The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 420 ผู้บัญชาการซ๋ง
EP.420 ผู้บัญชาการซ๋ง
“โครม!”
หลังจากที่กองทัพมังกรผงาดมาถึงก็พบว่าประตูทางทิศเหนือของเมืองเพลิงจันทราอยู่ในสภาพผุพัง การบุกโจมตีของอสูรเกราะเมื่อหลายเดือนก่อนสร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก ผนวกกับการโจมตีด้วยโล่หนักของเหล่าทหารในเวลานี้ ประตูเมืองเพลิงจันทราจึงพังทลายลงอย่างสมบูรณ์
กีบเท้าทั้งสี่ของท่าเฉว่เดินเหยียบซากประตูเข้าไปข้างในอย่างเชื่องช้า หลินมู่อวี่กระตุกบังเหียนก่อนมองดูร่องรอยสีเทารอบตัวเมือง ทั้งยุ้งฉาง วิหารศักดิ์สิทธิ์ ร้านเครื่องเหล็กและข้าวของต่างๆ กลายเป็นซากปรักหักพัง เหล่าปีศาจต้องใช้ไฟบุกโจมตีเมืองแน่นอน
…
เว่ยโฉวกวาดสายตามองรอบตัวก่อนกล่าวออกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านผู้บัญชาการ ทุกอย่างพังทลายไปหมดแล้วขอรับ เราไม่ควรเสียเวลาอยู่ที่นี้”
“ข้ารู้”
หลินมู่อวี่พยักหน้าพร้อมกล่าวต่อ “พวกปีศาจอาจกลับมาได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเราควรรีบอพยพคนออกจากที่นี่ ส่งทหารไปรวบรวมคนในเมืองเพลิงจันทราทั้งหมดออกไปทางประตูเมืองทิศเหนือ และพาพวกเขาข้ามเทือกเขาฉินไปยังเมืองปู้กู่”
“ขอรับ”
เว่ยโฉวขมวดคิ้วก่อนเอ่ยถาม “แต่เจ้าเมืองปู้กู่จะยอมรับคนเหล่านี้หรือขอรับ? อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นคนของจักรวรรดิอี้เหอ ข้าเกรงว่า…ท่านเจ้าเมืองจะฆ่าคนเหล่านี้ทิ้ง”
“ไม่เป็นไร ข้าจะเขียนสารไปแจ้งเอง”
“ขอรับ”
…
เวลาพลบค่ำ เหล่าทหารรวบรวมพลเรือนผู้หิวโหยได้กว่าสองหมื่นราย คนเหล่านี้ล้วนเป็นช่างฝีมือที่มีความสามารถเฉพาะด้านของตน ไม่ว่าจะเป็นช่างก่ออิฐ ช่างไม้และช่างธนู ซึ่งเป็นกลุ่มอาชีพที่จักรวรรดิสามารถรับจ้างทำงาน อีกทั้งในเวลานี้ที่จักรวรรดิกำลังเร่งสร้างกำแพงเหล็กซึ่งต้องการช่างฝีมือจำนวนมาก พวกเขาเหล่านี้จึงล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำ
“พรึ่บ”
หลินมู่อวี่ปัดเศษเถ้าถ่านออกจากโต๊ะของช่างตีเหล็กที่ถูกไฟไหม้ก่อนปูผ้าลงไป เขาหยิบพู่กันและหมึกจากมือของเว่ยโฉวเพื่อเขียนสารถึงเจ้าเมืองปู้กู่ “ท่านหวังจื่อ คนเหล่านี้ล้วนเป็นช่างฝีมือที่ลี้ภัยจากเมืองเพลิงจันทรา ข้าจึงตัดสินใจอพยพทุกคนไปยังเมืองปู้กู่เพื่อเริ่มชีวิตใหม่ในฐานะชาวจักรวรรดิ หวังว่าท่านจะยินดีต้อนรับและไม่ทำร้ายพวกเขา…หลินมู่อวี่”
เมื่อเขียนเสร็จ เขาหยิบตราแม่ทัพออกมาจากถุงสรรพสิ่งพร้อมประทับลงด้วยหมึกสีชาด
หลังจากนั้นเขามุ่งไปยังยุ้งฉางและฆ่าเหล่าอสูรเกราะที่เฝ้าเสบียงจนหมด ก่อนนำอาหารแจกจ่ายแก่พลเรือนผู้หิวโหย
เวลาล่วงไปจนดึกสงัด
กองทหารมังกรผงาดเคลื่อนย้ายพลเรือนราวสองหมื่นคนออกจากเมืองอย่างเชื่องช้า สิ่งของล้ำค่าในเมืองเพลิงจันทราถูกเก็บจนหมดสิ้น เกวียนเล่มแล้วเล่มเล่าแบกข้าวของนับไม่ถ้วนออกจากเมืองไป ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เหรียญทองและเครื่องเหล็ก
หลินมู่อวี่มองเหล่าผู้ลี้ภัยจากไปขณะยืนอยู่บนกำแพงเมือง สายลมอันหนาวเหน็บยามค่ำคืนพัดผ่านใบหน้าราวกับใบมีดทิ่มแทง เขากางแผนที่เดินทัพบนกำแพงเมืองอีกครั้งก่อนเพ่งสายตาดูโดยอาศัยแสงสว่างจากดวงดาว นิ้วของเขาลากผ่านเมืองแล้วเมืองเล่าก่อนหยุดลงที่เมืองแห่งหนึ่งบนแผนที่
เว่ยโฉวด้านข้างกล่าวคำออก “เมืองซิงเจว๋เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองยิ่ง แต่ก่อนเคยมีพลเรือนกว่าสองแสนคน ทว่าตอนนี้คงเหลือไม่มากแล้ว ท่านผู้บัญชาการจะบุกโจมตีเมืองซิงเจว๋หรือขอรับ?”
