The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 415 โล่ทรงกรวย
EP.415 โล่ทรงกรวย
วันรุ่งขึ้นมีหมอกสีขาวปกคลุมเหนือป่าของมณฑลหลิงเป่ย มองออกไปไกลจะพบเทือกเขาฉินสีเขียวขจีตั้งตระหง่านระหว่างผืนโลกและท้องนภา มีป้อมปราการกำแพงสีขาวอยู่ในหุบเขา นั่นคือเมืองหน้าด่านเจียหยวน ซึ่งเป็นหนึ่งในปราการหลักบนเทือกเขาฉิน อีกทั้งยังเป็นพื้นที่สำคัญเชิงกลยุทธ์ที่นำไปสู่จักรวรรดิอี้เหอ
เสียงกีบเท้าม้าดังขึ้นเล็กน้อยขณะที่หลินมู่อวี่ถือทวนดอกหลีฮวาขี่ม้าไปด้านหน้ากองทัพ เขาแผ่ทักษะชีพจรวิญญาณออกไปพร้อมกวาดตามองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และกล่าวว่า “ที่นั่น…”
เว่ยโฉวดึงศรเศวตรมณีออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมทำตามคำสั่งของหลินมู่อวี่
“ฟุ่บ!”
อสูรเกราะล้มลงจากพุ่มไม้พร้อมกุมมือไว้ที่คอ เนื่องจากถูกศรเศวตรมณีพุ่งทะลุลำคอจนเสียชีวิตทันที พวกมันเป็นอสูรเกราะที่ถูกส่งมาสอดแนม แม้จะมีปัญญาโง่เขลา แต่กลับเชี่ยวชาญทางการทหารอย่างน่าเหลือเชื่อที่สามารถส่งนักรบมาลาดตระเวนและสอดแนมพวกเขาเช่นนี้
“มีอีกหรือไม่ขอรับ?” เว่ยโฉวเอ่ยถามพลางกราดตามอง
หลินมู่อวี่ส่ายหัว “ไม่ ข้าจะเริ่มโจมตีเมืองหน้าด่านเจียหยวนในไม่ช้า เจ้าไม่ต้องให้ความสนใจกับมันอีก เมื่อใดที่อยู่ห่างราวสองร้อยเมตร จงใช้กำลังแขนของเจ้าสังหารอสูรเกราะยศสูงบนกำแพงทันที แล้วพวกมันจะออกจากเมืองเพื่อไล่ล่าเรา”
“ขอรับท่านผู้บัญชาการ”
แต่ความจริงกลับไม่เป็นดังที่หลินมู่อวี่คาดคิด เมื่อมาถึงเมืองหน้าด่านเจียหยวน มันกลับเต็มไปด้วยหมอกหนาจนไม่สามารถมองเห็นอสูรเกราะบนกำแพงได้ พวกเขาได้ยินเพียงเสียงใบมีดและชุดเกราะที่กระทบกันดังออกจากป้อมปราการเท่านั้น ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังระดมกองทัพ เว่ยโฉวกล่าวอย่างตื่นตระหนก “ข้ามองไม่เห็นสิ่งใดเลย ควรทำอย่างไรดีขอรับ?”
“ไม่เป็นไร ข้าจะจัดการเอง”
หลินมู่อวี่ขี่ม้าออกไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้าพร้อมยกมือขึ้นภายใต้สายตานับพันของทหารกองทัพมังกรผงาด พลังขอบเขตปราชญ์และปราณยุทธ์พวยพุ่งอย่างรวดเร็วควบแน่นเป็นพายุหมุนบนใบดาบ ทันใดนั้นเมฆหมอกพลันหมุนวนอย่างบ้าคลั่งภายใต้การควบคุมของปราณ “ฟิ้ว” ทัศนวิสัยระยะสิบเมตรรอบป้อมปราการเด่นชัดขึ้นทันใด
“ยอดเยี่ยม!”
เว่ยโฉวปรบมือ ก่อนที่จะยกคันศรพร้อมง้างสาย “ฟิ้ว!” ศรเศวตรมณีพุ่งทะลุคออสูรเกราะยศนายกองบนป้อมปราการทันที สมแล้วที่เว่ยโฉวได้รับฉายาพลธนูอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ ทักษะการยิงธนูของเขาดีกว่าฉือยิงเล็กน้อย ช่างน่าเสียดายที่ฉือยิงเสียชีวิตในเมืองตงฉวง มิเช่นนั้นเขาคงกลายเป็นแม่ทัพผู้เก่งกล้าของจักรวรรดิอีกคน
หลินมู่อวี่ลอบถอนหายใจ ขณะเดียวกันประตูเมืองถูกเปิดออกพร้อมอสูรเกราะตะโกนเสียงดัง พวกมันวิ่งออกจากเมืองเพื่อไล่ล่าศัตรูด้วยความโกลาหล
“ค่อยๆ ถอยทัพ”
หลินมู่อวี่ดึงบังเหียนเพื่อกระตุ้นท่าเฉว่ให้ถอย ขณะเดียวกันเขาคว้าคันธนูอันล้ำค่าจากด้านข้างตัวม้าขึ้นมาพร้อมง้างสายเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวง “ฟิ้ว!” ลูกธนูลึกลับบินออกไปอย่างรวดเร็ว “ฉึก!” มันพุ่งทะลุเกราะของปีศาจและเจาะหัวอสูรเกราะด้านหลังทันที ช่างเป็นพลังที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง!
