The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 437 พาข้าไปด้วยสิ
EP.437 พาข้าไปด้วยสิ
ในค่ำคืนที่เงียบสงัดผ้าม่านในห้องโถงพลิ้วไหวไปตามสายลมโชย นี่เป็นสัญญาณว่าฤดูหนาวมาเยือนแล้ว
สาวใช้วางเตาผิงไว้ข้างฉินอินพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท…ท่านจ้องมันมานานแล้วนะเพคะ”
ฉินอินยิ้มขณะถือเสื้อคลุมสีขาวไว้ เป็นเสื้อคลุมขององครักษ์มังกรที่ฉินอินเป็นคนปักสัญลักษณ์ดอกจื่อยินเองกับมือ ยิ่งไปกว่านั้นยังปักตัวอักษร “อวี่” ด้วยด้ายสีทองใหม่เอี่ยม
สาวใช้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เสื้อคลุมของหัวหน้าอวี่นี่เพคะ”
“อืม…” ฉินอินพยักหน้าพร้อมยกยิ้มอย่างมีความสุขราวกับหญิงสาวที่กำลังมีความรัก ขณะสัมผัสเสื้อคลุมสีขาวด้วยรอยยิ้มนางยิ่งดูสง่างาม
สาวใช้คุกเข่าพร้อมกล่าวว่า “ฝ่าบาท ข้าจะเก็บมันไว้อย่างดีเพื่อให้ผู้บัญชาการอวี่สวมใส่ในวันพรุ่งนี้เพคะ”
“อืม…ขอบใจมาก”
วันรุ่งขึ้น พิธีแต่งตั้งองครักษ์มังกรชุดขาวถูกจัดขึ้นอย่างสมเกียรติ
บนแท่นบูชานอกตำหนักเจ๋อเทียนไม่เพียงทหารมากมาย แต่ยังมีชาวบ้านเมืองหลันเยี่ยนอีกมากที่มาร่วมในพิธีนี้ ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยองค์จักรพรรดินีคือหลินมู่อวี่หนึ่งในตำนานของสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยน ผู้ฟื้นขึ้นมาจากความตายอย่างลึกลับ การกระทำของเขาทำให้ชื่อเสียงแพร่กระจายออกไปราวกับว่าเป็นเทวดารูปงามที่จุติลงมาในเมืองแห่งนี้ เขาเป็นที่หมายปองของหญิงสาวหลายคนในเมืองแม้ว่ายังไม่ทันได้รู้จักก็ตาม
ผ้าคลุมของหลินมู่อวี่และซูอวี่พลิ้วไหวไปตามลมหนาวที่พัดผ่าน
ฉินอินสวมในเสื้อคลุมขนสัตว์ยิ่งทำให้ดูสง่างาม นางก้าวไปด้านหน้าพร้อมหยิบคทาจากสาวใช้ ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นคทาแห่งความซื่อสัตย์ ต่อหน้าอาณาประชาราษฎร์ทุกท่าน ข้าหวังว่าอาอวี่และท่านป้าจะไม่มีวันทรยศต่อจักรวรรดิฉิน”
หลินมู่อวี่พยักหน้าก่อนกล่าว “ข้าไม่มีวันทรยศต่อจักรวรรดิฉิน”
ซูอวี่กล่าวต่อ “ข้าก็เช่นกัน”
ฉินอินหยิบเสื้อคลุมจากถาดในมือของสาวใช้พร้อมกับสวมใส่ให้กับหลินมู่อวี่เป็นการส่วนตัว น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาดวงตาคู่สวยเมื่อเห็นคนรักฟื้นคืนจากความตาย หน้าผากเริ่มย่นและปากแดงเรื่อเริ่มสั่นระรัว นางฝืนเก็บความรู้สึกก่อนจะกล่าวออก “อาอวี่…ข้าขอสั่งให้เจ้าอยู่เคียงข้างข้าตลอดไป ห้ามไปไหนอีก”
หลินมู่อวี่มองนางขณะกล่าวตอบอย่างเคร่งขรึม “แม้โลกนี้กลับด้าน ดวงดารานับหมื่นจะแตกสลาย ตราบใดที่เจ้าต้องการข้าจะไม่จากไปแน่นอน”
“อื้อ!”
