสบปวดร้อนจากบาดแผล ทำให้นางได้แต่กัดฟันแน่นเพื่อข่มความเจ็บปวด จนแทบจะข่มไม่ไหว น้ำตาไหลเป็นสายมาตามขนตายาวแล้วเคลื่อนไปทางหางตา
เสียงท้องร้องดังจ๊อกๆ นางมองไปยังป่าที่มืดสนิท สูดจมูกเรียวงาม แล้วบ่นพึมพำน่าสงสาร “โอสถสมานแผลนี่หลอมผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่านะ ทำไมถึงแสบขนาดนี้…ถ้าเป็นโอสถของมู่มู่ คงจะไม่แสบสินะ”
ขณะพูด นางเงยหน้ามองดาวบนฟ้า แล้วพึมพำว่า “มู่มู่เจ้ายังไม่ตายใช่ไหม”