“อืม”
หลินมู่อวี่ยิ้มพร้อมกล่าว “ส่งหน่วยสอดแนมไปยังเมืองซิงเจว๋ ตรวจสอบดูว่ามีเหล่าอสูรเกราะที่คุ้มกันเมืองกี่ตน แต่ข้าว่าคงมีไม่มากนักหรอก”
เว่ยโฉวพยักหน้าก่อนกล่าวตอบ “กองทัพอสูรเกราะเกือบทั้งหมดถูกส่งไปยังเมืองไป๋หลิงและไปสู้รบกับหลงเซียนหลิน จึงน่าจะเหลือผู้คุ้มกันไม่มากนัก แต่เมืองซิงเจว๋…อยู่ใกล้เมืองสายัณห์ที่อยู่ในความดูแลของแม่ทัพติงซี่มากนะขอรับ แม้แต่ทหารราบก็สามารถเดินทางไปถึงภายในครึ่งวัน หากโจมตีเมืองซิงเจว๋ เรามีโอกาสที่จะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพอี้เหอในมณฑลหลิงหนาน”
“ข้าตัดสินใจแล้ว คำไหนคำนั้น”
หลินมู่อวี่ถอนหายใจก่อนกล่าวต่อ “ให้ทุกคนกินอิ่มและพักผ่อนอย่างเต็มที่ในคืนนี้ รุ่งเช้าเราจะเดินทัพไปโจมตีเมืองซิงเจว๋ จงเตรียมเสบียงอาหารแห้งสำหรับสามวันและถอนกำลังเมืองหน้าด่านโม่ซงเพื่อมาเสริมทัพ”
“จะดีหรือขอรับ?” เว่ยโฉวผงะ
“ไม่เป็นไร ตราบใดที่ยึดเมืองซิงเจว๋ได้ภายในสามวัน คงพอมีเสบียงเหลืออยู่บ้าง หากไม่สำเร็จ เราจะกลับจักรวรรดิทันที ที่นี่อันตรายเกินไป”
“ขอรับ”
ในคืนนั้น เหล่าทหารมังกรผงาดเกือบห้าพันนายฆ่าสัตว์กว่าร้อยตัวที่พบในเมืองเพื่อประกอบอาหารเลิศรสของพวกเขา เช่นเดียวกันกับม้าศึกที่ได้รับอาหารอย่างเหมาะสม ยามดึก ท่ามกลางความเงียบสงัดมีเพียงเสียงกรนของเหล่าทหารและเสียงเกือกม้าของหน่วยสอดแนมที่อยู่ห่างไกลออกไปแว่วให้ได้ยิน ช่างเป็นค่ำคืนที่สงบจนไม่น่าไว้วางใจ
หลินมู่อวี่ไม่ได้นอนในกระโจมหลักของกองทัพ เขาเอนกายพิงหินโม่ยักษ์อยู่ด้านนอกพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้าง ขณะที่ยืดตัวดูดซับพลังจากแสงดาวอยู่นั้น เขารู้สึกถึงปราณยุทธ์ไหลเวียนในร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจทะลวงกลยุทธ์ดวงดาราขั้นที่สี่ได้เสียที
ค่ำคืนปลายฤดูใบไม้ร่วง น้ำค้างแข็งร่วงหล่นจากใบไม้ตกลงบนใบหน้าของหลินมู่อวี่ พลังดวงดาราบนผิวหน้าของเขาส่องสว่างก่อนหักเหภายใต้น้ำค้างแข็งจนเกิดประกายแสงงดงาม
…
ยามเช้าตรู่ หลินมู่อวี่ตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงเกือกม้าและเสียงก่นด่าของใครบางคน เขาลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้าก่อนพบว่าต้นเสียงคือเฝิงสี่ชายเลือดร้อน เขากำลังยืนต่อว่าหน่วยวิญญาณอัคนีที่ทำอาหารไหม้จึงต้องเสียเสบียงกองทัพโดยสูญเปล่า
“พี่ใหญ่ อาหารมาแล้วขอรับ”
ฉินเหยียนถือบะหมี่และน้ำซุปเข้ามา ในถ้วยมีเนื้อชิ้นโตหน้าตาคล้ายเนื้อวัวซึ่งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วกระโจม
หลินมู่อวี่รับอาหารและทานอย่างรวดเร็ว การฝึกฝนวิทยายุทธ์ตลอดทั้งคืนทำให้เขาหิวโหยมาก ขณะเดียวกันฉินเหยียนค่อยๆ ยกมือขึ้นเพื่อปัดน้ำค้างแข็งบนไหล่ของหลินมู่อวี่ออกไปก่อนส่งเสียงหัวเราะแผ่วเบา “พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้พักผ่อนเลยหรือ?”
