The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 401 จอมมารลั่วไค
EP.401 จอมมารลั่วไค
เส้นทางทั้งขรุขระและคดเคี้ยว กว่าชั่วโมงล่วงไปพวกเขาจึงถึงจุดหมายปลายทาง หลินมู่อวี่ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเท้าเหยียบพื้นดินอีกครั้ง เขานึกว่าตนจะต้องตายเพราะโรคกลัวความสูงเสียแล้ว
ไกลออกไป แสงของดวงดาวระยิบระยับบรรจบรวมกันเสมือนเป็นเมืองแห่งหนึ่งทว่าหากมองให้ดี มันคือโคมไฟจำนวนมากที่สว่างไสวแข่งกับดวงดาว ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่ง
“นั่นคือเมืองหลวง”
เต๋อเหวินยิ้มพลางกล่าว “ที่อยู่ของเหล่าปรมาจารย์วิญญาณ จอมมารและองค์จักรพรรดิ”
“แล้วเหวมังกรโกลาหลอยู่ที่ไหนหรือ?”
“หุบเหวมังกรรึ…อยู่ทางนั้น ใต้ใจกลางเมืองหลวง อันที่จริงเรามักเรียกมันว่าหุบเหวมังกร เป็นสถานที่ซึ่งองค์จักรพรรดิใช้ประหารนักโทษ กล่าวกันว่าลึกลงไปในเหวมีเหล่ามังกรร้ายอาศัยอยู่ นักโทษที่ถูกโยนลงไปมักจะตกเป็นอาหารของพวกมัน”
“แล้วต้องขายศิลาวิญญาณที่ใดหรือ?”
“ตลาดโกลาหลในเมืองหลวง”
“ไปกันเถิด”
“อืม”
ทั้งสองเดินไปได้ไม่ไกลนัก ทว่าหลินมู่อวี่กลับรู้สึกถึงพลังปราณที่ตามติดพวกเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาพยายามข่มจิตเพื่อซ่อนพลังของตนไว้ อยากรู้นักว่าจอมยุทธ์ในดินแดนแห่งนี้จะแข็งแกร่งสักเพียงใด!
เมื่อเห็นท่าทีร้อนรนของนักล่าอสูร บุคคลที่สะกดรอยอยู่จึงรีบไล่ตามพวกเขาทันที
“ชิ้ง!”
เสียงชักดาบดังขึ้นพร้อมชายคนหนึ่งตะโกนไล่หลัง “เจ้าทั้งสอง หยุดเดี๋ยวนี้!”
เต๋อเหวินชะงักก่อนค่อยๆ หันไปหาต้นเสียงพร้อมกับหลินมู่อวี่ ภายใต้แสงดาวสว่างไสว ชายร่างใหญ่ในชุดเกราะพร้อมดาวสีทองแดงบนอกยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา เต๋อเหวินเห็นดังนั้นก็กลัวหัวหด เขาเอ่ยเสียงแผ่ว “โอ้…ทหารจอมยุทธ์ เราพลาดแล้ว…”
ทหารนายนั้นมองเต๋อเหวินที่เผยท่าทีตื่นตระหนกด้วยความพึงพอใจก่อนเอ่ยเย้ยหยัน “พวกเจ้าทั้งสองรนหาที่ตายนัก บังอาจลักลอบเข้ามาที่นี่โดยมิได้รับอนุญาตจากองค์จักรพรรดิได้อย่างไร ส่งศิลาวิญญาณมาให้ข้าและไสหัวกลับไปซะ เช่นนั้นข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า”
“เจ้ามาเพราะศิลาวิญญาณงั้นหรือ?” หลินมู่อวี่ยิ้มพลางเอ่ยถาม
“แล้วเจ้ามีปัญหาอะไร?”
คำตอบนั้นทำให้หลินมู่อวี่ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาเดินไปหานายทหารด้วยมือที่ว่างเปล่าไร้อาวุธพลางขยับแขนเล็กน้อย ทันใดนั้นปราณยุทธ์พลันพวยพุ่ง หมุนวนรอบกายจนเสื้อคลุมของเขาสะบัดไหว
หลินมู่อวี่ยกยิ้มพร้อมกล่าว “เข้ามา หากเอาชนะข้าได้ก็เอาศิลาวิญญาณไป!”
เต๋อเหวินที่ยืนอยู่ด้านหลังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ “พ่อหนุ่ม นี่เจ้า…เป็นจอมยุทธ์งั้นรึ? โอ้แม่เจ้า…”
ทหารจอมยุทธ์หรี่ตามองหลินมู่อวี่ เขาไม่ได้สนใจนักว่าคู่ต่อสู้ของตนจะเป็นใคร เพราะเมื่อเลือกขึ้นหลังเสือแล้วก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ดาบถูกชี้ไปยังหลินมู่อวี่พร้อมปราณยุทธ์ที่แทรกซึม นายทหารกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าต่างหากที่ต้องตาย หาใช่ข้าไม่!”
