The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 442 ส่งเสบียง
EP.442 ส่งเสบียง
“ยืมเสบียงอาหาร?”
ภายในโถงตำหนักเจ๋อเทียน เหล่าทหารคนสำคัญถอยเปิดทาง ขณะที่หลินมู่อวี่และถังเสี่ยวซีอยู่กลางทางเดินพร้อมเงยหน้าขึ้นมองฉินอินบนบังลังก์
ถังหลานดูจะคับข้องใจกับการยืมเสบียงมากที่สุด กระนั้นเขาเป็นผู้ที่รับผิดชอบสำนักทหารและพลเรือนโดยตรง
“มีอะไรหรือท่านหลานกง?” ฉินอินกล่าวด้วยความประหลาดใจ “จักรวรรดิไม่สามารถส่งเสบียงอาหารสามล้านกิโลกรัมได้หรือ?”
“ฝ่าบาท…”
ถังหลานกล่าวอย่าอึกอัก “หลังจากฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์ และทรงลดภาษีลงครึ่งหนึ่ง เงินกับเสบียงของสำนักทหารและพลเรือนจึงมีอย่างจำกัด เสบียงอาหารสามล้านชั่งดูจะไม่มากนัก แต่…พระองค์ทรงไม่ทราบว่าปันส่วนของทหารต้องใช้ราวสองกิโลกรัมต่อวัน ปันส่วนของทหารหนึ่งหมื่นนายใช้เสบียงเกือบสองแสนกิโลกรัมต่อวัน แล้วจักรวรรดิมีกองทหารกว่าสองแสนกอง แต่ปันส่วนกลับมีให้เพียงสี่แสนกิโลกรัมเท่านั้น ซึ่งมันค่อนข้างจำกัด หากเรานำไปให้เผ่าพันธุ์อสูรอีก กระหม่อมเกรงว่า…”
ถังเสี่ยวซีกัดริมฝีปากก่อนกล่าวว่า “แต่เสบียงอาหารสามล้านกิโลกรัมนี้มีคุณค่าต่อเผ่าพันธุ์อสูรยิ่ง ซึ่งมันอาจช่วยลดการเสียชีวิตของประชากรนับแสนของเผ่าพันธุ์ได้…”
หลินมู่อวี่ช่วยขอร้อง “ท่านหลานกง ท่านเป็นผู้ดูแลสำนักทหารและพลเรือน ดังนั้นหากแบ่งออกเล็กน้อย เรายังสามารถเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์สามล้านกิโลกรัมได้หรือไม่? หากไม่ได้ เราจะขอซื้อด้วยเงิน”
ถังหลานประสานหมัดกล่าว “ท่านหลินไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ การเก็บเกี่ยวของเมืองหลันเยี่ยนอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก อีกทั้ง…เกวียนของเราไม่สามารถขนเสบียงจากเมืองหลันเยี่ยนไปยังป่านิรันดร์ได้ พวกเขาจำเป็นต้องใช้พลเรือนในการขนเท่านั้น ซึ่งอาจใช้เวลาเดินเท้าอย่างน้อยสิบห้าวัน แต่ละวันต้องใช้เสบียงหนึ่งกิโลกรัม สิบห้าวันจึงเป็นสิบห้ากิโลกรัม พวกเขาสามารถอดทนใช้เสบียงหกสิบกิโลกรัมสำหรับการเดินทางยาวนาน ดังนั้นการขนส่งเสบียงครานี้จึงไม่ได้ใช้เพียงสามล้านกิโลกรัม แต่เป็นหกล้านกิโลกรัม!”
