The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 427 งานเลี้ยงเนื้อมังกร
EP.427 งานเลี้ยงเนื้อมังกร
“เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…พี่อาอวี่ไม่มีทางยอมจำนนต่อจักรวรรดิอี้เหอแน่”
ภายในจวนเจ้าเมืองปู้กู่ ฉินอินทรุดลงบนเก้าอี้อย่างสิ้นหวัง ความตกใจและสับสนปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม
“นี่เป็นเรื่องจริง”
ซูอวี่กล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม “หน่วยสอดแนมในจักรวรรดิอี้เหอส่งสารรายงานมาว่า มีหลายคนพบเห็นหลินมู่อวี่อยู่กับซีหยางโหวหม่านหนิงด้วยตาตนเองในเมืองสายัณห์ อีกทั้งพระราชบุตรบุญธรรมยังสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อฉินอี้ และยังกล่าวกันว่าฉินอี้มอบตำแหน่งราชาให้อาอวี่ กระหม่อมไม่ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้”
ถังลู่ด้านหลังถังหลานแสดงท่าทีไม่พอใจพร้อมกล่าวว่า “คราแรกฝ่าบาททรงประสงค์กำหนดให้หลินมู่อวี่เป็นราชาแห่งเทียนชู่ แต่เขาถูกคัดค้านจากเหล่าขุนนาง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาเกลียดชังที่ไม่ได้ชื่อราชาแล้วไปเข้าร่วมกับจักรวรรดิอี้เหอ เหอะ! ไม่คิดเลยว่าหลินมู่อวี่จะกลายเป็นคนชั่วช้าเช่นนี้ ใช้เวลาเนิ่นนานเหลือเกินกว่าจะได้เห็นจิตใจที่แท้จริงของผู้คน!”
“บังอาจ!”
ฉินอินลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วพร้อมปกคลุมไปด้วยแสงสีทองของโซ่เทวะ ดวงตาคู่งามของนางมองถังลู่ด้วยความโกรธเกรี้ยว “กว่าจะได้เห็นจิตใจที่แท้จริงของผู้คนงั้นเหรอ...เจ้ากล่าวหากันเร็วเกินไปหรือไม่? ข้าเชื่อในอาอวี่และจะเชื่อตลอดไป ใครบังอาจให้ร้ายอาอวี่เกี่ยวกับการเข้าร่วมจักรวรรดิอี้เหอ จงจัดการบัดเดี๋ยวนี้!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ฝ่ามือเฟิงจี้สิงเลื่อนไปบนด้ามดาบบนเอว
“ผู้อาวุโสฉู่มีความเห็นอย่างไร?” ฉินอินเอ่ยถามเสียงเบา
ชวีฉู่นั่งอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าขุนนางยืนขึ้นพร้อมประสานหมัดกล่าว “ฝ่าบาท เราอยู่ในเมืองปู้กู่ราวสามวันแล้ว มีผู้ลี้ภัยเดินทางจากมณฑลหลิงหนาน เนื่องจากผู้บัญชาการหลินพิชิตเมืองของจักรวรรดิอี้เหอได้ พวกเขานำอาหารมาด้วยมากมาย ทรัพย์สมบัติและเงินทอง รวมถึงม้าศึกที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี ผู้บัญชาการหลินนำกองทัพมังกรผงาดเข้ากอบกู้เมืองจากเผ่าปีศาจเพื่อจักรวรรดิ หากแม่ทัพเช่นนี้ก่อกบฏ กระหม่อมเกรงว่าจักรวรรดิฉินคงไม่มีแม่ทัพที่จงรักภักดีเหลืออยู่อีกแล้ว”
เฟิงจี้สิงประสานหมัดกล่าว “กระหม่อมเห็นด้วยกับคำพูดของท่านต้าซือเยว่ หลังจากอาอวี่นำกองทัพไปยังมณฑลดารา เขาประสบความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า พิชิตเมืองหน้าด่านทั้งสามกลับมา อีกทั้งกอบกู้เมืองเพลิงจันทราและเมืองซิงเจว๋ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่หรือ? ส่วนเหตุใดจึงถูกติงซี่จับตัวไป กระหม่อมเชื่อว่าจะต้องมีเหตุผลบางประการ แต่เขาไม่มีเวลาที่จะบอกเราเท่านั้น”
ฉินอินพยักหน้ารับ นางเงยหน้าขึ้นมองซูมู่หยุนพร้อมกล่าวว่า “ท่านตามีความเห็นอย่างไร?”