“ฟึบ!”
ใบมีดตัดผ่านอากาศอย่างรวดเร็วทว่ารุนแรง หากมิใช่ผู้ฝึกตนคงถูกดาบเล่มนี้สังหารอย่างง่ายดาย
หลินมู่อวี่เหลือบมองแขนซ้ายก่อนพลังแก่นเพลิงมังกรจะก่อตัวกลายเป็นโล่ “ชิ้ง!” ป้องกันดาบของศัตรูที่ฟาดมาได้ในพริบตา เขาลอยตัวขึ้นพร้อมพายุปราณสีเลือดหมุนวนรอบหมัดขวา ไม่จำเป็นต้องใช้ถึงกลยุทธ์ดวงดาราเพื่อปราบคนประเภทนี้ เพียงหนึ่งประทีปพิฆาตชีวันก็เหลือเฟือแล้ว!
นายทหารเริ่มรับรู้ถึงชะตากรรมของตนหลังจากนี้ ทว่าสีหน้าของเขากลับดุดันขึ้นกว่าเดิม เขาตะโกน “เข้ามาเลย ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก!”
เขาทิ้งดาบของตนพร้อมยกแขนขึ้นป้องกันหมัดของหลินมู่อวี่
ในขณะนั้น คลื่นพลังแสงสีสองของวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะพลันหมุนวนรอบกำปั้นของหลินมู่อวี่ เพิ่มความแข็งแกร่งแก่พลังประทีปพิฆาตชีวันอีกเท่าตัว ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีเทา เมื่อนายทหารรู้สึกถึงพลังของหลินมู่อวี่ที่หลอมรวมกับวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะ เขารู้ในทันทีว่าหมัดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตนจะต้านทานได้ไหว
หนึ่งประทีปพิฆาตชีวัน!
“ตู้ม!”
เสียงกระดูกหักดังลั่นพร้อมกับนายทหารที่ล้มลงกับพื้น โอดครวญอย่างเจ็บปวด
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วพลางสะบัดข้อมือเล็กน้อยเพื่อขจัดปราณยุทธ์ออกจากมือ เขาหันมายิ้มพร้อมกล่าว “ท่านเต๋อเหวิน ไปกันเลยหรือไม่?”
เต๋อเหวินยืนอึ้งไม่ไหวติง “พ่อหนุ่ม…เจ้าเพิ่งจะกำราบทหารจอมยุทธ์ด้วยหมัดเดียว…”
“แล้วทำไมหรือ?”
“เขาเป็นถึงจอมยุทธ์เชียวนะ เจ้าเสมือนพระเจ้ามาโปรดดินแดนชั้นบนเลยล่ะ เพียงหมัดของเจ้า…”
“ไปกันใหญ่แล้ว เรารีบไปกันเถิด”
“อืม!”
…
เมื่อทั้งสองเดินมาถึงหน้าเมืองหลวง ทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่งก็เดินมาขวางพวกเขาทันที ทหารนายหนึ่งกล่าวออกพร้อมนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความโลภ “พวกชั้นบนนอกคอกจ่ายค่าผ่านทางมา”
เต๋อเหวินรีบควักถุงเงินออกมาพร้อมกล่าว “นี่ขอรับท่าน โปรดรับไว้ด้วยเถิด”
นายทหารยิ้มออกมาทันทีหลังจากได้รับเงินถุงยักษ์ “เข้าไปได้ โชคดีล่ะ!”
“ขอบคุณขอรับ!”
เต๋อเหวินเอ่ยตอบอย่างนอบน้อมก่อนพาหลินมู่อวี่เข้าไปในเมืองหลวง หลินมู่อวี่กวาดสายตาสำรวจสิ่งรอบตัวขณะเดินไปด้วย ดินแดนโกลาหลมีประชากรเบาบางนัก ขนาดของสิ่งก่อสร้างก็ไม่อาจเทียบกับเมืองหลันเยี่ยนได้แม้แต่น้อย เมืองหลวงแห่งนี้ก็ไม่ได้งดงามเท่าเมืองห้าหุบเขาด้วยซ้ำ
เมื่อมาถึงตลาดโกลาหล เต๋อเหวินขายศิลาวิญญาณให้แก่ชายผิวดำผู้เป็นที่รู้จักดีในย่านนี้ เขารับเงินเหรียญทองด้วยหน้าตาเบิกบานใจก่อนหันมากล่าวกับหลินมู่อวี่ “พ่อหนุ่ม ศิลาวิญญาณแลกเงินมาได้มหาศาล เพียงพอให้เจ้าอยู่กินได้อย่างสุขสบายในแดนโกลาหลไปหลายวัน เจ้าจะกลับขึ้นไปชั้นบนกับข้าหรืออยู่ที่นี่ต่อ?”