ฉินอินพยักหน้าดีใจ
ซูอวี่ยิ้มพร้อมพูดอยู่ด้านข้าง “ข้าก็เป็นองครักษ์ชุดขาวเช่นกัน ไม่คิดจะบอกอะไรกับข้าบ้างหรือ?”
ฉินอินยิ้มแห้งก่อนพูด “งั้นข้าขอให้ท่านป้าพบชายที่คู่ควรในเร็ววันเถิด”
“ขอให้เป็นเช่นนั้น…” ซูอวี่กระซิบถามต่อ “พิธีเสร็จสิ้นแล้วหรือ?”
“ยังเจ้าค่ะ”
ฉินอินหันมองแท่นบูชาก่อนหัวเราะพร้อมพูด “ดูสิ ท่านตาทำตัวตรงอย่างกะท่อนไม้ ทั้งที่ข้ายังมิได้อ่านคำกล่าวพิธีกรรมน่าเบื่ออันแสนยาวนานเสียด้วยซ้ำ”
หลินมู่อวี่เอ่ยถาม “หากต้องการสร้างกองทัพอวี้หลินขึ้นใหม่เจ้าต้องแต่งตั้งผู้บัญชาการ เสี่ยวอินเจ้าต้องการให้ผู้ใดรับตำแหน่งนี้ล่ะ?”
“อันที่จริงพี่อาอวี่น่าจะพอรู้”
“อาเหยียนงั้นหรือ?”
“อืม”
“หืม…นี่ข้ารู้แจ้งโดยที่เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดสักคำ…”
ฉินอินถอนหายใจพร้อมยกยิ้ม “เช่นนั้นพี่อาอวี่ก็ช่วยเสี่ยวอินคิดสิว่าจะมีผู้ใดเหมาะสมแก่การดูแลกองทัพอวี้หลินอีก? หรือพี่อยากเลือกคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์สักร้อยคนมาสมัครก็ได้ ใครก็ตามที่ภักดีต่อจักรวรรดิเก่งและมีฝีมือกาจเป็นพิเศษ”
“หากทำอย่างเจ้าว่า ทหารทั้งกองทัพอวี้หลินก็เป็นคนของข้าหมดสิ เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะยึดกองทัพไปเป็นของตัวเองหรือ?” หลินมู่อวี่กล่าวหยอกเย้า
ฉินอินยิ้มละมุนก่อนกล่าวคำออก “อย่างนั้นก็เอาข้าไปด้วยสิ”
ซูอวี่กล่าวแย้งทันที “นี่พวกเจ้ามาพลอดรักต่อหน้าข้าได้อย่างไร ช่างน่ารำคาญจริงเชียว”
ฉินอินยิ้มขณะกุมมือซูอวี่พลางกล่าวคำเบา “ท่านป้าข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น ท่านคงหิวแล้ว…เที่ยงนี้ข้าขอเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหารรสเลิศในตำหนักเจ๋อเทียน”
“ข้ายินดียิ่ง…”
หลินมู่อวี่กล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว “อย่างไรก็ตามอาหารรสเลิศทั้งหมดในตำหนักดูเหมือนว่าจะไม่เพียงพอเสียแล้ว แต่หัวเมืองต่างๆ คงจะหามาได้เพียงเท่านี้ ข้าควรจะสร้างรังอินทรีขึ้นมาใหม่เพื่อให้พวกเขาบรรณาการอาหารรสเลิศมาที่ตำหนักทุกวัน ดูซิเสี่ยวอินผอมแห้งหมดแล้ว”
ฉินอินถกแขนเสื้อตนขึ้นมองดูข้อมือที่อวบราวกับหยกขาว ก่อนกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “นี่…ข้าผอมแล้วหรือ?”
หลินมู่อวี่กล่าวคำเบา “ก็อีกไม่นานจะถึงฤดูร้อนแล้ว”
“ทำไมหรือ?” ฉินอินถามออกด้วยความประหลาดใจ
หลินมู่อวี่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวตอบ “ฤดูร้อนที่บ้านเกิดของข้าเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าชื่นชม หญิงสาวมากมายสวมใส่เสื้อผ้าสวยงามชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่เมืองหลันเยี่ยนกลับแตกต่าง ในฤดูร้อนพวกนางก็ยังแต่งตัวมิดชิดไม่ต่างอะไรจากหญิงในยุคโบราณ”
“ผู้หญิงในยุคโบราณ…หมายถึงอะไรรึ?” ฉินอินถามอย่างไม่เข้าใจ
“ช่างมันเถอะ…” หลินมู่อวี่ครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะกล่าวต่อ “สักวันข้าจะต้องพาเจ้ากลับไปที่บ้านเกิดของข้าให้ได้ เจ้าจะได้เห็นและสัมผัสถึงความเป็นอยู่ของที่แห่งนั้นด้วยตนเอง”
ซูอวี่บ่นพึมพำ “แล้วอาณาจักรนี้เล่า?”