“อืม การฝึกฝนพลังดวงดาราจำเป็นต้องดูดรับแสงจากดาวบนฟ้า”
“ช่างเป็นวิทยายุทธ์ที่พิกลเสียจริง ทว่าก็แข็งแกร่งนัก” ฉินเหยียนยกยิ้ม
หลินมู่อวี่ยิ้มตอบขณะที่ปากยังคงเคี้ยวต่อไป ฉินเหยียนเปรียบเสมือนน้องชายของเขา หลังจากฉินเหลยตายตกไป ฉินเหยียนก็นับถือหลินมู่อวี่เยี่ยงพี่ชายมาตลอด มิเช่นนั้นเจ้าตัวคงไม่เรียกเขาว่าพี่ใหญ่
มีน้องชายที่แข็งแกร่งและภักดีเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
หลังจากจัดการเนื้อชามใหญ่ไปแล้ว หลินมู่อวี่เช็ดมือพร้อมกล่าวคำออก “เก็บให้เรียบร้อย เตรียมเคลื่อนทัพได้”
“ขอรับ”
ฉินเหยียนล้างชามก่อนนำส่งคืนแก่หน่วยวิญญาณอัคนี จากนั้นจึงไปนำท่าเฉว่ออกมา เขายิ้มพร้อมกล่าว “เราจะไปถึงเมืองซิงเจว๋ภายในเย็นนี้ พี่ใหญ่จะโจมตีเมืองทันทีเลยหรือไม่ขอรับ?”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้าพลางกล่าวออก “ก่อนที่พวกปีศาจจะไหวตัว เราต้องรีบยึดเมืองซิงเจว๋แล้วนำพวกของมีค่ากลับไปยังมณฑลหลิงเป่ย แทนที่จะปล่อยให้ของดีๆ อยู่ในมือพวกมัน เรานำกลับไปยังจักรวรรดิเสียดีกว่า”
“ฮ่าๆ ข้าเองก็คิดเช่นนั้น”
“เคลื่อนทัพได้”
“อืม”
ธงดอกจื่อยินโบกสะบัดตามสายลม เหล่าทหารมังกรผงาดเคลื่อนพลกันอย่างฮึกเหิม แสงแดดยามเช้าสาดสะท้อนกับชุดเกราะของบรรดาทหารจนเกิดประกายสง่างาม แสงนั้นทอดยาวพาดผ่านดินแดนร้างชีวิตราวกับจะฟื้นสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้ง
…
ณ เมืองสายัณห์ ค่ายทหารของจักรวรรดิอี้เหอที่อยู่หลังกำแพงเหล็กกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมือง เสียงพูดคุยของผู้คนช่วยสร้างสีสันแก่ค่ายทหารในตัวเมืองเป็นอย่างดี กลุ่มทหารม้าเหล็กรีบเร่งเรียงแถวหน้ากระโจมหลักของกองทัพ โดยมีผู้บัญชาการกองหมื่นผู้มีดาวสามดวงประดับบนบ่านำแถว เขามีคิ้วหนา หนวดเคราดกและดวงตาอันเยือกเย็น
เขากระชับด้ามดาบที่อยู่รอบเอวก่อนก้าวเข้าไปในกระโจมหลักที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของทหารรักษาการณ์ เบื้องหน้าของเขาคือติงซี่ที่กำลังถือชามน้ำซุปอยู่
“คารวะท่านแม่ทัพติงซี่ ผู้บัญชาการซ๋งเชาขอรับ” เขาตะโกนเสียงดัง
ติงซี่เงยหน้าก่อนลุกขึ้น เขายกยิ้มพร้อมกล่าว “ทำไมท่านผู้บัญชาการซ๋งมาที่ค่ายทหารได้ล่ะ ท่านไม่ได้อยู่เมืองสายัณห์กับแม่ทัพลู่จ่าวหรือ?”