ใบหน้างามของถังเสี่ยวซีเศร้าสร้อย “แต่ท่านปู่…”
ถังหลานมองไปยังถังเสี่ยวซีผู้เป็นหลานคนโปรด ดวงตาของเขาอ่อนโยนลงพร้อมกล่าวว่า “แต่เสี่ยวซีไม่ต้องกังวล ปู่จะหาทางให้เจ้าเอง หกล้านกิโลกรัมเหล่านั้น สำนักทหารและพลเรือนจะจัดหาให้เจ้าสองล้านกิโลกรัม ส่วนสี่ล้านกิโลกรัมที่เหลือปู่จะเป็นผู้จัดหา เกวียนชุดแรกจะออกเดินทางในรุ่งขึ้น”
จากนั้นถังหลานหันมองฉินอินด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท ไม่มีปัญหาที่จะทำเช่นนั้นใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฉินอินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เราจำเป็นต้องพึ่งพาเผ่าพันธุ์อสูร ดังนั้นจึงต้องช่วยเหลือเมื่อยามที่พวกเขาทุกข์ยาก ซึ่งท่านทำถูกแล้ว ขอบคุณท่านหลานกงที่พยายามอย่างหนักเพื่อจักรวรรดิของเรา”
ถังหลานกล่าว “ขอบพระทัยที่เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ จริงสิ…”
“ท่านหลานกงมีสิ่งใดอีกหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ถังหลานประสานหมัดกล่าว “ดูเหมือนว่ากองทัพมังกรผงาดจะต้องการสร้างค่ายเพิ่มจำนวนมากที่ชายป่าตอนเหนือของเมืองหลันเยี่ยน เมื่อทหารเข้าไปตรวจสอบก็พบผู้คนที่ไม่ใช่คนของจักรวรรดิกำลังถืออาวุธ สวมชุดเกราะ และฝึกยุทธ์อยู่รอบบริเวณกว่าสามหมื่นคน อีกทั้งดูเหมือนว่ากลุ่มทหารรับจ้างหลิงเป่ยจะอยู่ที่นั่นด้วย พระองค์ทรงทราบเรื่องนี้หรือไม่?”
ฉินอินประหลาดใจครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “ข้ารู้…พวกเขาคือกำลังเสริมที่กองทัพมังกรผงาดรวบรวมไว้”
“แต่ฝ่าบาท…” ถังหลานเงยหน้าขึ้นพร้อมกล่าว “กฎของจักรวรรดิจะควบคุมจำนวนกำลังพลแต่ละกองอย่างเข้มงวด เมื่อมีผู้เกณฑ์ทหารเป็นการส่วนตัว จะถือเป็นความผิดฐานก่อจลาจล และต้องได้รับการตรวจสอบ”
“เรื่องนั้น…” ฉินอินค่อยๆ ลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลินมู่อวี่ผู้บัญชาการกองทัพมังกรผงาดสร้างคุณความดีให้แก่จักรวรรดิอย่างต่อเนื่อง พวกเขาสามารถเอาชนะเผ่าปีศาจเหนือเทือกเขาฉินพร้อมกอบกู้แผ่นดินจากจักรวรรดิอี้เหอ ดังนั้นเพื่อเสริมกำลังให้แก่เรา จึงต้องออกพระราชกฤษฎีกาสอดคล้องกับความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าและประชาชนด้วยการขยายกองทัพมังกรผงาดให้ถึงห้าหมื่นคน ข้าคิดว่าท่านหลานกงและท่านตาจะไม่คัดค้านใช่ไหม?”
ถังหลานตกตะลึง
ซูมู่หยุนก้มหน้าลงและไม่เอ่ยสิ่งใด
ในทางตรงกันข้าม นายพลหลายคนของตระกูลซูแสดงสีหน้าไม่สบายใจ หนึ่งในนั้นคือซูหลงแม่ทัพกองทัพเขี้ยวกระบี่ เขาประสานหมัดพร้อมกล่าวว่า “ฝ่าบาท ขณะนี้จักรวรรดิกำลังประสบกับหายนะการขาดแคลนอาหาร แล้วยังต้องแบ่งอาหารเพื่อขยายกองทัพอีก มันดูไร้เหตุผลเกินไป โปรดนึกถึงประชาชนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ?” ฉินอินมองซูหลงพร้อมกล่าว “ท่านหลานกง ท่านตา เสี่ยวอินได้ตัดสินใจไปแล้ว และวางแผนจะลดเบี้ยเลี้ยงหนึ่งส่วนสี่ของขุนนางทั้งหมดในจักรวรรดิ ข้าจะนำเงินส่วนนี้เพื่อใช้ในการอื่นเช่นการทำเกษตรกรรม พวกท่านมีความคิดเห็นอย่างไร?”
