The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 70 ประเคนมีดอย่างงดงาม
EP.70 ประเคนมีดอย่างงดงาม
ป่าล่ามังกร เป็นป่าเงียบสงบที่โอบล้อมคุ้มกันเมืองหลันเยี่ยนเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิเอาไว้ ภายในป่าล่ามังกรนั้นมีสัตว์วิญญาณประเภทต่างๆ อยู่มากมาย ว่ากันว่ามีคนเคยพบสัตว์วิญญาณที่มีอายุถึงหนึ่งแสนปีในป่าล่ามังกร มีเพียงยอดฝีมือขอบเขตเทวะเท่านั้นจึงจะสามารถเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งในระดับนี้ได้
ทว่านี่ก็เป็นเพียงแค่ตำนานที่เล่าขานกันมาเท่านั้น ป่าล่ามังกรยังคงถูกพิทักษ์โดยกองทัพแห่งจักรวรรดิ ห้ามชาวบ้านเข้าไป หนึ่งเพื่อรักษาความปลอดภัยของตัวชาวบ้านเอง สองเพราะสัตว์วิญญาณและทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ในป่าล่ามังกรทั้งหมดมีให้ราชวงศ์และชนชั้นสูงไว้ใช้สอยเท่านั้น
หุบเขามังกรแปลง เป็นหุบเขาที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของป่าล่ามังกร เป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์วิญญาณที่มีอายุหลายร้อยปีจนไปถึงหลายพันปี ที่นี่ก็ถูกสงวนไว้สำหรับราชวงศ์เช่นกัน กลายเป็น ”พื้นที่ล่าสัตว์ของจักรพรรดิ” ในตำนาน
หุบเขามังกรแปลงในวันนี้คึกคักเป็นพิเศษ มีธงโบกสะบัดมืดฟ้ามัวดิน ทหารสวมชุดเกราะจำนวนนับไม่ถ้วนรวมพลกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เสียงฝีเท้าม้าดังสนั่นสะเทือนไปทั่วทั้งหุบเขา กองทหารล้อมรอบผู้คนที่สวมเสื้อผ้าหรูหรา ตรงกลาง รถม้าสีทองหรูหราคันหนึ่งจอดหยุดที่กลางป่า แม้กระทั่งล้อของรถม้ายังใช้อัญมณีตกแต่งเป็นรูปมังกรกับดอกจื่ออิน
มังกร สัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุด ส่วนดอกจื่ออินที่เป็นตราสัญลักษณ์ของตระกูลฉิน ก็เป็นตราสัญลักษณ์ของทั้งจักรวรรดิ
“ ซ่าาา…”
ม่านทองคำของรถม้าค่อยๆ เลิกขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าของชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบปีผู้หนึ่ง ท่าทางค่อนข้างอิดโรย แต่กวานเหมี่ยน (พระมาลาของฮ่องเต้) สีทองที่สวมอยู่กับสายตาที่แหลมคมนั้น คนผู้นี้ก็คือจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิฉิน—กวางหมิงหวัง ฉินจิ้น !
“ เสี่ยวอินไปไหนแล้ว” ฉินจิ้นตรัสถามเบาๆ
ที่ข้างรถม้า ทหารขี่ม้าศึกสีดำผู้หนึ่งคารวะพร้อมทูลว่า “ทูลฝ่าบาท องค์หญิงอินนำองครักษ์กลุ่มหนึ่งออกไปล่ามังกรกลดอายุสามพันปีพ่ะย่ะค่ะ!”