เว่ยโฉวและเฝิงสี่ชำเลืองมองกันและกันด้วยท่าทางตกตะลึง เฝิงสี่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “พลังของขอบเขตปราชญ์ทรงพลังโดยที่เราไม่อาจเทียบเทียมได้เลย…”
หลินมู่อวี่ควบม้าเข้ามาพร้อมยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องกังวล เจ้าจะสามารถก้าวขึ้นมาขอบเขตนี้สักวันหนึ่ง ไปกันเถิด หลอกล่อกองทัพอสูรเกราะไปยังกับดักที่เราทำไว้”
“ขอรับ!”
พระอาทิตย์ยามเช้าตรู่ในฤดูใบไม้ร่วงสาดส่องลงบนผืนป่าทำให้ผู้คนรู้สึกเกียจคร้าน แต่ทหารกองทัพมังกรผงาดกลับไม่ลดละความพยายาม พวกเขายิงธนูใส่กองทัพอสูรเกราะที่อยู่เบื้องหลังพร้อมควบม้ารักษาระยะห่าง พลังของอสูรเกราะช่างน่าทึ่งยิ่ง พวกมันสามารถขว้างหอก ขวานศึก และอาวุธต่างๆ ได้อย่างทรงพลังในระยะหนึ่งร้อยเมตร “ฉึก ฉึก ฉึก!!” ศาสตราวุธพุ่งทะลุสังหารทหารม้ากองทัพมังกรผงาดกว่าสิบนายในพริบตา
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว ความตายของทหารทุกนายทำให้หัวใจของเขาหนักอึ้ง สงครามแตกต่างจากการเล่นเกมโดยสิ้นเชิง และอสูรเกราะมีพลังน่าเกรงขามกว่าที่เขาคิดไว้มาก
กองทัพมังกรผงาดยิงลูกศรตอบโต้อย่างต่อเนื่อง จากนั้นผู้บัญชาการกองพันนายหนึ่งควบม้าเข้ามาพร้อมประสานหมัดรายงาน “ท่านผู้บัญชาการ กับดักและกล่องลูกศรเตรียมพร้อมแล้วขอรับ กล่องลูกศรอยู่ด้านขวาซึ่งผูกผ้าสีแดงเป็นเครื่องหมาย ส่วนด้านซ้ายคือกับดักพร้อมผูกผ้าสีขาว โปรดระวังตัวด้วยขอรับ…”
“เข้าใจแล้ว”
หลินมู่อวี่เลิกคิ้วพร้อมกล่าวว่า “ตามข้ามา ทันทีที่อสูรเกราะเข้ามาในระยะ จงใช้กล่องลูกศรยิงเพื่อบังคับมันให้ไปเส้นทางที่มีกับดัก”
“ขอรับท่านผู้บัญชาการ!”
สิ้นเสียงคำสั่ง ทหารม้ากองทัพมังกรผงาดนับพันควบม้าติดตามหลินมู่อวี่ผ่านช่องว่างระหว่างผ้าสีขาว เมื่อทั้งหมดผ่านเข้าไป ก็มีเสียงดังขึ้นจากอสูรเกราะด้านหลังราวสามพันตน พวกมันล้วนถือศาสตราวุธพร้อมคำรามอย่างบ้าคลั่ง
“กล่องลูกศร พร้อมยิง!” นายกองออกคำสั่งเสียงดัง ทันใดนั้น! กล่องลูกศรเกือบห้าสิบชิ้นปล่อยลูกศรเหล็กห้าพันดอกออกมาอย่างน่าเกรงขาม!
“ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ!!”