“ก็…”
หลินมู่อวี่เงียบไปสักครู่ก่อนจะกล่าวตอบ “ถึงวันนั้นเสี่ยวอินจะก้าวสู่ขอบเขตนภาและยังครอบครองทักษะสยบมังกร ข้าเชื่อว่าความสามารถของนางจะก้าวสู่ระดับเทวะภายในร้อยปีและบรรลุเทพจักรพรรดิฝึกฝนภายในพันปี เมื่อถึงเวลานั้นจักรวรรดิก็คงมีนับสิบรุ่นที่ถูกส่งต่อ วันนั้นคนรุ่นใหม่จะไม่ต้องการพวกเราอีกต่อไป เมื่อถึงเวลานั้นข้าก็จะพาเจ้ากลับไปที่บ้านเกิดของข้า เช่นนี้เจ้าคิดอย่างไร?”
ฉินอินยิ้มกว้างอย่างตื่นเต้นพร้อมกล่าวตอบอย่างไม่ลังเล “ตกลง…ข้าจะพาเสี่ยวซีและพี่ฉู่เหยาไปด้วย!”
“ไม่มีปัญหา”
หลินมู่อวี่กำหมดด้วยท่าทีที่พอใจก่อนพึมพำ “หึ…ถ้าหากได้กลับไปเซี่ยงไฮ้พร้อมพลังเทพจักรพรรดินี่ พ่อต้องตกใจมากแน่ แล้วก็จะพาพวกนางเที่ยวทั้งแผ่นดินและไปท่องยุโรปให้เบื่อเลย ฮ่าๆ”
ซูอวี่กระซิบถาม “เสี่ยวอิน อาอวี่พูดอะไรกับตัวเอง…” ฉินอินส่ายหน้าก่อนตอบ “ข้าไม่รู้เหมือนกัน”
…
ในที่สุดพิธีอันยาวนานก็จบลง หลินมู่อวี่ซูอวี่และฉินอินก้าวลงไปพร้อมรับการแสดงความยินดีอย่างเป็นทางการจากทหารอวี้หลิน
เมื่อทานอาหารมื้อเที่ยงที่ตำหนักเจ๋อเทียนเสร็จสิ้น หลินมู่อวี่ต้องกลับมาที่วิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อจัดการเรื่องอวี้หลินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อหลินมู่อวี่กลับมาถึง กำลังพลทั้งหมดก็ยืนรออยู่ที่วิหารแห่งนี้แล้ว ผู้เป็นที่สุดของพลังยุทธ์ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ถูกเชิญมาที่ศูนย์บัญชาการเสี่ยวหลินเช่นกัน กระนั้นยังมีผู้สอนและผู้ฝึกสอนนับพันซึ่งทุกคนล้วนเป็นกลุ่มที่ได้รับการเลือกสรร ไม่ง่ายเลยที่จะรวมผู้คนนับร้อยที่มีพลังยุทธ์เหนือขอบเขตปฐพีและคัดหาผู้ที่แกร่งที่สุดเพียงสองสามคนในบรรดาจอมยุทธ์เหล่านี้
ในตอนเย็นนั้นเอง ปรมาจารย์แห่งวิหารผู้ทรงพลังหลายร้อยคนมาที่ตำหนักเจ๋อเทียนและรับการแต่งตั้งในพิธีอันทรงเกียรติ
ฉินเหยียนตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็นชุดเกราะประจำตำแหน่งผู้บัญชาการและยืนอย่างมีความสุข เขากระชับกระบี่ในมืออย่างสง่างาม ฉินเหยียนกลายเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการของจักรวรรดิตั้งแต่อายุยังน้อยอาจจะเป็นคนแรกในยุคด้วยซ้ำ
“ท่านพี่…” ฉินเหยียนกล่าวขณะมองไปที่หลินมู่อวี่ด้วยรอยยิ้ม