“ หืม มังกรกลด ?” องค์จักรพรรดิขมวดคิ้ว “องครักษ์ที่ติดตามไปด้วยมีพอหรือไม่ ป่าล่ามังกรอันตรายเพียงนั้น ให้เสี่ยวอินระวังตัวดีๆ อย่าได้ออกนอกเขตล่าสัตว์”
“ พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท! ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์เฟิงจี้สิงนำทหารติดตามไปด้วยตัวเองแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
“ อืม เช่นนั้นก็ดี”
“ ซ่าาา…”
ในป่า มังกรกลดหายใจหอบพร้อมวิ่งอย่างบ้าคลั่ง บนหลังของมันเต็มไปด้วยลูกธนู เลือดไหลออกมาไม่ขาดสาย มังกรกลดเป็นมังกรชั้นเลวประเภทหนึ่ง แถมเป็นมังกรดินด้วย จัดอยู่ในพวกมังกรเก๊ ไม่นับเป็นมังกรที่แท้จริงด้วยซ้ำ แต่มังกรกลดตัวนี้ฝึกปราณมาถึงสามพันปี ส่วนหัวของมันมีลักษณะเหมือนร่ม มีเส้นสีทองสามเส้นอยู่บนนั้น
“ ฉึก!”
ธนูปักเข้าตรงสะโพกอีกหนึ่งดอก ทำให้มังกรกลดทวีความบ้าคลั่ง สายตามันฉายแววเกรี้ยวกราด หันหลังกลับมาพ่นไฟใส่ผู้ที่มาโจมตี
กิ่งก้านของต้นไม้แยกออก ม้าสีขาวตัวหนึ่งก็ปรากฏให้เห็น สาวน้อยบนหลังม้าท่าทางอ่อนช้อยงดงาม นางสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มที่ปักดิ้นสีทองเป็นลายมังกร เสื้อคลุมห่อร่างที่บอบบางและงดงามนั้นไว้ ส่วนหมวกคลุมทิ้งตัวอยู่ด้านหลังศีรษะอย่างอิสระ เผยให้เห็นผมยาวดำขลับ ใบหน้าที่งดงามนั้นราวกับหยกแกะสลัก มุมปากมีรอยยิ้มอ่อนโยนแห่งชัยชนะ สาวน้อยผู้นี้ราวกับหยกชิ้นงามที่ตกอยู่ในป่าที่เต็มไปด้วยอันตรายแห่งนี้
“ องค์หญิงอินทรงระวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ พระองค์วิ่งเร็วเกินไปแล้ว!” องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังตะโกนขึ้น
หากแต่องค์หญิงฉินอินไหนเลยจะสนใจ กลับตะบึงม้าพุ่งเข้าใส่มังกรกลดตัวนี้ แล้วยิ้ม “เจ้ามังกรกลดน้อยเอ๋ย ยอมให้จับเสียแต่โดยดี ข้าจะปรานีให้เจ้าตายอย่างเป็นสุข!”
มังกรกลดคำรามเสียงต่ำ กระโดดขึ้นเต็มแรง โจมตีด้วยกรงเล็บเพลิงใส่องค์หญิงแห่งจักรวรรดิผู้นี้
ฉินอินชะงักเล็กน้อย แต่ยังคงโบกมือเบาๆ อย่างสงบ “ยังไม่ยอมแพ้งั้นหรือ โซ่เทวะ!”
“ เปรี้ยง!”
