The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 410 ออกเดินทางอีกครั้ง
EP.410 ออกเดินทางอีกครั้ง
“โฮก...”
กลางดึกเกิดสียงคำรามดังก้องขึ้นในป่าทึบ อสูรเกราะจำนวนมากปรากฏตัวทางทิศเหนือของเทือกเขาฉิน ในมือของพวกมันถือบันไดสีดำมาเพื่อใช้ปีนหน้าผาสูงชัน
ผู้รักษาการณ์ของจักรวรรดิอี้เหอซึ่งอยู่บนเทือกเขาฉินสะดุ้งตื่นทันทีที่สัมผัสได้ เมื่อลืมตาเขาเห็นคบเพลิงกวัดแกว่งไปมาจากที่ไกลๆ ผู้บัญชาการกองหมื่นลุกยืนพร้อมกระชับดาบในมือและตะโกนลั่น “ทหารตื่น! พวกอสูรมาแล้ว!”
เหล่าทหารจักรวรรอี้เหอลุกขึ้นด้วยความงัวเงียก่อนเบิกตากว้างเมื่อเห็นประกายคบเพลิงจากระยะไกล “เจ้าอสูรพวกนี้ มันถืออะไรกัน?”
“บะ…บันได… พวกมันใช้บันไดเพื่อบุกโจมตีเป็นแล้วงั้นรึ…”
“เตรียมก้อนหิน เราต้องหยุดมัน!”
“ขอรับ!”
…
หินถูกปล่อยให้กลิ้งลงไปยังก้นเขา ทว่าครานี้เหล่าอสูรเตรียมพร้อมมาอย่างดี แขนซ้ายของอสูรเกราะแต่ละตัวล้วนมีโล่เหล็กหล่อใหม่ซึ่งถูกยกขึ้นป้องกันตัวของพวกมัน “ปั้ง ปั้ง ปั้ง!” หินเด้งกระทบโล่ดังสนั่นจนเกิดประกายไฟสว่างวาบท่ามกลางความมืดก่อนจะกลิ้งตกเขาไปทีละก้อน เหล่าอสูรเกราะถูกธนูยิงโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นพวกมันเริ่มวางบันไดยาวพาดเทือกเขาฉินอันสูงชันพร้อมคำรามและเริ่มการโจมตี
“ฉิบหายแล้ว!”
ผู้บัญชาการกล่าวออกอย่างโกรธเคือง “พลธนูอย่าหยุดยิง กองทหารโล่หนักขึ้นไปกับข้า เหล่าปีศาจต้องถูกขับไล่ อย่าให้พวกมันปีนเทือกเขาฉินขึ้นมาได้!”
“ขอรับ ท่านผู้บัญชาการ!”
ภายใต้แสงจันทร์ เหล่าทหารโล่หนักยกโล่ของตนขึ้นพร้อมถือดาบเหล็กด้วยมือขวา ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ทว่าก็หวาดกลัวในเวลาเดียวกัน เผชิญหน้ากับเหล่าอสูรเกราะจำนวนนับไม่ถ้วน มีหรือผู้ที่จะไม่กลัว?
“พวกมันขึ้นมาแล้ว…”
ทันใดนั้นเหล่าอสูรเกราะที่กำลังปีนบันไดพลันกางปีกออกและพุ่งทะยานสู่เทือกเขาฉิน
“โจมตี!”
ผู้บัญชาการกองหมื่นรีบพุ่งตัวออกไปพร้อมดาบคู่ในมือ เขาฟาดดาบโจมตีอสูรเกราะอย่างรุนแรงจนมันตกหน้าผาไปก่อนตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “จงยืนหยัดสู้ ห้ามถอยเด็ดขาด!”
“ขอรับท่านผู้บัญชาการ!”