“ท่านเต๋อเหวิน ข้าไม่ได้ต้องการเงิน ท่านเอาไปเถิด”
หลินมู่อวี่กล่าวต่อ “หากแต่ท่านบอกทางไปหุบเหวมังกรแก่ข้าได้หรือไม่?”
เต๋อเหวินหลิ่วตามองอีกฝ่าย เขายิ้มพลางกล่าวออก “เจ้ามาตามหาชวีฉู่จริงๆ สินะพ่อหนุ่ม…อย่าโกหกข้าเลย”
หลินมู่อวี่เกาจมูกพลางยิ้มเก้อ “อืม…ความจริงแล้วชวีฉู่เป็นอาจารย์ของข้า ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาเขา”
“เป็นเช่นนี้เอง”
เต๋อเหวินมองหลินมู่อวี่ด้วยความนับถือพร้อมกล่าว “พ่อหนุ่ม เจ้าช่างซื่อสัตย์และกตัญญูนัก ข้านับถือใจเจ้า! ทว่า…การจะไปเหวมังกรนั้นไม่ง่าย เหวนั้นตั้งอยู่ในพระราชวัง ผู้ที่จะเข้าไปได้จึงมีเพียงเหล่าปรมาจารย์วิญญาณและจอมมารที่รับใช้องค์จักรพรรดิเท่านั้น แม้แต่ทหารจอมยุทธ์ก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไป มีเพียงทางเดียวที่เจ้าจะเข้าไปได้”
“ทางใดรึ?”
“องค์จักรพรรดิทรงโปรดปรานวิญญาณยุทธ์นัก จึงทรงคัดเลือกและจัดตั้งค่ายผู้พิทักษ์ซึ่งมีนักรบยอดฝีมือเพียงสามสิบเอ็ดคนเท่านั้น ประกอบไปด้วยสี่ปรมาจารย์วิญญาณผู้แข็งแกร่งที่สุดและอีกยี่สิบเจ็ดจอมมารที่แข็งแกร่งรองลงมา หากอยากไปในหุบเหวมังกร เจ้าต้องท้าการประลองเพื่อเข้าไปเป็นหนึ่งในนักรบของค่ายผู้พิทักษ์ ทว่าการประลองนั้นอันตรายนัก พลังของเหล่าจอมมารและปรมาจารย์วิญญาณนั้นแข็งแกร่งกว่าปราณยุทธ์ทั่วไปมาก ผู้ใดก็มิอาจเทียบเทียมพวกเขาได้”
“เช่นนี้เอง” หลินมู่อวี่ยิ้ม “หากจะค้างแรมที่นี่ต้องใช้เหรียญเท่าใดหรือ?”
“คืนละหนึ่งเหรียญทอง”
“เช่นนั้นขอเหรียญทองเล็กน้อยให้ข้าแล้วท่านก็กลับไปเถิด อยู่ที่นี่ก็อันตรายเสียเปล่า”
“ถ้าอย่างนั้น…ดูแลตนเองนะพ่อหนุ่ม!”
“อืม”
…
หลังเต๋อเหวินกลับไป หลินมู่อวี่ตัดสินใจพักที่โรงเตี๊ยมซึ่งตั้งอยู่ข้างพระราชวัง เขาฝึกซ้อมสักพักหลังจากกินข้าว เมื่อค่ำคืนล่วงเลยไป ท้องฟ้าก็สว่างสดใสอีกครั้ง
ดวงอาทิตย์ในแดนโกลาหลนั้นแสนอบอุ่นและดาวฤกษ์อีกสามดวงก็แข่งกันส่องแสงอย่างวุ่นวาย หลินมู่อวี่ที่กำลังยืนอยู่ในสวนโรงเตี๊ยมจึงรู้สึกถึงแสงสว่างส่องจากทั่วทุกสารทิศ
หลังจากกินมื้อเช้าอย่างรวดเร็ว เขามุ่งไปยังพระราชวังทันที
ณ จัตุรัสของพระราชวัง ป้าย ‘รับสมัคร’ ขนาดใหญ่โบกสะบัดตามแรงลม ด้านข้างมีลานประลองกว้างขวางซึ่งอัดแน่นไปด้วยผู้คน ภายใต้ป้ายนั้นมีทหารองครักษ์หลายนายกำลังหาวอย่างเกียจคร้าน
หลินมู่อวี่เดินเข้าไปและกล่าวอย่างเคารพ “ข้าอยากเข้าร่วมค่ายผู้พิทักษ์”
“เจ้าน่ะรึ?”