ซ๋งเชากล่าวพร้อมสีหน้าเคร่งเครียด “ในเมืองสายัณห์นั้นมีแต่เรื่องวุ่นวายและข้าเป็นผู้ที่มีความอดทนต่ำ ท่านแม่ทัพลู่จ่าวจึงสั่งให้ข้านำทหารม้าเหล็กสามพันนายไปตรวจสอบสถานการณ์รอบกำแพงเหล็กขอรับ”
“ออกไปนอกกำแพงเหล็กงั้นรึ?”
ติงซี่ขมวดคิ้ว “แม่ทัพลู่จ่าวน่าจะเข้าใจความอันตรายภายนอกกำแพงเหล็กดีไม่ใช่หรือ ตราบใดยังมีกองทัพอสูรเกราะกว่าพันตนข้างนอกนั้น ข้าเกรงว่าทหารม้าเหล็กทั้งสามพันนายของผู้บัญชาการซ๋งจะไม่รอดกลับมา”
ซ๋งเชาหัวเราะ “ท่านผู้บัญชาการติงอย่าเป็นเวลากังวลไปเลยขอรับ แม้ว่าเหล่าอสูรเกราะจะดุร้าย ทว่าพวกมันนั้นโง่เขลา ตราบใดที่มีเราอาวุธพวกมันจะทำอะไรได้? อีกทั้งทางเราเพิ่งได้รับสารขนนกจากผู้บัญชาการหลงเซียนหลินว่าพวกเขาใช้โซ่เหล็กเพื่อต่อสู้กับกองทัพอสูรเกราะของเหล่ยฉงและสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว จึงทำให้มณฑลชุนไป๋แทบไม่มีปีศาจเหลืออยู่ หากไม่รีบโจมตีในตอนนี้ เราอาจเสียโอกาสไปโดยเปล่าประโยชน์ขอรับ”
ติงซี่กล่าวตอบ “ท่านผู้บัญชาการซ๋งจะไปออกไปจริงหรือ”
“ขอรับ ข้าตัดสินใจแล้ว”
ซ๋งเชานำลูกศรออกมาก่อนกล่าวต่อ “นี่คือลูกศรที่ท่านแม่ทัพลู่จ่าวส่งมาให้ข้าโดยเฉพาะ โปรดวางใจเถิดขอรับ”
“ดูเหมือนว่าท่านแม่ทัพจะกระตือรือล้นนัก” ติงซี่ยกยิ้มก่อนกล่าวต่อ “แต่นอกกำแพงเหล็กจะไม่มีอะไรปกป้องท่านได้ อีกทั้ง…ยังมีเหล่าปีศาจและทหารของจักรวรรดิทางกำแพงทิศเหนือ กล่าวกันว่ากองทัพมังกรผงาดของหลินมู่อวี่ได้มาถึงมณฑลหลิงหนานแล้ว เจ้าต้องระวังให้มาก หากพบพวกเขาเข้า จงหลีกเลี่ยงการปะทะและถอยทัพมายังกำแพงเหล็กทันที”
“กองทัพจักรวรรดิงั้นรึ?”
ซ๋งเชากระชับดาบในมือของเขาด้วยใบหน้าเย้ยหยัน “ท่านแม่ทัพติงไม่ได้ต่อสู้มานานจนอาจลืมจิตวิญญาณของผู้บัญชาการกองทัพไป เหตุใดเราต้องเกรงกลัวหลินมู่อวี่และกองทัพมังกรผงาดของมัน ท่านลืมไปแล้วหรือว่าศึกในเมืองหลันเหยี่ยน พวกกองทัพจักรวรรดิรวมถึงทหารมังกรผงาดเหล่านี้ถูกกองทัพเมืองสายัณห์ของเราฆ่าตายตกจนต้องหนีตายหัวซุกหัวซุนถึงเพียงใด หลินมู่อวี่ต่างหากที่ต้องหลีกเลี่ยงกองทัพของข้า หากได้พบเขา ท่านโปรดรอข้ากลับมาพร้อมหัวของหลินมู่อวี่เพื่อรับรางวัลได้เลยขอรับ”
ติงซี่กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ท่านผู้บัญชาการซ๋ง จงอย่าประมาทศัตรู”
“ท่านแม่ทัพติงวางใจเถิดขอรับ”
“อืม เข้ามาแล้วปิดม่านเสีย ให้คนของท่านออกไปก่อน”