เหล่าทหารฆ่าอสูรเกราะไปตัวแล้วตัวเล่า ทว่าพวกมันกลับบินขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ แม้อสูรเกราะจะบินได้สูงเพียงยี่สิบเมตร แต่ก็เพียงพอที่จะสร้างความเสียหายมหาศาลให้แก่กองทัพทหาร ไม่นานนัก เหล่าอสูรเกราะหลายสิบตัวก็ปรากฏตัวท่ามกลางเหล่าทหารโล่หนัก พวกมันกวัดแกว่งตะบองทุบตีพวกเขาอย่างน่าสะพรึงกลัว
“ไอ้พวกเดรัจฉาน...”
ผู้บัญชาการกองหมื่นรีบพุ่งตัวไปฟาดดาบลงกลางหัวของอสูรเกราะอย่างโกรธเกรี้ยว ทันใดนั้นเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างที่กำลังมาจากทางด้านหลัง เขารีบหันกลับไปหวังโจมตี…
“เคร้ง!”
ปลายดาบถูกป้องกันโดยโล่เหล็ก ภายใต้แสงจันทร์ อสูรเกราะในชุดศึกนายพลจ้องมองเขา มันคือจอมพลกองทัพที่สองแห่งเผ่าปีศาจ…เหล่ยฉง!
ขวานศึกถูกยกขึ้นพร้อมทุบเข้าที่หัวของผู้บัญชาการกองหมื่น “ฉึก!” ความแข็งแกร่งของเหล่ยฉงนั้นยากที่จะจินตนาการได้ ขณะนั้นมันก้าวเท้าไปด้านหน้าพร้อมกับทุ่มชายที่กำลังอวดครวญลงบนพื้นอย่างโหดเหี้ยม จากนั้นมันกระชับด้ามแหลมคมของขวานศึกเฉาะลงตรงศีรษะของผู้บัญชาการอย่างไร้ปรานี “ฉัวะ!” ศีรษะของเขาขาดสะบั้น หนึ่งชีวิตของผู้กล้าแห่งจักรวรรดิอี้เหอพลันจบสิ้น
ทางทิศเหนือของเทือกเขาฉิน กองทัพของเหล่าอสูรเกราะบุกโจมตีเป็นวงกว้าง พวกมันข้ามเทือกเขาฉินและกระจายตัวไปทั่วจักรวรรดิอย่างไร้การควบคุม
จักรวรรดิอี้เหอไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกต่อไปเนื่องจากกองทัพของเหล่ยฉงแข็งแกร่งอย่างมาก เช่นนี้ทำให้พวกเขาไม่สามารถปกป้องเทือกเขาฉินเอาไว้ได้
…
“ท่านผู้บัญชาการหลง แย่แล้ว…แย่แล้วขอรับ!”
ณ ค่ายทหารราบทางใต้ของเทือกเขาฉิน หลงเซียนหลินกำลังอ่านรายการเสบียงของกองทัพภายใต้แสงเทียน ทันใดนั้นผู้บัญชาการกองหมื่นวิ่งเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก เขาประสานหมัดพร้อมกล่าว “ผู้บัญชาการหลง เราเสียเทือกเขาฉินไปแล้วขอรับ เนื่องจากเหล่ยฉงได้นำกองทัพอสูรเข้าโจมตี ขณะนี้กองกำลังของเราได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงขอรับ”
หลงเซียนหลินเอ่ยตอบด้วยสายตาว่างเปล่า “อืม”
ผู้บัญชาการกองหมื่นถามอย่างหวาดหวั่น “ท่านผู้บัญชาการหลง ระ…เราควรทำอย่างไรดีขอรับ?”
