The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 411 กลยุทธ์หลอกล่อ
EP.411 กลยุทธ์หลอกล่อ
หมอกลอยปกคลุมเมืองหลันเยี่ยนในเวลาเช้าตรู่ ฉินอินเดินออกจากตำหนักเจ๋อเทียนพร้อมหลินมู่อวี่ภายใต้การดูแลของหญิงรับใช้ หลินมู่อวี่สวมเครื่องแบบทหารระดับสูงของจักรวรรดิสีน้ำเงินเข้มและมีเกราะหนักสีเงินด้านนอกอีกชั้น จากนั้นสวมผ้าคลุมสีขาวด้านหลัง เขาหนีบหมวกสีเงินไว้ใต้แขนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวอินไม่ต้องออกไปส่งหรอก พวกเราจะเคลื่อนทัพออกไปทันที และคงถึงเมืองปู้กู่ในอีกหนึ่งวัน”
“ระวังตัวให้ดี…” ดวงตาคู่งามหม่นหมอง
“ไม่ต้องกังวล”
หลินมู่อวี่เต็มไปด้วยความมั่นใจ “ข้าเคยเผชิญหน้ากับพวกปีศาจแล้ว อีกทั้งเหล่ยฉงไม่ได้ปราดเปรื่องและกล้าหาญเช่นเฉียนเฟิง ดังนั้นไม่ต้องกังวล แต่เจ้าต้องระวังชายฝั่งแม่น้ำต้าวเจียงให้ดี ส่งกองกำลังประจำการที่กำแพงเหล็กเพื่อป้องกันเฉียนเฟิงเคลื่อนทัพจากเมืองตงฉวงมาโจมตีมณฑลชางหนาน”
“อือ ข้ารู้” ฉินอินยิ้มหวานพร้อมเดินไปด้านหน้า นางยกแขนโอบรอบคอหลินมู่อวี่อย่างอ่อนโยนและกระซิบข้างหูแผ่วเบา “ข้าจะคิดถึงเจ้านะ”
กลิ่นหอมของเด็กสาวอบอวลใต้จมูก หัวใจของหลินมู่อวี่เต้นแรง ขณะที่เหล่าขุนนางพากันจับจ้อง…
นายพลสามนายด้านหลัง เว่ยโฉว ฉินเหยียน และเฝิงสี่กล่าวยิ้ม “ผู้บัญชาการ เราจะออกเดินทางเมื่อใด?”
“ทันที…” หลินมู่อวี่หันมองฉินอิน
ฉินอินผละออกจากอ้อมกอดพร้อมใบหน้าแดงก่ำ “ข้าจะรอเจ้าอยู่ในเมืองหลันเยี่ยน หวังว่าจะได้รับชัยชนะกลับมา”
“อืม…”
หลังจากขึ้นม้า หลินมู่อวี่ดึงบังเหียนพร้อมพูดว่า “เคลื่อนทัพ!”
เว่ยโฉวนำหน้าทหารกองทัพมังกรผงาดกว่าร้อยนายเคลื่อนตัวออกไปทางประตูทิศใต้ของเมืองหลันเยี่ยน ขณะที่เฟิงจี้สิงพร้อมรองผู้บัญชาการสองนายจางเหว่ยและหลัวอวี่เดินเข้ามา
“อาอวี่ มณฑลดาราเป็นดินแดนที่หลานกงดูแล หลังจากเข้าไปเจ้าต้องระวังตัวให้ดี” เฟิงจี้สิงกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “ทหารรักษาการณ์ของเมืองเหลิ่งซิงและเมืองปู้กู่ล้วนเป็นคนของเขา เจ้าไม่จำเป็นต้องผูกมิตรกับใคร และจงเรียนรู้ที่จะป้องกันตนเองเมื่อเข้าไปซะ”
“อื้ม” หลินมู่อวี่พยักหน้ารับ
เฟิงจี้สิงกล่าวต่อ “ข้าจะดูแลเสบียงอาหาร อุปกรณ์ และสิ่งต่างๆ ของกองทัพมังกรผงาด แล้วให้จางเหว่ยนำทหารกองทัพองครักษ์นำไปส่งให้ พร้อมทั้งส่งหลัวอวี่นำทหารม้าของกองทัพองครักษ์เข้าไปประจำการที่ชายแดนทิศใต้ของมณฑลหลิงเป่ยเพื่อคอยช่วยเหลือเจ้าได้ตลอดเวลา เนื่องจากพวกเขาจะใช้เวลาเพียงครึ่งวันในการเดินทางจากที่นั่นไปยังเมืองปู้กู่”
“ขอบคุณมากพี่เฟิง ข้าจะระวังตัว”
“เมื่อเจ้าไปถึงเมืองปู้กู่ครานี้ อาจต้องพบกับเผ่าปีศาจ หรืออาจเป็นจักรวรรดิอี้เหอ เช่นนั้นเจ้าวางแผนรับมืออย่างไร?”