ซูมู่หยุนประสานหมัด “กระหม่อมยังคงเชื่อมั่นในความภักดีของผู้บัญชาการหลิน แต่เราจำเป็นต้องเตรียมการป้องกันให้ดี หากเขาทรยศจริง มันจะกลายเป็นหายนะสำหรับจักรวรรดิ เนื่องจากเขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพแห่งจักรวรรดิและกองทัพมังกรผงาด ดังนั้นกระหม่อมจึงแนะนำให้กองทหารหนักประจำการที่ประตูหลักทั้งสามเพื่อป้องกันการลอบโจมตีจากจักรวรรดิอี้เหอ”
“เรื่องการป้องกันจะถูกส่งให้ท่านตาดูแล”
ฉินอินคร่ำครวญขณะนึกถึงสิ่งผิดปกติอีกครั้ง นางกัดฟันแน่นพร้อมกล่าวว่า “มันต้องไม่ใช่แบบนี้”
“เป็นอะไรไปหรือเสี่ยวอิน?” ซูมู่หยุนประหลาดใจ
ฉินอินลุกขึ้นพร้อมผูกเสื้อคลุมที่หน้าอกและกล่าวว่า “ข้าเป็นกังวลยิ่งนักว่าจะมีผู้ฉวยผลประโยชน์จากข่าวลือนี้และลอบสังหารพี่อาอวี่ในมณฑลหลิงหนาน เฟิงจี้สิง…รีบสั่งการทหารทันที เราจะออกเดินทางไปเมืองหน้าด่านโม่ซงในตอนบ่าย ข้าจะไปที่นั่นเพื่อรอพี่อาอวี่กลับมา!”
เหล่าขุนนางต่างตกตะลึง ถังหลานประสานหมัดกล่าว “ฝ่าบาท ทรงไตร่ตรองอย่างรอบคอบ กองกำลังหลักของจักรวรรดิอี้เหอพ่ายแพ้เผ่าปีศาจนอกเมืองไป๋หลิงจนทำให้หลงเซียนหลินเกือบถูกเหล่ยฉงสังหาร ขณะนี้เผ่าปีศาจพยายามอย่างหนักเพื่อโจมตีหัวเมืองใหญ่ของจักรวรรดิอี้เหอ หนึ่งในสามของมณฑลหลิงหนานตกอยู่ในเงื้อมมือพวกมันแล้ว หากข่าวการเสด็จพระราชดำเนินไปยังเมืองหน้าด่านโม่ซงถึงหูปีศาจร้าย พวกมันอาจรวบรวมกำลังพลเข้าล้อม เช่นนั้นพวกเราจะทำเช่นไร?”
“ฝ่าบาททรงไตร่ตรองอีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ขุนนางกลุ่มหนึ่งประสานหมัดเพื่อเกลี้ยกล่อม
ฉินอินพลันเปิดถุงมิติข้างเอวพร้อมคว้าผนึกวางลงบนโต๊ะ นางมองเหล่าข้าราชบริพารด้วยสายตาเย็นชาและกล่าวว่า “ตราผนึกแห่งจักรวรรดิฉินอยู่ในมือข้า ซึ่งหมายถึงข้าเป็นผู้ปกครองจักรวรรดิ เหตุใดพวกท่านจึงต้องการเป็นกบฏ? ข้าตัดสินพระทัยไปแล้ว หากพวกท่านภักดีต่อจักรวรรดิจริง เช่นนั้นก็ต้องพร้อมต่อสู้เพื่อข้าและเพื่อจักรวรรดิ!”
เฟิงจี้สิง จางเหว่ย หลัวอวี่ เซี้ยโหวซาง และคนอื่นๆ คุกเข่าลงพร้อมกล่าว “กระหม่อมยินดีต่อสู้เพื่อฝ่าบาท!”
จากนั้นนายพลที่เหลือคุกเข่าลงกล่าวพร้อมกัน “กระหม่อมขอสู้เพื่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”
ขณะเดียวกันมีเสียงดังขึ้นจากนอกตำหนัก “เว่ยโฉวและท่านฉินเหยียนกลับมาแล้ว!”
“หืม?”
ฉินอินผงะพร้อมกล่าวว่า “ให้พวกเขาเข้ามาโดยเร็ว”
“ขอรับ!”
ไม่นานนายพลทั้งสี่ เว่ยโฉว ฉินเหยียน เฝิงสี่ และฉือเจี้ยนเทาเดินเข้ามา เมื่อเห็นเลือดบนเสื้อพวกเขา ฉินอินพลันสั่นสะท้านพร้อมเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “เว่ยโฉว พี่อาอวี่อยู่ที่ใด?”
เว่ยโฉวประสานหมัดรายงานด้วยความโกรธเกรี้ยว “ท่านผู้บัญชาการถูกติงซี่นำตัวไปพ่ะย่ะค่ะ!”