“ถอยทัพไปตั้งหลักทางใต้ของกำแพงเหล็ก และใช้กำแพงเหล็กเป็นแนวกั้นเพื่อหยุดเหล่าปีศาจ”
“พะ…พวกเราจะยอมเสียเขตแดนทางใต้ของกำแพงเหล็กไปหรือขอรับ? ที่นั่นมี…เมืองของเรานับไม่ถ้วน…พระเจ้า…”
“นี่คือคำสั่งของราชาผู้พิชิต ผู้ใดก็ไม่อาจขัดขืน ให้กองทัพทั้งสามรีบถอยไปยังกำแพงเหล็กทันทีก่อนที่พวกอสูรจะมาถึง มิเช่นนั้นพระเจ้าองค์ใดก็ไม่อาจช่วยพวกเราได้”
“ขอรับ…”
ผู้บัญชาการกองหมื่นรับคำสั่งและเดินจากไป หลงเซียนหลินยืนมองผ้าม่านของกระโจมที่ปลิวไสว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสับสน ฉับพลันเขากระแทกหมัดลงบนโต๊ะอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมสบถ “เวรเอ๊ย!”
…
สามวันต่อมา สารขนนกส่งมาถึงเมืองหลันเยี่ยน
ณ โถงตำหนักเจ๋อเทียน ใบหน้าของเหล่าขุนนางเปี่ยมไปด้วยความสุข ความล้มเหลวของจักรวรรดิอี้เหอถือเป็นข่าวดีของเมืองหลันเยี่ยน ไม่ว่าอย่างไรอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่จักรวรรดิอี้เหอเคยก่อไว้ในเมืองหลันเยี่ยนนั้นก็ไม่สามารถให้อภัยได้
“แสดงความยินดีกับองค์จักรพรรดินี!”
ถังหลานประสานหมัดพร้อมกล่าวออก “จักรวรรดิอี้เหอสูญเสียทหารกว่าแสนนายในศึกเทือกเขาฉินซึ่งสร้างความเสียหายแก่กองกำลังของพวกเขาอย่างรุนแรง อีกทั้งกองทัพปีศาจของเหล่ยฉงก็สูญเสียอสูรเกราะนับหมื่นตน ถือเป็นข่าวดีของจักรวรรดิฉินพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินลุกขึ้นยืน ใบหน้าสง่างามยิ้มจางพร้อมกล่าวคำออก “มีข่าวใดเกี่ยวกับเผ่าปีศาจอีกหรือไม่? กองทัพหลักของพวกมันรวมพลอยู่ที่ใด? ความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิอี้เหอเป็นเรื่องดีจริง หากแต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจกับเหล่าปีศาจ นับวันพวกมันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ”
ซูอวี่กล่าวตอบ “ข้าแต่ฝ่าพระบาท หน่วยสอดแนมของเรากลับมาแล้วเพคะ กองทัพของเฉียนเฟิงมีกองกำลังนับแสนอยู่ที่เมืองตงฉวง ราวห้าหมื่นปักหลักอยู่ที่ชายแดนมณฑลหลิงตงและอีกสามหมื่นสร้างเรือรบอยู่ที่ชายแดนตะวันออกในมณฑลชางหนาน พวกมันมีทาสมนุษย์โดยรวมทั้งหมดราวสองแสนคน ส่วนกองกำลังเกือบสองแสนของเหล่ยฉงขณะนี้อยู่ทางใต้ของเทือกเขาฉินเพคะ”
ซูมูหยุ่นเอ่ย “หากเป็นไปตามคาด ปีศาจร้ายอย่างเหล่ยฉงจะทำลายล้างเมืองแถบใต้ของเทือกเขาฉินจนหมดสิ้นเป็นแน่ ระยะทางหลายร้อยไมล์จากเทือกเขาฉินจนถึงกำแพงเหล็กจะกลายเป็นแดนนรกของมวลมนุษย์”
“คนเหล่านั้น…เคยเป็นคนของจักรวรรดิ…” ฉินอินพึมพำ
ซูมู่หยุนพยักหน้าก่อนกล่าวออก “เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ จริงอยู่ที่จักรวรรดิอี้เหอก่อกบฏต่อเรา แต่เขตแดนทางใต้ของเทือกเขาฉินก็เคยเป็นของจักรวรรดิมาก่อน ผู้คนของมณฑลหลิงตงอาจเฝ้ารอความช่วยเหลือจากกองทัพจักรวรรดิอยู่ก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ”
ถังหลานกล่าวต่ออย่างตกใจ “หมายความว่าท่านหลานกงอยากส่งกองทัพไปยังมณฑลหลิงหนานเพื่อช่วยจักรวรรดิอี้เหอต่อสู้กับเหล่าปีศาจงั้นรึ?”