“ปีศาจเป็นศัตรูที่เดิมพันด้วยชีวิต และจำเป็นต้องต่อสู้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนจักรวรรดิอี้เหอ...” ดวงตาหลินมู่อวี่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “หลงเซียนหลินมอบความตายให้พี่ใหญ่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ซึ่งเป็นความเกลียดชังที่รอคอยการชำระ อีกทั้งข้าได้เห็นการนองเลือดในเมืองหลันเยี่ยนแล้ว…วางใจเถิด ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”
“อืม เช่นนั้นข้าก็วางใจ” เฟิงจี้สิงมองหลินมู่อวี่อย่างลึกซึ้งพร้อมกล่าวว่า “อาอวี่ อย่าไว้ใจคนจากจักรวรรดิอี้เหอ อย่าพยายามเป็นมิตรกับพวกมัน ฆ่าให้หมดหากทำได้ และอย่าคิดจะเมตตากับมัน”
“เข้าใจแล้ว”
หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อย “ข้าหลับใหลในความตายมาตลอดสามปี และได้ลิ้มรสถึงความเจ็บปวดของการสูญเสียผู้เป็นที่รัก ไม่ต้องกังวล ข้าเปลี่ยนไปแล้ว เช่นนั้นพี่เฟิงรอข้ากลับมาเพื่อดื่มด้วยกันอีกครั้ง…”
“ดี”
หลังจากกองทัพเคลื่อนทัพออกจากประตูทิศใต้ทั้งหมดแล้ว เฟิงจี้สิงไม่ได้ออกไปส่งต่อ อย่างไรก็ตามเขาเป็นผู้บัญชาการกองทัพองครักษ์และไม่อาจทิ้งหน้าที่ของตนได้
…
ด้านนอกประตู ทหารม้ากองทัพมังกรผงาดสองหมื่นนายยืนสงบนิ่งท่ามกลางหมอกหนา เมื่อหลินมู่อวี่ขี่ม้าผ่าน ทุกคนต่างหันมองและควบม้าตามออกไป ด้านหลังกองทัพมีขบวนเกวียนส่งเสบียงของซือหลิงผู้เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมเคลื่อนตัวออกไปอย่างเชื่องช้า เมืองปู้กู่อยู่ห่างจากเมืองหลันเยี่ยนเพียงเจ็ดร้อยไมล์ ซึ่งแตกต่างจากเมืองตงฉวงที่ไม่มีเส้นทางเข้าถึง ทำให้อาหารและหญ้าไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับการเดินทัพครานี้
บนถนนสายหลักเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าม้า ชุดเกราะและศาสตราวุธของทหารกองทัพมังกรผงาดถูกหลอมขึ้นใหม่ทั้งหมด หลินมู่อวี่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากในการสร้างกองทหารม้าที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิ ธงโบกสะบัดทั่วท้องนภา ขณะที่ใบหน้าของเหล่าทหารเต็มไปด้วยความปีติและภาคภูมิใจ เนื่องจากพวกเขาเป็นกองทัพแห่งจักรวรรดิ เป็นกองทัพที่ปกป้องประชาชน ซึ่งแตกต่างจากจักรวรรดิอี้เหอและเผ่าปีศาจที่ชั่วร้าย
เหตุการณ์นองเลือดในเมืองหลันเยี่ยนทำให้ผู้คนรวมใจเป็นหนึ่งเพื่อราชวงศ์ฉิน