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมแสงสีทองเจิดจ้า โซ่สีทองยาวหลายเมตรเส้นหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมาจากพื้นดิน ตรงเข้ากระแทกส่วนท้องของมังกรกลด เกิดบาดแผลฉีกเป็นรูโหว่ และโดยรอบของโซ่ทองก็มีอักขระสีทองปรากฏขึ้น มันคือตัวอักษรโบราณ พลังการโจมตีของวิญญาณยุทธ์นี้ช่างน่าสะพรึงเหลือเกิน เกินกว่าความรู้ความสามารถของผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปแล้ว
โซ่เทวะ วิญญาณยุทธ์อันดับหนึ่ง เป็นวิญญาณยุทธ์ที่สืบทอดทางสายเลือดของตระกูลฉินแห่งจักรวรรดิ หากปลุกโซ่เทวะได้ ก็หมายความว่าจะสามารถกลายเป็นยอดฝีมือแห่งยุค และฉินอินก็คือผู้สืบทอดของตระกูลฉินยุคนี้ที่ปลุกวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะอันหาได้ยากนี้ได้
“ โฮกกกก…”
ด้วยการโจมตีของโซ่เทวะ มังกรกลดส่งเสียงร้องโหยหวน ไหนเลยยังจะกล้าบุกโจมตี มันสะบัดตูดแล้วพุ่งกลับเข้าป่า ตรงนั้นเป็นป่าหนาม พริบตาเดียวก็ข่วนบาดเกล็ดที่บาดเจ็บของมันจนเลือดไหลออกมา
ฉินอินเห็นมังกรกลดหนีไปอีกครั้ง นางเม้มปากอย่างขัดใจ แล้วรีบหันหัวม้ากลับหวังจะวิ่งอ้อมตาม แล้วยังเอ่ยอีกว่า “อย่าหนีนะ แน่จริงก็อยู่สู้กับข้าสักสามร้อยเพลงสิ!”
ในตอนนี้เอง มีคนผู้หนึ่งควบม้ามาแต่ไกล สวมเกราะรบสีทอง มือจับดาบเล่มโตที่เป็นประกายราวหิมะเล่มหนึ่ง เขาหัวเราะครืนใหญ่ “องค์หญิงอิน กระหม่อมหาพระองค์เจอจนได้!”
ผู้มาเยือนนั้นคิ้วโค้งเรียวราวกระบี่ ดวงตาเป็นประกาย รูปงามหล่อเหลา เปี่ยมไปด้วยความองอาจห้าวหาญอย่างที่สุด
“ อ้อ ผู้บัญชาการเฟิงนี่เอง!” ฉินอินหัวเราะน้อยๆ “เจ้ามังกรกลดตัวนั้นหนีไปอีกแล้ว วันนี้ข้าต้องเอาตัวมันกลับมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่มีกะจิตกะใจเสวยพระกระยาหารค่ำ…”
เฟิงจี้สิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาประสานหมัดแล้วเอ่ยว่า “องค์หญิง หากพระองค์มิเสวย องค์จักรพรรดิคงจะเสียพระทัยมาก นอกจากนั้น เราก็ใกล้จะออกนอกอาณาเขตล่าสัตว์แล้ว อันตรายเป็นอย่างยิ่ง องค์หญิงไม่ต้องทรงกังวล กระหม่อมจะช่วยพระองค์จับมังกรกลดตัวนั้นกลับมาให้จงได้”
ฉินอินกวาดดวงตาคู่งามไปยังใบหน้าของเขา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เชื่อเจ้า เช่นนี้ก็แล้วกัน พวกเราแบ่งทหารออกเป็นสองทาง เจ้าไปทางเหนือ ข้าไปทางใต้ ดูว่าใครจะจับตัวมังกรกลดได้ก่อนกัน!”
เฟิงจี้สิงไม่กล้าสบตากับองค์หญิงที่งดงามแห่งจักรวรรดิผู้นี้อีก เขารีบตวัดดาบยาวขึ้น ทำความเคารพตามแบบฉบับทหารจักรวรรดิอย่างสง่างาม “พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง! กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา!”
ขวากหนามหนาทึบขวางเส้นทางที่จะไป ท้องฟ้าอ่อนแสงลง ใกล้จะค่ำเต็มที หลินมู่อวี่ค่อนข้างรีบร้อน ถือกระบี่เหลียวหยวนฟันหนามเปิดทาง พลันหันมาพูดว่า “พี่ฉู่เหยา เราต้องไปให้พ้นจากตรงนี้ก่อนฟ้ามืด แล้วหาที่พัก ถ้าอิงตามสัญลักษณ์ในแผนที่ บางทีคืนนี้พวกเราอาจจะเดินทางถึงเมืองหลันเยี่ยนก็ได้!”