ซูมู่หยุนโค้งคำนับพร้อมกล่าว “กระหม่อมยินดีสนับสนุนพ่ะย่ะค่ะ แต่เกรงว่าเหล่าขุนนางที่เคยใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจะไม่พอใจ”
“ไม่เป็นไร พวกเขาจะปรับตัว”
ฉินอินยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าจะเขียนพระราชกฤษฎีกา เมื่อจักรวรรดิอยู่ในภาวะวิกฤติ ขุนนางทั้งหมดจะถูกลดเบี้ยเลี้ยงหนึ่งส่วนสี่ อีกทั้งเพื่อขยายกองทัพมังกรผงาด อาวุธ อาหาร หญ้า และม้าศึกจะได้รับจากกระทรวงกลาโหม”
ทุกคนประสานหมัดกล่าวอย่างพร้อมเพรียง “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
ซือหลิงผู้เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมมองหลินมู่อวี่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยินดีกับท่านผู้บัญชาการหลินที่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการกรมขอรับ”
ตามระบอบราชาธิปไตย กองทัพที่มีน้อยกว่าสองหมื่นนายจะถือเป็นเพียงกองพัน ส่วนกองทัพที่มีมากกว่าสองหมื่นนายสามารถเรียกได้ว่ากรม ซึ่งไม่มีการจำกัดจำนวนกำลังพล อีกทั้งศักดิ์ศรีและอำนาจสูงกว่ากองพันอย่างเห็นได้ชัด จึงทำให้หลินมู่อวี่ได้รับผลประโยชน์ในการควบคุมและขยายกองทัพ ตอนนี้เขากลายเป็นทหารคนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในกองทัพแห่งจักรวรรดิ
“ขอบคุณท่านซือหลิง” หลินมู่อวี่ยิ้ม “ในอนาคตกองทัพมังกรผงาดคงต้องพึ่งพาท่านอีกมาก ไม่เช่นนั้นเราคงไม่สามารถจัดหาเสบียงและอุปกรณ์ต่างๆ ได้มากมาย”
ซือหลิงหัวเราะ “ท่านหลินไม่ต้องกังวล เพื่อความประสงค์ขององค์จักรพรรดินี ข้าจะทำทุกวิถีทางอย่างเต็มที่ และไม่ปล่อยให้กองทัพต้องขาดแคลนเสบียงทางทหารขอรับ”
“ขอบคุณมาก”
…
ในยามบ่าย เกวียนกว่าร้อยเล่มเคลื่อนตัวออกจากเมืองหลันเยี่ยนไปยังเมืองหน้าด่านอสูร ถังหลานให้ความสำคัญกับถังเสี่ยวซีมาก ทำให้ทุกอย่างดำเนินการอย่างราบรื่น ตามคำแนะนำของถังเสี่ยวซี…เสบียงชุดนี้จะถูกส่งให้ถังเจิ้นที่เมืองหน้าด่าน ก่อนจะลำเลียงไปให้เผ่าพันธุ์อสูรในป่านิรันดร์ ด้วยวิธีการนี้จะช่วยประหยัดปันส่วนและกำลังคน ซึ่งมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ถังหลานกล่าว
กระนั้นถังเสี่ยวซียังไม่สามารถให้อภัยถังหลาน และสัญญาเพียงว่าจะกลับจวนไปร่วมรับประทานอาหารค่ำ จากนั้นในช่วงบ่าย นางยังคงติดตามหลินมู่อวี่ออกไปพร้อมทหารรักษาการณ์หลายสิบนาย
ภารกิจช่วงบ่ายของหลินมู่อวี่คือการตรวจสอบค่ายที่เพิ่งสร้างใหม่ของกองทัพมังกรผงาด แท้จริงแล้วเขาค่อนข้างกังวล แม้ว่าซือตู่เซินจะเคยเป็นนายพลอาวุโสของจักรวรรดิมาก่อน แต่เขาก็เป็นคนพาลมาตลอดสี่ปี พฤติกรรมของเขาอาจค่อยๆ เปลี่ยนไป ซึ่งไม่เหมือนกับเว่ยโฉวหรือคนอื่นๆ ที่ปฏิบัติตามหน้าที่อย่างเคร่งครัด
ไม่น่าแปลกใจที่ค่ายกองทัพมังกรผงาดจะเกิดความวุ่นวายเมื่อสร้างขึ้นใหม่ทางทิศเหนือนอกเมืองหลันเยี่ยน
หลินมู่อวี่ค่อยๆ นำทหารม้าหนักเข้าไปในค่าย สองข้างทางเต็มไปด้วยกระโจมที่ตั้งอย่างไม่เป็นระเบียบซึ่งเป็นของกลุ่มเทียนเจว๋จากชุมชน เหล่าฝูงชนแย่งชิงชุดเกราะและตราสัญลักษณ์ทหารของกองทัพมังกรผงาดจนหน้าดำหน้าแดง อีกด้านหนึ่งมีนักกวีนั่งอยู่ในโคลนกำลังบรรเลงเพลงซอขณะที่ถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มทหารเกณฑ์ เสียงปรบมือจะดังก้องบริเวณ ขณะเดียวกันทหารเกณฑ์ราวห้าคนกำลังต่อสู้กัน อีกทั้งยังมีทหารบางส่วนเริ่มเล่นการพนัน!