“หาใช่เช่นนั้นไม่ ข้าเพียงอยากแน่ใจว่าจักรวรรดิจะไม่สูญเสียสิ่งใดไปมากกว่านี้”
ถังหลานพยักหน้า เขาประสานหมัดพร้อมกล่าวออก “ข้าแต่ฝ่าพระบาท เมืองปู้กู่ในมณฑลดาราเป็นเขตแดนของจักรวรรดิที่อยู่ใกล้กับทางใต้ของเทือกเขาฉินและจักรวรรดิอี้เหอมากที่สุด กระหม่อมแนะนำให้ส่งทหารฝีมือดีไปยังเมืองปู้กู่เพื่อรอจังหวะเคลื่อนไหว ในขณะเดียวกันก็ป้องกันไม่ให้สูญเสียชายแดนทางใต้ของจักรวรรดิพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านหลานกงว่าส่งกองทัพใดไปจึงจะเหมาะสม?” ฉินอินถาม
ถังหลานกล่าว “ผิงหนานโหวเซี่ยงอวี้นั้นเก่งกาจเรื่องการรบ เขามีทหารชำนาญการถึงห้าหมื่นคนในเมืองชีไห่พ่ะย่ะค่ะ”
ซูมู่หยุนยกยิ้มพลางกล่าวออก “ผิงหนานโหวเป็นผู้ที่มีฝีมือโดดเด่นและเหมาะสมกับงานนี้ยิ่ง ทว่าเขาจำเป็นต้องรับผิดชอบศึกที่แม่น้ำต้าวเจียง กระหม่อมคิดว่าส่งทหารชำนาญกองอื่นไปเมืองปู้กู่คงดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้ เช่นนั้นท่านหยุนกงคิดว่าควรส่งกองทัพใดไป?”
“กองทัพมังกรผงาดของผู้บัญชาการหลิน…” ซูมู่หยุนยิ้มก่อนกล่าวต่อ “กองทหารมังกรผงาดผ่านศึกมามากมายและเคยต่อสู้กับอสูรเกราะ อีกทั้งผู้บัญชาการหลินก็เพิ่งทะลวงขอบเขตปราชญ์ ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว กระหม่อมคิดว่ากองทัพมังกรผงาดทั้งสองหมื่นนายซึ่งเก่งกาจและปราดเปรียวเหมาะสมที่สุดที่จะไปปกป้องเมืองปู้กู่ จะมีกองทัพทหารม้าหนักใดในจักรวรรดิที่มีฝีมือถึงเพียงนี้อีก”
ซูมู่หยุนประสานหมัดพร้อมกล่าวออกอย่างนอบน้อม “ข้าแต่ฝ่าพระบาท กระหม่อมคิดว่าพระองค์ควรส่งกองทัพมังกรผงาดไปยังเมืองปู้กู่เพื่อปกป้องชายแดน...”