กองทัพเคลื่อนผ่านหมู่บ้านและเมืองขนาดเล็กตลอดทางจนถึงเวลาพลบค่ำ ไกลออกไปมีเมืองตั้งสูงตระหง่านอยู่บนที่ราบใต้แสงอาทิตย์พร้อมหมู่บ้านนับพันรายล้อมราวกับปราการ มันคือมหานครแห่งมณฑลดารา…เมืองเหลิ่งซิง กองทัพมังกรผงาดควบม้าตลอดทั้งวัน จึงจำเป็นต้องพักผ่อนชั่วคราวด้านนอกเมือง ก่อนหน้านี้มีการส่งทหารหลายนายเข้าไปในเมืองเหลิ่งซิง พวกเขาจึงออกจากเมืองมารอต้อนรับ จากนั้นหน่วยวิญญาณอัคนีหุงหาอาหารให้กับกองทัพจนควันไฟลอยคลุ้ง
หลินมู่อวี่ลงจากท่าเฉว่พร้อมออกคำสั่ง “ลงจากม้าแล้วพักผ่อน อีกครึ่งชั่วโมงเราจะออกเดินทางทันที”
“ขอรับ”
เว่ยโฉว ฉินเหยียน เฝิงสี่ และคนอื่นๆ พยักหน้ารับพร้อมลงจากม้า จากนั้นทหารม้ากองทัพมังกรผงาดค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เมืองเหลิ่งซิง
ทันทีที่กองทัพเดินทางมาถึง ประตูเมืองเหลิ่งซิงเปิดออกอย่างเชื่องช้าพร้อมมีทหารม้าออกมา หัวหน้ากลุ่มเป็นชายอายุราวห้าสิบปีประดับดาวสีทองสามดวงบนหน้าอก เขาเป็นนายพลอาวุโสที่ใบหน้าปกคลุมไปด้วยรอยบาดแผล เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นทหารที่ผ่านศึกสงครามมา เขาลงจากม้าและประสานหมัดด้วยความเคารพ “ผู้ว่าการมณฑลดาราและผู้บัญชาการกองทัพเมืองเหลิ่งซิง…ถังฉี ขอคารวะท่านผู้บัญชาการหลินขอรับ”
เขาเป็นคนของตระกูลถัง และเป็นคนที่ถังหลานจัดไว้เพื่อประจำการในมณฑลดารา
หลินมู่อวี่วางชามข้าวต้มลงบนโต๊ะด้านข้าง พร้อมประสานหมัดรับด้วยความเคารพ “คารวะท่านผู้บัญชาการถังฉี”
ถังฉีหัวเราะพร้อมกล่าวว่า “ชายเฒ่าเคยได้ยินชื่อเสียงอันทรงเกียรติของสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยนมาก่อน ครานี้ได้พบกับผู้บัญชาการหลินด้วยตาของตนเอง ช่างน่าตกใจที่ท่านเป็นแม่ทัพหนุ่มรูปงามและกล้าหาญเช่นนี้”
“ผู้บัญชาการถังฉียกย่องข้าเกินไป” หลินมู่อวี่ยิ้ม “คงเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับท่านในการป้องกันมณฑลดาราซึ่งเป็นประตูทางเหนือของจักรวรรดิเช่นนี้”
“ถูกต้อง” ถังฉีกล่าว “เมื่อสองวันก่อน เผ่าปีศาจบุกป้อมปราการบนเทือกเขาฉินซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของหลงเซียนหลิน จนจักรวรรดิอี้เหอพ่ายแพ้ไป ทำให้เทือกเขาฉินทั้งหมดตกอยู่ในกำมือของพวกมัน จากนั้นหน่วยสอดแนมกลับมารายงานว่ามีร่องรอยของกองทัพอสูรเกราะบนเทือกเขาอยู่ห่างจากเมืองปู้กู่ไม่ถึงห้าสิบไมล์เท่านั้น ข้าจึงได้ส่งทหารฝีมือดีหนึ่งหมื่นนายไปสมทบ”
หลินมู่อวี่พยักหน้าพร้อมเอ่ยถาม “ท่านถังฉี เมืองปู้กู่มีกองกำลังอยู่เท่าใด?”