ถังเทียนกล่าวประชดประชัน “การยอมจำนนไม่ใช่ข่าวลือ!”
เว่ยโฉวรีบเงยหน้าขึ้นชี้แจง “แต่ผู้บัญชาการไม่มีทางเป็นกบฏและเข้าร่วมกับจักรวรรดิอี้เหอ ฝ่าบาททรงวางพระทัย กระหม่อมสามารถใช้ศีรษะรับประกัน เนื่องจากผู้บัญชาการหลินจงใจสั่งให้กองทัพมังกรผงาดให้อยู่ในเมืองซิงเจว๋ ซึ่งเป็นเหตุให้ติงซี่นำทหารห้าหมื่นนายเข้าล้อม กระหม่อมมั่นใจว่าเขาต้องการทำบางสิ่งในจักรวรรดิอี้เหอจึงออกคำสั่งนี้ นอกจากนี้…”
“นอกจากนี้อะไร?” ฉินอินเอ่ยถามอย่างกระวนกระวาย
เว่ยโฉวขมวดคิ้วพร้อมกล่าวว่า “นอกจากนี้ เราเอาชนะกองทัพทหารม้าของจักรวรรดิอี้เหอในเมืองซิงเจว๋ และผู้บัญชาการสั่งให้สังหารเชลยศึกทั้งหมดกว่าสองพันคน หากเขาต้องการเข้าร่วมกับจักรวรรดิอี้เหอจริง คงจะไม่มีวันออกคำสั่งนี้ ฝ่าบาททรงคิดเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ใบหน้าฉินอินแจ่มใสขึ้นแต่ยังคงมีความกังวล “แต่เขา…”
เว่ยโฉวประสานหมัด “กระหม่อมยินดีที่จะนำกองทัพมังกรผงาดไปยังมณฑลหลิงหนานเพื่อรับตัวผู้บัญชาการหลินอีกครั้ง”
“อืม”
ฉินอินพยักหน้า “แต่ครานี้ข้าจะไปด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
พอถึงช่วงบ่าย กองทัพแปดหมื่นนายเคลื่อนออกจากเมืองตรงไปยังเทือกเขาฉิน ด้านหน้ากองทัพฉินอินสวมเสื้อคลุมจักรพรรดินีกระตุ้นม้าให้เดินไปด้านหน้า ขณะที่เฟิงจี้สิง เว่ยโฉว และคนอื่นๆ ติดตามอย่างใกล้ชิด ส่วนถังหลานและซูมู่หยุนนั่งในรถม้าร่วมกับทหารผ่านศึกคนอื่นๆ ซึ่งเคลื่อนขบวนได้อย่างเชื่องช้า
…
ไม่กี่วันถัดมา สารขนนกถูกส่งมาจากหลิงหนาน ซึ่งเป็นคำประกาศิตของฉินอี้ หลินมู่อวี่จะได้รับการยกย่องให้เป็น ‘ราชาแห่งขุนเขา’ ซึ่งมีความหมายเป็นเสมือนผู้พิทักษ์คุ้มครองเทือกเขาฉิน แต่เทือกเขาแห่งนี้ถูกทิ้งร้าง ไม่มีพื้นที่เพาะปลูก ไม่มีผู้อยู่อาศัย มีเพียงก้อนหินและป่าไม้ ดังนั้นราชาแห่งขุนเขาจึงเป็นเพียงนามไร้ศักดินา
อย่างไรก็ตามซีหยางโหวยังคงจัดงานเลี้ยงสองวันติดต่อกันเพื่อเฉลิมฉลองให้หลินมู่อวี่ที่ได้รับตำแหน่งราชาแห่งขุนเขา กระนั้นหม่านหนิงกลับไม่เคยเอ่ยถึงทหาร ดังนั้นหลินมู่อวี่จึงไม่มีทหารรักษาการณ์ ส่วนเหล่าสาวใช้มาจากตำหนักซีหยางทั้งสิ้น
เวลาเช้าตรู่ หลินมู่อวี่ร่ายรำเพลงกระบี่อยู่ในจวนราชาแห่งขุนเขา ไกลออกไปเหล่าสาวใช้ยืนมองด้วยความตื่นตะลึง ขณะที่ดวงตาของพวกนางเต็มไปด้วยความชื่นชม ทันใดนั้นสาวใช้นางหนึ่งเข้ามากล่าวด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท แม่ทัพลู่จ่าวเชิญไปร่วมงานเลี้ยงเนื้อมังกรที่จวนคืนนี้เพคะ”
“งานเลี้ยงเนื้อมังกร?” หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว
“เพคะ” สาวใช้ตอบกลับด้วยความเคารพ “กล่าวกันว่าทหารของแม่ทัพลู่จ่าวเชี่ยวชาญการล่าสัตว์วิญญาณ พวกเขาล่ามังกรนภาและมังกรเกล็ดทองคำในป่าทางใต้ของเมืองสายัณห์ ดังนั้นแม่ทัพลู่จ่าวจึงตัดสินใจจัดงานเลี้ยงเนื้อมังกรที่จวนคืนนี้ ฝ่าบาทเป็นราชาพระองค์เดียวของจักรวรรดิอี้เหอ จึงเป็นคนแรกที่ได้รับเชิญเพคะ”
“กลับไปตอบแม่ทัพลู่จ่าวว่าข้าจะไปงานเลี้ยงตรงเวลา”
“เพคะ กระหม่อมทูลลา”
หลังจากสาวใช้ออกไป “ชิ้ง!” หลินมู่อวี่เก็บกระบี่วิญญาณมังกรเก็บเข้าฝักพร้อมจับพู่ที่ด้ามกระบี่ด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปภายในใจ…ในที่สุดก็ถึงเวลาแสดงพลังของกระบี่วิญญาณมังกรแล้ว! สองสามวันนี้เขาเฝ้ารอโอกาสดีมาโดยตลอด รอที่จะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว และการเข้าไปในจวนของลู่จ่าวครานี้เขาจะสามารถตามหาศีรษะของฉินเหลยได้!