หลินมู่อวี่ก้าวไปข้างหน้าดึงยศผู้บัญชาการกองหมื่นตรงปกคอออกด้วยท่าทีเคร่งขรึม จากนั้นแทนที่ด้วยดาวสีทองสามดวงก่อนกล่าวออก “อาเหยียน...จากนี้ไปเจ้าเป็นผู้บัญชาการองครักษ์มังกรหนึ่งในตำแหน่งที่สำคัญที่สุดในจักรวรรดิ จงระวังและอย่าได้ละทิ้งความไว้วางใจที่ฝ่าบาทมีให้และอย่าทำให้อดีตผู้บัญชาการองครักษ์มังกรอย่างพี่ของเจ้าผิดหวัง”
ฉินเหยียนคำนับหลินมู่อวี่พร้อมกล่าวตอบหนักแน่น “อาเหยียนคนนี้จะไม่ทำให้จักรพรรดินีและท่านรวมไปถึงท่านพี่ผิดหวังขอรับ”
“เยี่ยม….มากล้นด้วยพลังเสียจริง” หลินมู่อวี่ยิ้มอย่างร่าเริง
ผู้บัญชาการเฟิงด้านข้างกล่าวออก “ภาพนี้ทำให้ข้านึกถึงเหตุการณ์ของเมืองหลันเยียน...น่าเศร้าที่กองทัพทั้งหมดของกองทัพเขาเหินถูกทำลายจนสิ้น”
“มันไม่เป็นเช่นนั้นแน่”
ฉินเหยียนก้าวเข้ามาทีละก้าวก่อนกล่าวออก “ในเวลานี้ข้าจะสร้างค่ายเขาเหินขึ้นใหม่ เพียงแต่ท่านผู้บัญชาการเฟิงและพี่อวี่ต้องสนับสนุนข้า”
“แน่นอน” หลินมู่อวี่เอ่ยตอบพลางพยักหน้าพร้อมกับเฟิงจี้สิง
ฉินเหยียนมองไปที่หลินมู่อวี่และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่อวี่กองทัพอวี้หลินได้รับการจัดทัพใหม่ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะวางแผนที่จะสร้างกองทัพอวี้หลินขึ้นใหม่ภายในครึ่งเดือน ที่ท่านเลือกกลุ่มทหารมังกรผงาดและกองทัพองครักษ์มา เช่นนี้ท่านพี่และแม่ทัพเฟิงไม่ควรคัดค้าน”
“ไม่” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้ม “เรามีผู้แข็งแกร่งในกองทัพมังกรผงาด ไม่ต้องห่วง”
เฟิงจี้สิงประสานหมัดของเขาพร้อมกล่าว “กองทัพองครักษ์ที่ได้รับการฝึกฝนเมื่อสองปีที่แล้วพวกเขาในตอนนี้ก็เพิ่งเป็นรูปเป็นร่างอาอวี่ต้องดึงทหารหนึ่งหมื่นคนจากทัพมังกรผงาดมา”
หลินมู่อวี่รู้สึกเสียดายเล็กน้อย เมื่อคิดถึงสีหน้าที่บึ้งบูดของเฟิงจี้สิงเขาก็รีบกล่าวออก “เกรงว่าจะไม่เข้าที ฝ่าบาทก็ทรงตรัสว่าถ้าดึงทหารสองคนก็ต้องแทนด้วยสองคน ไม่สามารถเอาเปรียบกันได้”
เฟิงจี้สิงหัวเราะพลางกล่าวออก “ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่า…”
เขาโอดโอยและกล่าวแทรก “ฝ่าบาทถึงเวลาแล้วที่จะพิจารณาขยายกองทัพองครักษ์ได้หรือไม่ กองทัพองครักษ์เพียงสองหมื่นคงไม่เพียงพอจะป้องกันกองทัพอื่นเข้ามาทำลาย ข้าว่ากองทัพองครักษ์ควรมีไว้อย่างน้อยห้าหมื่นคน มิฉะนั้นจะเป็นการยากที่จะทำหน้าที่ปกป้องเมืองหลวงอันสำคัญได้ การก่อกบฏที่เมืองหลันเยี่ยนเมื่อสี่ปีก่อนได้พิสูจน์ทุกอย่างแล้ว”