เลือดสาดกระเซ็นทั่วบริเวณ พลังการยิงระยะใกล้น่าหวาดหวั่นยิ่ง ลูกศรเหล็กพุ่งทะลุร่างอสูรเกราะจนตรึงอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ขณะที่อสูรเกราะที่โชคดีไม่โดนโจมตีทำได้เพียงยืนตะลึงงัน เนื่องจากไม่เคยเห็นอานุภาพกล่องลูกศรของมนุษย์ จากนั้นพวกมันวิ่งหลบไปทางซ้ายเพื่อไล่ล่าหลินมู่อวี่ทีละตัว
แท้จริงแล้ว หากอสูรเกราะเข้าโจมตีกล่องลูกศร พวกมันสามารถสังหารทหารกองทัพมังกรผงาดภายในสองนาที แต่น่าเสียดายที่อสูรเกราะเหล่านี้รู้สึกเกรงกลัวพลังของกล่องลูกศรตามดังหลินมู่อวี่คาดคิด
กล่องลูกศรอยู่ทางด้านขวา…ขณะที่ด้านซ้ายมีกับดักติดตั้งอยู่ ในพริบตาอสูรเกราะที่วิ่งมาอย่างบ้าคลั่งตกลงสู่หลุมลึกราวแปดเมตรทันที ไม่ว่าพวกมันจะพยายามกระพือปีกมากเพียงใด ก็ไม่อาจบินขึ้นไปปากหลุมได้
“ชิ้ง!”
หลินมู่อวี่ชักกระบี่พร้อมออกคำสั่ง “พวกมันตกหลุมพรางแล้ว ยิงให้สิ้น อย่าให้เหลือแม้แต่ตัวเดียว!”
“ขอรับ!”
กลุ่มทหารกองทัพมังกรผงาดควบม้าล้อมรอบหลุมกับดัก ก่อนจะปล่อยลูกศรอย่างรวดเร็วโดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสจะต่อต้าน พริบตาเดียวอสูรเกราะหลายร้อยตัวก็ถูกสังหารจนหมด
อสูรเกราะตรงข้ามหลุมห่างออกไปราวห้าสิบเมตรต่างตะลึงงัน ขณะที่อสูรเกราะยศนายพลยืนตัวสั่นสะท้านพร้อมมองไปยังหลินมู่อวี่ด้วยดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขายกหอกขึ้นพร้อมคำรามเสียงก้อง
ทันใดนั้นเหล่าอสูรเกราะที่เหลือรอดเริ่มถอยหนีทีละตัว
ครานี้พวกมันถอยหนีโดยไม่ตอบโต้…
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วมองกลุ่มอสูรเกราะหนีไป สายตาของนายพลเผ่าปีศาจทำให้เขาสั่นสะท้านเล็กน้อย อสูรเกราะเหล่านี้ไม่ได้โง่เขลา พวกมันพัฒนาสติปัญญามากขึ้นทีละน้อย สายตาที่ส่งมานั้นไม่ได้มีเพียงความโกรธเกรี้ยว แต่เป็นการเตือนว่าพวกมันกำลังรอการกลับมาแก้แค้นพร้อมกับกองทัพอสูรเกราะทั้งหมด!
เว่ยโฉวค่อยๆ ลดคันศรในมือลงพร้อมยิ้มอย่างไม่เชื่อสายตา “ท่านผู้บัญชาการ ระ…เราชนะแล้ว…เราสามารถเอาชนะกองทัพอสูรเกราะจริงๆ…”
หลินมู่อวี่พยักหน้ารับ
ทันใดนั้นฝูงชนพลันโห่ร้องยินดี นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่มนุษย์สามารถเอาชนะอสูรเกราะบนพื้นราบ แม้ว่าจะต้องพึ่งพาพลังของกล่องลูกศรและหลุมพราง กระนั้นก็เป็นชัยชนะที่ใหญ่ยิ่ง ศึกครานี้เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่ากองทัพอสูรเกราะไม่ได้เป็นเจ้าแห่งสนามรบอีกต่อไป
เมื่อบันทึกผลของสงครามก็พบว่า นักรบอสูรเกราะหนึ่งพันหนึ่งร้อยยี่สิบแปดตนถูกสังหาร แม้จะเป็นศึกที่ได้เปรียบยิ่ง กระนั้นพวกมันยังสามารถพรากชีวิตทหารกองทัพมังกรผงาดเกือบร้อยนาย ทำให้พลังการต่อสู้อันแข็งแกร่งของอสูรเกราะเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาทุกคน
จากนั้นทุกคนช่วยกันถอนเขี้ยวอสูรเกราะเพื่อนำไปแลกรางวัล พร้อมรวบรวมชุดเกราะและอาวุธ เนื่องจากเครื่องมือเหล็กเหล่านี้ล้วนแล้วเป็นสมบัติล้ำค่า
ใบหน้าของเว่ยโฉวเต็มไปด้วยความสุข แต่เมื่อหันมองหลินมู่อวี่ เขาประหลาดใจเล็กน้อยพร้อมเอ่ยถาม “ผู้บัญชาการ เหตุใดจึงดูมัวหมองเช่นนั้น?”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วตอบกลับ “ข้ากังวลว่าสงครามครั้งถัดไปเราจะต้องเสียเปรียบ”
“โอ้? ท่านพูดถึงสิ่งใดหรือ?”
“อสูรเกราะฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ หากเราเข้าไปยั่วยุมันก่อน ข้าเกรงว่าพวกมันจะไม่ไล่ตามออกมาอีกแล้ว แต่เราจำเป็นต้องได้รับชัยชนะจากเมืองหน้าด่านโม่ซงและเจียหยวน เว่ยโฉว…หากต้องเผชิญหน้าตัวต่อตัวกับอสูรเกราะระดับสูงในสนามรบ เราจะมีโอกาสชนะหรือไม่? อีกทั้งพวกมันยังมีกองกำลังอย่างน้อยห้าพันตัว…”
“เรื่องนั้น…”
เว่ยโฉวขมวดคิ้วกล่าว “ผู้บัญชาการพูดถูก ข้าน้อยไม่เคยนึกถึงกระทั่งตอนนี้…”
“ไปกันเถิด กลับไปดูว่าศึกของฉินเหยียนเป็นอย่างไร
“ขอรับ!”
…
พวกหลินมู่อวี่เดินทางกลับไปเมืองปู้กู่ จากนั้นไม่นานกองทัพมังกรผงาดห้าพันนายที่นำโดยฉินเหยียนเดินทางกลับมาเช่นกัน แต่เหลือทหารเพียงสี่พันห้าร้อยนายเท่านั้น พวกเขาสังหารอสูรเกราะกว่าหนึ่งพันสามร้อยตนด้วยกับดัก แต่สูญเสียทหารเกือบห้าร้อยนาย ซึ่งกลายเป็นชัยชนะที่ขมขื่นยิ่ง…
ช่วงบ่ายภายในกระโจมหลักของกองทัพมังกรผงาด กลุ่มนายพลนั่งแยกเป็นสองฝั่งรอคำสั่งของหลินมู่อวี่หลังเสร็จสิ้นสงคราม
หลินมู่อวี่เช็ดกระบี่วิญญาณมังกรอย่างระมัดระวัง เขาทาน้ำมันบนใบดาบและเช็ดซ้ำไปซ้ำมา
“ท่านผู้บัญชาการ ทุกคนอยู่ที่นี่แล้วขอรับ” เว่ยโฉวเอ่ยเตือน
“โอ้”
หลินมู่อวี่วางกระบี่เล่มยาวลงบนกล่องพร้อมลุกขึ้นยืนเพื่อกล่าว “ในช่วงเช้า ทุกคนต่างได้เห็นพลังของเผ่าปีศาจแล้ว หากมีสิ่งใดจะกล่าว โปรดกล่าวออกมา”
เฝิงสี่กล่าว “ท่านผู้บัญชาการ เราไม่สามารถต่อสู้กับอสูรเกราะในป่าได้เลย แม้พวกมันจะมีเพียงห้าพันตน กระนั้นก็ยังไม่อาจต่อกรได้อย่างสูสี”
“อืม” หลินมู่อวี่พยักหน้า “แล้วเราควรทำอย่างไร?”
นายพลคนหนึ่งพลันประสานหมัดกล่าว “ท่านผู้บัญชาการ ท้ายที่สุดเราคิดหาวิธีเอาชนะอสูรเกราะบนพื้นราบให้ได้”
“โอ้?”
หลินมู่อวี่เงยหน้าขึ้นมองก็พบว่า ชายผู้นี้เป็นคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์นามว่าฉือเจี้ยนเทา เขาสู้รบอย่างกล้าหาญจนหลินมู่อวี่เลื่อนยศให้เป็นผู้บัญชาการกองพัน
“นายพลฉือมีข้อเสนอแนะใดหรือ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม
ฉือเจี้ยนเทากล่าวด้วยความเคารพ “ผู้บัญชาการ ข้าน้อยได้เผชิญหน้ากับอสูรเกราะบนพื้นราบหลายครั้ง และสังเกตได้ว่าเกราะของพวกมันแข็งแกร่งมากจนดาบฟันไม่เข้า พวกมันหนึ่งตัวมีพลังเทียบเท่ากับมนุษย์ขอบเขตปฐพีชั้นที่สอง และการโจมตีส่วนใหญ่คือการใช้หอกเหล็กแทงทะลุร่างคู่ต่อสู้ แต่โล่ของทหารกองทัพมังกรผงาดส่วนใหญ่เป็นโล่กลม โล่กระดองเต่า และโล่เหล็ก ซึ่งสามารถทะลวงได้ง่ายด้วยหอกของเผ่าปีศาจ ดังนั้นข้าน้อยจึงอยากแนะนำให้พวกเราใช้…โล่ทรงกรวย”
………………………………….