“ไม่…”
ฉินอินโพล่งขึ้น ทั้งที่หลินมู่อวี่และนางเพิ่งจะได้อยู่ด้วยกัน ไม่ทันไรเขาก็ต้องจากไปอีกครา นางไม่ต้องการเช่นนี้ ทว่าก็ไม่สามารถตอบได้ว่าเพราะเหตุใด
ขณะนั้นถังหลานกล่าวออก “เหตุใดพ่ะย่ะค่ะ…ผู้บัญชาการหลินนำกองทัพมังกรผงาดไปป้องกันเมืองปู้กู่ ผิงหนานโหวนำทัพทหารฝีมือดีไปยังเมืองหน้าด่านเถี่ยเริ่นซึ่งอยู่ชายแดนทางใต้ของมณฑลชางหนาน ยามที่เหล่าปีศาจรุกรานเข้ามาเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเราก็ไม่อาจอยู่เฉยได้พ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยงอวี้ประสานหมัดทันใด “ไม่ว่าอย่างไรกระหม่อมเต็มใจไปพ่ะย่ะค่ะ…”
หลินมู่อวี่ถอนหายใจ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจอยู่เฉยได้ในครานี้ ฉับพลันเขาประสานหมัดและกล่าวออก “ข้าแต่ฝ่าพระบาท กระหม่อมก็ยินดีที่จะไปเมืองปู้กู่และปกป้องชายแดนทางใต้พ่ะย่ะค่ะ”
ซูมู่หยุนหันไปมองฉินอินก่อนพยักหน้า
ฉินอินพึมพำ “อืมเช่นนั้นก็…”
…
สามวันต่อมา
ในตอนบ่ายหลินมู่อวี่พาเว่ยโฉว ฉินเหยียน เฝิงสี่และผู้บัญชาการคนอื่นมุ่งหน้าไปยังหน่วยสรรพาวุธ ทันทีที่ไปถึง ฉินจื่อหลิงเข้ามาทักทายพวกเขาอย่างเป็นสุข “ท่านหลิน การปรับปรุงกล่องลูกศรเสร็จสิ้นแล้วขอรับ สามารถเจาะท่อนซุงขนาด 40 เซนติเมตรได้…”
“เยี่ยม”
หลินมู่อวี่พยักหน้าก่อนเอ่ยถาม “ข้าจะต้องออกเดินทางในอีกสามวัน เจ้าจะสามารถทำกล่องลูกศรได้เท่าใด?”
“นี่ขอรับ…”
ตราหัวหน้าหน่วยสรรพาวุธบนอกของฉินจื่อหลิงส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์ เขากล่าวออกพร้อมรอยยิ้ม “ตอนนี้เราสามารถสร้างกล่องลูกศรที่ปรับปรุงแล้วราวร้อยกล่องด้วยกำลังของคนในหน่วยสรรพาวุธและร้านเครื่องเหล็กในเครือร้านค้าจื่อยินขอรับ”
“หนึ่งร้อยกล่อง…” หลินมู่อวี่พึมพำ “ไม่เลว ยิ่งเร่งมือสร้างได้ทั้งวันทั้งคืนยิ่งดี เพราะยิ่งมีกล่องลูกศรมากเท่าใด โอกาสชนะก็มากขึ้นเท่านั้น ”
“ขอรับ” ฉินจื่อหลิงยิ้มพลางพยักหน้า เขากล่าวออก “แม่ทัพเซี่ยงอวี้เพิ่งส่งคนมาสั่งทำกล่องลูกศรจำนวนหนึ่ง…”
“ไม่”
หลินมู่อวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เหตุใดต้องให้กล่องลูกศรที่คนของข้าสร้างขึ้นแก่เขา ว่าแต่กล่องเหล่านี้สามารถแยกชิ้นส่วนได้หรือไม่?”
“ได้ขอรับ ท่านวางใจเถิด ทหารม้าสองหมื่นนายของกองทัพมังกรผงาดจะไม่มีปัญหาในการแบกกล่องลูกศรจำนวนมาก ซึ่งไม่กระทบความเร็วของการเคลื่อนทัพแน่นอน และข้าจะเตรียมลูกศรให้เพียงพอขอรับ”
“อืม เจ้าช่วยข้าได้มากนักจื่อหลิง…”
“ด้วยความยินดีขอรับ หากไม่มีท่านผู้บัญชาการ ป่านนี้ข้าคงเป็นเพียงทหารในเมืองห้าทุบเขา…”
“ฮ่าๆ”
…
เพียงพริบตา สามวันที่ฉินอินและถังเสี่ยวซีอยู่กับหลินมู่อวี่ก็ผ่านไป หลังจากนั้นเมื่อหลินมู่อวี่เริ่มออกเดินทาง ฉินอินและถังเสี่ยวซียังคงอยู่ดูแลเมืองหลันเยี่ยนต่อไป
……………………………