“ก็ดี…” ฉินอินกล่าวตอบพร้อมท่าทางอึดอัดใจ “แต่การเพิ่มกองทัพต้องผ่านกระทรวงกลาโหม ซือหลิงและชางชู่เป็นสมาชิกของใต้เท้าหลันข้าเกรงว่าการลงมตินี้จะไม่ผ่าน”
“แล้วข้าควรทำอย่างไรดีล่ะ…” เฟิงจี้ซิงยืนกัดฟันพูด
หลินมู่อวี่กล่าว “ข้ามีข้อเสนอ”
“หืม ข้อเสนออะไรงั้นหรือ?” เฟิงจี้สิงและฉินเหยียนถามอย่างพร้อมเพรียง
หลินมู่อวี่กล่าวว่า “ตั้งแต่หลานกงและหยุนกงหยุดรับสมัครทหารเกณฑ์จากกองทัพองครักษ์ พวกเขาทำการคัดเลือกอย่างลับๆ กองกำลังที่ได้รับการคัดเลือกทั้งหมดจะถูกบรรจุลงในกองทหารของกองทัพองครักษ์ แต่พวกเขาจะไม่ถูกรวมอยู่รายชื่อทหารในจักรวรรดิ ถ้าหลานและหยุนกงถูกสอบสวน พี่เฟิงต้องกล่าวว่ากองกำลังเหล่านี้เป็นของเจ้าหน้าที่ภายนอก และพวกเขาทั้งหมดจะถูกเรียกว่ากำลังพลชั่วคราวและไม่ได้รวมอยู่ในกองทัพองครักษ์อย่างเป็นทางการ โดยปกติแล้วจะเป็นเพียงผู้ส่งสาร ดังนั้นพวกเขาจะไม่รับผิดชอบ อย่างไรก็ตามอย่าได้กังวลเพราะไม่มีสารวัตรทหารอย่างแท้จริง เราก็แค่เจรจากับพวกเขาเท่านั้น”
ดวงตาของเฟิงจี้สิงเป็นประกายและทันใดนั้นเขาก็ตบไหล่ของหลินมู่อวี่พร้อมกล่าวว่า “อืม…เด็กนี่ เจ้าคิดแม้กระทั่งวิธีที่ไร้ยางอายเช่นนี้ได้เลยงั้นหรือ?”
หลินมู่อวี่พูดไม่ออกก่อนมองไปที่พร้อมกล่าวคำเบา “โชคดีที่ข้ายังเป็นขอบเขตปราชญ์ไม่เช่นนั้นฝ่ามือนี้คงตบลงไปที่เจ้าแล้ว”
เฟิงจี้สิงหัวเราะออกมา “อาอวี่…พรุ่งนี้ไปดื่มที่โรงเรือนปลูกดอกไม้ด้วยกันเถิด”
“ย่อมได้”
……
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงเอะอะมาจากพวกข้าราชบริพารที่อยู่นอกห้องโถง “รองผู้บัญชาการเว่ยโฉวต้องการเข้าพบขอรับ”
“ให้เข้ามา”
“ขอรับ”
เว่ยโฉวไม่ได้มาคนเดียวเขายังมาพร้อมกับสาวสวยนั่นก็คือจินเสี่ยวเว่ย
หลังจากที่ได้เห็นฉินอินแล้วจินเสี่ยวเว่ยก็โค้งคำนับทันทีด้วยความเคารพ “ข้าจินเสี่ยวเว่ยลูกสาวจินเสี่ยวอวี่เพคะองค์จักรพรรดินี”
“ลุกขึ้นเถิด” ฉินอินยิ้มเบาๆ “เสี่ยวอวิ๋นเป็นคนของฉัน ไม่จำเป็นต้องมากพิธีนัก”
“น้องเล็กมีอะไรหรือ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม
จินเสี่ยวหยูพูดด้วยความคับข้องใจว่า “ท่านพี่ เราซื้อเครื่องประดับเพชรสีขาวชุดหนึ่งจากจังหวัดเมืองชีไห่ ทว่าถูกปล้นในห้าสิบไมล์ทางเหนือของเมืองหลันเยี่ยน”
“ใคร…”
หลินมู่อวี่เลิกคิ้วพร้อมกล่าวแทรก “ใครกันที่กล้าดีมายุ่งกับสินค้าในร้านจื่อยินของพวกเรา”