“เดิมทีมีค่อนข้างน้อย เมื่อรวมกับกองทหารจากมณฑลดาราหนึ่งหมื่นนายจะเป็นจำนวนราวสองหมื่นนาย หากเกิดสงครามขึ้น มณฑลดาราจะส่งทหารฝีมือดีสี่หมื่นนายพร้อมทหารเกณฑ์สามหมื่นนายเข้าสมทบ ผู้บัญชาการหลินโปรดวางใจ”
“แล้วเผ่าปีศาจมีจำนวนเท่าใด?”
“เฮอะ! กองทัพเหล่ยฉงของเผ่าปีศาจกำลังยุ่งกับการเข่นฆ่าผู้คนในสามเมืองหลักของจักรวรรดิอี้เหอที่ไม่ได้รับการป้องกันจากกำแพงเหล็ก ดังนั้นผู้บัญชาการหลินโปรดวางใจ กองกำลังอสูรเกราะของพวกมันบนเทือกเขาฉินคงมีไม่เกินหนึ่งหมื่นตนเท่านั้น”
“นั่นเป็นกองกำลังที่น่าเกรงขามยิ่ง”
หลินมู่อวี่พยักหน้าพร้อมคร่ำครวญ “ผู้บัญชาการถังฉี หากเป็นไปได้โปรดส่งทหารเพิ่มอีกสองหมื่นนายเพื่อสมทบในเมืองปู้กู่ เมื่อใดที่มีโอกาสเราจะโจมตีเทือกเขาฉินและยึดกลับมา แล้วเราจะใช้ประโยชน์นั้นในการฟื้นฟูหลายเมืองที่อยู่ติดกับเทือกเขาให้กลับสู่แผ่นดินของจักรวรรดิอีกครั้ง”
ดวงตาถังฉีเป็นประกาย “ท่านหลินกำลังจะ…โจมตีจักรวรรดิอี้เหอหรือ?”
“จักรวรรดิอี้เหอเป็นเพียงกลุ่มกบฏ ดินแดนของพวกมันเดิมทีเป็นของจักรวรรดิฉิน เราเพียงกอบกู้แผ่นดินคืนมา ก่อนที่ข้าจะมา ข้าได้รับสั่งจากจักรพรรดินีฉินอิน ตราบใดที่ได้รับอนุญาต เราสามารถโจมตีและป้องกันได้”
หลินมู่อวี่มองถังฉีพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าท่านจะเป็นคนของหลานกง กระนั้นก็เป็นทหารแห่งจักรวรรดิ เกียรติยศจากคุณความดีในการปกป้องมณฑลดาราและกอบกู้แผ่นดินที่สูญเสียไปยิ่งใหญ่เพียงใด ข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดถึง”
ดวงตาถังฉีเปล่งประกาย “ข้ายินดีรับฟังคำสั่งท่านผู้บัญชาการขอรับ…”
“อืม ส่งทหารฝีมือดีอีกสองหมื่นนายไปเมืองปู้กู่และฟังคำสั่งข้า เมื่อศึกจบสิ้นข้าจะรายงานคุณความดีของเจ้าที่ตำหนัก”
“ขอรับ”
…
หลังทานอาหารเสร็จก็ถึงเวลาเคลื่อนทัพต่อ ทหารกองทัพมังกรผงาดสองหมื่นนายขึ้นม้าเตรียมพร้อม เมื่อหลินมู่อวี่ออกคำสั่ง พวกเขาพลันเคลื่อนทัพออกไปตามถนนสายหลักมุ่งหน้าไปยังเมืองปู้กู่ที่ชายแดนทางใต้ของจักรวรรดิ
สองชั่วโมงถัดมา มีทหารจากเมืองปู้กู่ปรากฏตัวขึ้นบนถนนสายหลักเพื่อต้อนรับ ไม่นานพวกเขาก็เดินทางถึงเมือง