ดูเหมือนว่าหลินมู่อวี่จะรู้สึกได้ถึงความมืดมิดที่คืบคลาน ลู่จ่าวกำลังวางกับดักเพื่อให้เขาตกเป็นเหยื่อ…และงานเลี้ยงฉลองคงกลายเป็นการนองเลือด!
หลินมู่อวี่ปล่อยมือจากด้ามกระบี่ ก่อนจะกำหมัดเบาๆ ขณะที่ปราณยุทธ์พวยพุ่งจากกำปั้นอย่างเชื่องช้า เขาถอนหายใจและเงยหน้ามองท้องฟ้า กับดักเหรอ...ตั้งแต่มาเยือนหลิงหนาน เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีชีวิตรอดออกไป แต่หากไม่ได้ศีรษะของฉินเหลยกลับไปยังเมืองหลันเยี่ยน เขาคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต!
…
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ เสียงรถม้าดังขึ้นด้านนอกจวน ก่อนที่ติงซี่จะเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ลู่จ่าวจัดงานเลี้ยงเนื้อมังกร จึงเดาว่าฝ่าบาทจะต้องเสด็จพระราชดำเนินอย่างแน่นอน”
“อืม”
หลินมู่อวี่ตอบกลับอย่างมีความนัย “ข้าเพิ่งได้เป็นราชา จึงไม่สมควรโอ้อวดใช่หรือไม่?”
“ฮ่าๆ กระหม่อมจะคอยอยู่ที่นี่เพื่อติดตามฝ่าบาท”
“เอาล่ะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว เข้าไปกันเถิด มีผู้เข้าร่วมทั้งหมดเท่าใดหรือ?”
“ลู่จ่าวเป็นแม่ทัพอันดับสามจากเจ็ดแม่ทัพเทพของจักรวรรดิอี้เหอ เขาจึงมีสถานะที่สูงมาก ทำให้เหล่าขุนนางคนสำคัญในเมืองสายัณห์ต่างชื่นชมและคงมาร่วมงานเลี้ยงด้วย เช่นนั้นเราควรออกเดินทางโดยเร็ว”
“อืม ออกเดินทางได้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นรถม้าของราชาและแม่ทัพเคลื่อนตัวไปยังจวนที่สง่างามของลู่จ่าว
หลินมู่อวี่นั่งเช็ดคมกระบี่วิญญาณมังกรในถรม้า เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจ หลังจากเฝ้ารอมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็จะได้สิ่งที่ต้องการแล้วใช่หรือไม่?
แต่ผลสุดท้ายจะต้องกลายเป็นไฟโลกันตร์อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะสามารถนำศีรษะของฉินเหลยมาหรือไม่ก็ตาม…
หลูจ๋านและหยานลี่ต่างเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตปราชญ์ อีกทั้งมีเหล่านายพลที่มีวิทยายุทธ์เฉพาะตน มันคงไม่ง่ายที่จะหนีออกไปพร้อมศีรษะของฉินเหลยจากคนเหล่านี้
แม้จะยากเย็นเพียงใด แต่ก็ต้องทำ
หลินมู่อวี่พลันเงยหน้ามองโคมไฟสีแดงที่แขวนอยู่หนาแน่นบนต้นไม้ของเมืองสายัณห์ราวกับเป็นต้นเพลิงสีแดง