ถังเสี่ยวซีมองด้วยดวงตาสดใสและอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ผู้บัญชาการมู่ ทหารเกณฑ์ในกองทัพมังกรผงาดแต่ละนาย…ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าจะฝึกพวกเขาอย่างไร…”
หลินมู่อวี่รู้สึกอับอาย “ข้ากำลังจะ…โกรธมาก! เจ้าซือตู่เซิน! ไปหาเขาให้เจอ!”
“ขอรับผู้บัญชาการ!”
จากนั้นซือตู่เซินควบม้าออกจากฝูงชน เขาสวมดาวสีทองสองดวงบนปกเสื้อพร้อมสวมเสื้อคลุมสีแดงเพลิงของกองทัพมังกรผงาด ก่อนจะรีบลงจากม้าและประสานหมัดเคารพ “คารวะผู้บัญชาการหลิน!”
“ซือตู่เซิน!”
หลินมู่อวี่ชี้มือออกไปยังกลุ่มคนในค่ายพร้อมกล่าวว่า “คนเหล่านี้…คือทหารเกณฑ์ที่พามาให้ข้ารึ? เจ้าเคยเป็นนายพลของกองทัพแห่งจักรวรรดิ แล้วพาคนเช่นนี้มาได้อย่างไร?”
ซือตู่เซินกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ท่านผู้บัญชาการเพียงไม่ทราบเรื่องนี้ เดิมทีพวกเขาเป็นพวกอันธพาล จึงไม่ง่ายเลยที่จะฝึกฝนให้เป็นทหารแห่งจักรวรรดิภายในหนึ่งหรือสองวัน อีกทั้งพวกเขาอาศัยอยู่ในค่ายทหารด้านนอก ไม่ได้อยู่ในค่ายพักในเมืองหลวง ข้าจึงอนุญาตให้เหล่าทหารไปยังหอชุนฮวาสองครั้งต่อสัปดาห์ และหากได้รับอนุญาต พวกเขาสามารถนำผู้หญิงกลับมาได้ แต่ไม่ให้เข้าไปในค่ายทหาร อีกทั้งอนุญาตให้ต่อสู้กันหนึ่งครั้งภายในสามวัน ทว่าห้ามต่อสู้กันจนถึงแก่ความตาย นอกจากนี้จะได้รับอนุญาตให้ฝึกวิทยายุทธ์ไม่เกินสามครั้งต่อวัน”
หลินมู่อวี่เลือดขึ้นหน้าจนแทบจะเป็นลม “ซือตู่เซิน เจ้า…เจ้าปฏิบัติต่อกองทัพมังกรผงาดของข้าดั่งฝูงสัตว์ มันจบสิ้นแล้ว…”
เว่ยโฉวกล่าวเสริม “ซือตู่เซิน คนเช่นเจ้าเคยเป็นผู้นำกองทัพได้อย่างไร?”
ซือตู่เซินหันไปมองทันที “เว่ยโฉว อย่าคิดว่าเจ้าเป็นรองผู้บัญชาการแล้วจะทำสิ่งใดก็ได้ ข้าสามารถจัดการเจ้าได้ด้วยพลังเพียงครึ่งเดียวและภายในสามกระบวนท่า! สาบานได้เลยว่าคนอย่างเจ้าไม่มีความสามารถมากพอ!”
เว่ยโฉวพลันโกรธเกรี้ยว
หลินมู่อวี่หรี่ตาลงพร้อมเอ่ยถาม “ท่านซือตู่เซินวางแผนจะนำทัพเช่นนี้จริงหรือ? แล้วกองทัพมังกรผงาดจะสามารถต่อกรกับเผ่าปีศาจได้หรือไม่? ข้าชักเป็นกังวล…”
ซือตู่เซินกล่าวอย่างเคารพ “ท่านผู้บัญชาการโปรดเชื่อใจซือตู่เซิน ข้าจะมอบหมายงานให้ทหารเกณฑ์ฝึกฝนทุกวัน…เช่นนั้นโปรดวางใจ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจ ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถหยิบอาวุธขึ้นมาสู้กับปีศาจได้จนตัวตาย!”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้ารับ “บางที…คงมีเพียงเลือดเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่าสงครามเป็นอย่างไร…”
ซือตู่เซินกล่าว “ผู้บัญชาการ กองกำลังที่สามของทหารรับจ้างหลิงเป่ยตั้งถิ่นฐานไกลออกไปบริเวณทางเหนือของค่าย พวกเขาจะต้องทำให้ท่านพึงพอใจอย่างแน่นอน”
“อืม ไปกันเถิด”