เมืองปู้กู่มีลักษณะเดียวกับเมืองห้าหุบเขาที่มีความเจริญรุ่งเรืองจากการทำเกษตรและประมง กระนั้นก็เป็นเพียงเมืองเล็กๆ เท่านั้น ซึ่งหาเปรียบได้ไม่กับเจ็ดเมืองใหญ่ชื่อก้อง อีกทั้งยังเล็กกว่าเมืองเหลิ่งซิงและอ่อนแอกว่า กองกำลังเมืองปู้กู่เข้าต้อนรับหลินมู่อวี่ก่อนที่จะได้เข้าเมือง แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นนายพลของเมืองชีไห่ แต่เขากลับสุภาพมาก แตกต่างกับถังลู่และถังเทียนที่หยิ่งยโสอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเข้าไปในเมือง หลินมู่อวี่รับหน้าที่ปกป้องเมืองและกิจการทางการเมืองที่สำคัญทั้งหมด ฉินอินขอให้เขามาที่เมืองปู้กู่แห่งนี้ เขาจึงไม่สามารถกลับไปมือเปล่า อย่างน้อยจะต้องกอบกู้มณฑลดาราคืนสู่จักรพรรดินีฉินอินให้ได้
…
กลางดึก หลินมู่อวี่พาเว่ยโฉวและฉินเหยียนออกไปลาดตระเวนเพื่อตรวจสอบการป้องกันของเผ่าปีศาจบนเทือกเขาฉิน
เหล่ยฉงเป็นเพียงคนโง่ที่กล้าหาญ ขณะนี้เขานำกลุ่มอสูรโง่เง่ากลุ่มหนึ่งเข้าไปในดินแดนจักรวรรดิอี้เหอเพื่อเข่นฆ่าและปล้นสะดม และทิ้งอสูรโง่อีกกลุ่มไว้เพื่อปกป้องเทือกเขา เจ้าพวกนั้นคงไม่ฉลาดนัก นี่จึงกลายเป็นโอกาสสำหรับหลินมู่อวี่ในการเข้ายึดครองเทือกเขาฉิน
ทั้งสามซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ เปลวไฟแกว่งไปมาบนเทือกเขาฉิน กระโจมของอสูรเกราะค่อนข้างเรียบง่าย ซึ่งสร้างจากหญ้าและเถาวัลย์ มีอสูรเกราะกว่าครึ่งนอนหลับอยู่ในพื้นที่โล่ง ดูเหมือนพวกมันจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก สิ่งที่ถังฉีกล่าวเป็นความจริง พวกมันมีกองกำลังราวหนึ่งหมื่นตนเท่านั้น
“พี่ใหญ่ ข้าคิดว่า…” ดวงตาของฉินเหยียนเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของนักสู้ขณะที่กล่าวว่า “พรุ่งนี้เราสามารถส่งกองทหารเข้าโจมตีเทือกเขาฉินในเวลารุ่งสาง กองทัพมังกรผงาดล้วนแล้วฝีมือยอดเยี่ยม และไม่เกรงกลัวต่ออสูรเกราะหนึ่งหมื่นตนเหล่านี้”
“ไม่ได้”
หลินมู่อวี่ส่ายหัว “ข้าไม่ต้องการสูญเสียกำลังทหารกับการเข้ายึดเทือกเขาฉิน กลับกันเถิด พรุ่งนี้ข้าจะส่งทหารม้าเกราะเบาไปยั่วยุพวกปีศาจให้เข้าโจมตีเมืองปู้กู่ จากนั้นเราจะลองใช้กล่องลูกศรที่หน่วยสรรพาวุธพัฒนาขึ้น”
“ขอรับ…”
………………………………….