ฉู่เหยานั่งโงนเงนอยู่บนหลังม้าฝีเท้าดี ลมปราณเคลื่อนไปทั่วร่าง นางค่อยๆ เปิดตาคู่งามขึ้นมา ยิ้มพูด “อาอวี่ไม่ต้องใจร้อน หากไม่จำเป็นจริงๆ พวกเราก็ไม่ต้องเข้าเมืองหลวงหรอก บางทีที่ประตูเมืองอาจมีประกาศจับพวกเราติดอยู่ก็เป็นได้!”
หลินมู่อวี่คลำหนวดที่คาง พลางหัวเราะ “ไม่หรอก หลายวันมานี้ข้าไม่ได้โกนหนวด เกรงว่าหน้าตาข้าคงจะต่างกับภาพวาดในประกาศจับนั่นเป็นคนละคนไปแล้ว ส่วนท่านก็ตัดผมสั้น ข้าว่าถึงพวกเราจะเข้าเมืองไป ก็คงจะมีใครจำเราได้ แต่ถึงจะจำได้ พวกเราไม่ยอมรับก็สิ้นเรื่อง”
ฉู่เหยาอดยิ้มไม่ได้ “อาอวี่ เจ้านี่กล้าขึ้นใหญ่แล้วนะ!”
หลินมู่อวี่ฮึดฮัดใช้กระบี่ฟันตัดหนาม “นี่เป็นวันที่สิบเอ็ดที่พวกเราหลบหนี ตอนนี้สิ่งที่ข้าอยากทำมากที่สุดคืออาบน้ำร้อน แล้วก็นอนบนเตียงอุ่นๆ สักงีบ พี่ฉู่เหยาไม่อยากจะใช้ชีวิตแบบปกติหรืออย่างไร”
“ ข้าก็อยากเหมือนกัน แต่สภาพพวกเราตอนนี้ เกรงว่านั่นคงเป็นคำขอที่มากเกินไป” ฉู่เหยากล่าวอย่างเงียบๆ
แล้วจู่ๆ นางก็เงยหน้าขึ้น ยิ้มพูด “อาอวี่ พลังของเจ้าก้าวหน้าเร็วกว่าคนปกติทั่วไปเกือบสิบเท่ามาตลอด แต่หลังจากเจ้าเข้าสู่ขอบเขตปฐพีชั้นที่สองแล้ว พลังก็นิ่งอยู่กับที่ เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกใกล้จะทะลวงระดับขั้นแล้วหรือยัง”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “อือ ตั้งแต่เมื่อวาน ทุกครั้งที่ข้าฝึกยุทธ์ไม่รู้สึกว่าปราณเพิ่มขึ้นเลย น่าจะใกล้ถึงคอขวดแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอสัตว์วิญญาณที่เหมาะสม คงต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้ว ถ้ามีสัตว์วิญญาณอายุสามพันถึงสี่พันปีที่เหมาะสมโผล่มาประเคนให้ถึงที่ก็คงจะดี เพียงแต่…อาการบาดเจ็บของข้ายังไม่หายสนิท หากต้องเจอกับสัตว์วิญญาณที่อายุมากกว่าสามพันปีเข้าจริงๆ ละก็ ข้าคงสู้มันไม่ไหว ถึงเวลานั้นเกรงว่าคงต้องตายเปล่า!”