ทหารองครักษ์ยิ้มพร้อมกล่าว “เจ้ารู้กฎของการเข้าร่วมค่ายผู้พิทักษ์หรือไม่?”
“ไม่รู้ขอรับ กฎอะไรหรือ?”
“เจ้าต้องชนะการประลองวิญญาณยุทธ์กับท่านจอมมาร และลงนามข้อตกลงความเป็นความตายว่าจะมิได้รับค่าชดเชยใดหากตายตกในการประลองนี้”
“เช่นนี้เอง”
ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏของบนใบหน้าของทหาร ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าเขานั้นอยู่ในชุดที่แตกต่างจากผู้คนในวังโดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังดูสงบนิ่งและจริงจัง หากไม่มั่นใจในตนเองมากพอ คงไม่มีท่าทีเช่นนี้ นายทหารเอ่ยถามอีกฝ่ายนิ่ง “พ่อหนุ่มจอมยุทธ์ เจ้ามีนามว่าอย่างไร?”
“หลินจื้อขอรับ” หลินมู่อวี่ใช้ชื่อจริงของเขา
“ลงนามตรงนี้”
หลินมู่อวี่หยิบพู่กันขึ้นมาก่อนเขียนชื่อของตนลงไปก่อนกล่าวออก “เสร็จแล้วขอรับ”
“อืม ข้าจะไปตามท่านจอมมารมาเดี๋ยวนี้”
…
หลังจากนั้นไม่นาน นักรบอายุราวสี่สิบปีปรากฏตัวพร้อมทวนในมือ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความยโสจ้องมองหลินมู่อวี่จากระยะไกล เขาเอ่ยคำเบา “เจ้าคือหลินจื้อที่ท้าประลองกับข้างั้นรึ?”
“ใช่”
หลินมู่อวี่ก้าวเข้าไปยังลานประลองพลางเอื้อมมือชักกระบี่วิญญาณมังกรออกมาอย่างเชื่องช้า
ผู้คนรอบข้างลานประลองต่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นทันที พวกเขามาที่นี่เพื่อรอชมความเร้าใจของการต่อสู้และบ้างก็รอลุ้นฉากนองเลือดของผู้ท้าประลอง
ตรายศสีเงินบนอกของจอมมารส่องประกาย เขายกยิ้มก่อนกล่าวออก “หลินจื้อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเดือนนี้ข้าสังหารผู้ท้าประลองไปแล้วกี่คน?”
“ไม่รู้”
“เจ็ดคน! อ๋อแล้วก็…ข้ามีนามว่าลั่วไค หากตายตกไปก็จงจำชื่อนี้ไว้ให้ดี!” ใบหน้าของลั่วไคเผยท่าทีผยอง เขาไม่ได้คิดใส่ใจกับชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านัก
หลินมู่อวี่ยิ้มให้กับคำพูดสบประมาทเหล่านั้นก่อนกล่าวตอบอย่างไม่เกรงกลัว “อย่าห่วงเลย ท่านจำชื่อข้าได้แน่เมื่อท่านตาย”
“จองหองนัก!”
ทันใดนั้น ปราณยุทธ์พลันหมุนวนรอบกายของลั่วไคก่อนเกิดเป็นเกราะรบคลุมร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับแสงปราณยุทธ์ที่พวยพุ่งจากทวนในมือ ดูเหมือนจอมมารผู้นี้จะเพิ่งก้าวเข้าสู่ขั้นที่สามของขอบเขตนภา ลั่วไคตะโกนออกพร้อมทวนในมือที่พุ่งมาด้วยพละกำลังอันมากล้น
จอมมารผู้นี้เก่งกาจใช่ย่อย!
ชั่วพริบตา วิญญาณยุทธ์ของหลินมู่อวี่หมุนวนรอบกระบี่วิญญาณมังกรอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาแน่วแน่ “เคร้ง!” เสียงของด้ามทวนปะทะกับใบมีดดังลั่น ทันใดนั้นหลินมู่อวี่ยกขาเตะจอมมารด้วยพลังปราณยุทธ์เต็มแรง
ลั่วไคยกขาขึ้นเตะเขาในเวลาเดียวกัน “ตู้ม!” ลูกเตะของทั้งสองคนปะทะกันในทันใด หลินมู่อวี่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทว่ารอบกายของลั่วไคนั้นสั่นไหว เขาเซถอยหลังไปหลายก้าวก่อนพบว่าหลินมู่อวี่ทำทวนในมือของเขาหักไปเสียแล้ว
“เจ้า…”
ทันใดนั้นใบหน้าของจอมมารเต็มไปด้วยความอับอายและโกรธแค้น
………………………………….