ฉู่เหยาหัวเราะ “เช่นนั้นก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ผู้คนจำนวนมากฝึกยุทธ์ลำบากมาทั้งชีวิตก็ใช่ว่าจะไปถึงระดับห้าสิบได้ แต่เจ้ายังหนุ่มยังแน่น ฝึกยุทธ์ยังไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ กลับไปถึงระดับที่สี่สิบเก้า สำหรับคนธรรมดาทั่วไป เจ้าก็เป็นอัจฉริยะที่หมื่นปีจะพบพานสักคนแล้วล่ะ”
หลินมู่อวี่แสยะยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ที่จริงแล้วเขาไม่ได้บอกฉู่เหยาว่าตัวเขานั้นโกง แถมในร่างยังมีพลังเจ็ดประทีปของราชันย์ปีศาจเจ็ดประทีปอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นระดับพลังคงไม่มีทางที่จะรุดหน้าได้เร็วถึงเพียงนี้
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อผ่านป่าหนามออกมาได้แล้ว ขณะที่หลินมู่อวี่กำลังจะขึ้นหลังม้า ก็ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์วิญญาณดังมาแต่ไกล นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสัตว์วิญญาณที่มีส่วนหัวกางออกเหมือนร่มตัวหนึ่ง
“ นั่นมัน…” เขาถามด้วยความตกตะลึง
ฉู่เหยาตาเป็นประกาย “ข้าเคยเห็นอ่านเจอสัตว์วิญญาณชนิดนี้ในหอสมุดเมืองหยินซาน มันคือมังกรกลด สวรรค์…ที่หัวของมันมีเส้นสีทองสามเส้น สีเงินสองเส้น นี่มันมังกรกลดอายุสามพันสองร้อยปี ดูเหมือนมันจะบาดเจ็บ อาอวี่ โอกาสของเจ้ามาถึงแล้ว เตรียมบุกโจมตี!”
“ อือ!”
หลินมู่อวี่ไม่สนใจว่ามังกรกลดตัวนี้จะบาดเจ็บหรือไม่ เขายกมือขึ้นเรียกวิญญาณยุทธ์ออกมา เถาวัลย์น้ำเต้าเลื้อยไปตามพื้นเข้าพันธนาการมังกรกลดตัวนี้ไว้อย่างรวดเร็ว ถัดมามีดเสียงปีศาจก็บินพุ่งออกไปโจมตีติดต่อกันสามครั้ง “ฟวั่บ ฟวั่บ ฟวั่บ” สร้างบาดแผลลึกสามแห่งที่ลำคอของมังกรกลด
เจ้ามังกรกลดตัวนี้บาดเจ็บเจียนตายแล้ว ยังจะมีอะไรคาใจอยู่อีก มันเกือบจะตายด้วยน้ำมือขององค์หญิงแห่งจักรวรรดิแล้ว แต่สุดท้ายกลับถูกเด็กเมื่อวานซืนที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ มาประเคนมีดใส่ซ้ำ
ในตอนนี้เองมังกรกลดรู้สึกสำนึกเสียใจ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็คงไม่วิ่งหนีมาหรอก ตายด้วยน้ำมือสาวงามผู้นั้นยังดีเสียกว่า!
“ ชิ้ง!”
กระบี่เหลียวหยวนหลุดออกจากฝัก หลินมู่อวี่ใช้ฝีเท้าดาวตกพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว เขาใช้กระบวนท่าผีเสื้อที่ประณีตงดงามหลบหลีกการโจมตีจากเปลวเพลิงของมังกรกลดที่พ่นใส่ แสงอสนีบนกระบี่ปะทะเข้ากับเปลวเพลิง ฟันเข้าใส่มังกรอย่างโหดเหี้ยมจากด้านข้าง!
“ ฉัวะ!”
ครั้งนี้ศีรษะของมังกรกลดเอียงกะเท่เร่ ใกล้จะขาดอยู่รอมร่อ
หลินมู่อวี่ถอนกระบี่กลับ แล้วจ้วงแทงใส่อีกครั้งอย่างรุนแรง ปลายกระบี่แทงเข้าที่หัวใจของมัน พลังเปลวเพลิงรั่วไหลออกมาไม่หยุด ไหม้พื้นหญ้าด้านข้าง มังกรกลดร้องเสียงโหยหวน แล้วล้มลงใต้กระบี่ของเด็กหนุ่มนิรนามผู้นี้ด้วยความไม่เต็มใจและเสียใจ