The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 390 การแบ่งชนชั้นของอสูร
EP.390 การแบ่งชนชั้นของอสูร
หลินมู่อวี่คิ้วขมวด เขารู้สึกหวั่นใจขึ้นมาหลังจากที่องค์ชายลำดับสามกล่าวว่ากองทัพปีศาจมีกองกำลังอสูรเกราะราวสี่แสน แม้ศึกแม่น้ำต้าวเจียงเมื่อสองวันก่อนจะสามารถกำจัดพวกอสูรเกราะไปได้กว่าสามหมื่นตัว ทว่าการเสียกองกำลังเพียงสามหมื่นต่อสี่แสนก็เสมือนเพียงฝนตกโปรยปรายเท่านั้น
“อย่าคิดโกหก”
จางเหว่ยเตะไปที่เป้าขององค์ชายสามอย่างแรง “จองหองนักก็เป็นหมันไปซะ”
“เอ่อ…”
องค์ชายสามหุบปากเงียบสนิท ดูเหมือนวิธีนี้จะใช้ได้ผล ลูกเตะอันรุนแรงของจางเหว่ยที่ฟาดไปเมื่อครู่อาจทำให้กล่องดวงใจของอีกฝ่ายเป็นหมันแล้วกระมัง
หลินมู่อวี่นั่งลงข้างฉินอินพลางถามต่อ “คำถามต่อไปเกี่ยวกับพวกอสูรระดับสูง ข้าเห็นอสูรบางตนมีตราสัญลักษณ์ดาวสีทองติดอยู่บนปกเสื้อ อีกทั้งยังมีจำนวนไม่เท่ากัน สิ่งเหล่านี้หมายถึงอะไร?”
องค์ชายสามไม่ต้องการเผยสิ่งใดให้ศัตรูรู้แม้แต่น้อย แต่เมื่อเห็นจางเหว่ยซ้อมเตะอากาศรออยู่อย่างนั้น เขาจึงเอ่ยตอบอย่างจำใจเพราะยังไม่อยากเป็นหมันถาวรเสียตั้งแต่ตอนนี้ “นักรบเผ่าเทพระดับสูงเป็นผู้ที่มิอาจดูหมิ่นได้ พวกเขาล้วนมีเลือดของเทพเจ้าที่สืบเชื้อสายมาแต่สมัยโบราณซึ่งกลายมาเป็นราชวงศ์ในปัจจุบัน ตราสัญลักษณ์ที่เจ้าเห็นนั้นเป็นการแบ่งระดับชนชั้น”
“แบ่งระดับชนชั้น?”
“หึ” องค์ชายสามเย้ยหยันก่อนกล่าวออก “เผ่าเทพระดับสูงฝึกฝนพลังของนิกายดวงดาว เราจึงใช้ดาวในการแบ่งระดับชนชั้นตามพละกำลังของอสูรซึ่งประกอบไปด้วยอสูรระดับหนึ่งดาวถึงห้าดาว อสูรหนึ่งดาวคือนักรบระดับล่างสุด ในขณะที่อสูรระดับสองดาวจะครอบครองพายุปราณและได้รับประคำวิญญาณอสูรจากพลังยุทธ์ของข้า พวกอสูรสามดาวจะสามารถใช้พลังเขตแดนโลหิตได้ อสูรระดับสี่ดาวนั้นแข็งแกร่ง พวกเขารู้แจ้งถึงจิตวิญญาณแห่งอสูร ส่วนอสูรห้าดาวซึ่งมีพลังสูงสุดในเผ่าเทพจะสามารถควบคุมพลังปราชญ์แห่งปีศาจและกลายเป็นจ้าวแห่งสวรรค์และโลก”
หลินมู่อวี่เลิกคิ้วขึ้นก่อนเอ่ยเรียกสหายของตน “เว่ยโฉว”
ได้ยินดังนั้นเว่ยโฉวก็เทตราสัญลักษณ์ดาวของเหล่าอสูรทั้งหมดที่อยู่ในกล่องสีดำลงบนโต๊ะ เขาพลิกดูมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “มีอสูรระดับสามดาวอยู่เจ็ดตน อีกสองร้อยตนเป็นอสูรระดับสองดาวและที่เหลือทั้งหมดเป็นระดับหนึ่งดาวขอรับ”
“เช่นนี้เอง”
หลินมู่อวี่ยิ้มพร้อมกล่าว “องค์ชายมาที่นี่พร้อมกองกำลังเพียงเท่านี้ อีกทั้งยังไม่มีพวกอสูรระดับสี่ดาวเสียด้วยซ้ำ คิดว่าจะสามารถล้มกองทัพของข้าได้งั้นหรือ?”
“ข้าไม่ได้จะโจมตีกองทัพของเจ้า” องค์ชายสามจ้องอีกฝ่ายนิ่ง
“แล้วเจ้าคิดจะทำอะไร?” หลินมู่อวี่ถามกลับ
องค์ชายสามนิ่งไปสักพักก่อนหันไปมองฉินอินโดยไม่กล่าวอะไร
ใจหลินมู่อวี่พลันสั่นไหว เขากล่าวออก “เสี่ยวอินงั้นหรือ?”
“ใช่” องค์ชายสามตอบอย่างไม่ลังเล “เมื่อใดที่สามารถจับจักรพรรดินีได้ สงครามนี้ก็จะจบลง น่าเสียดายที่ทำไม่สำเร็จเสียที”
“เจ้าทราบได้อย่างไรว่าองค์จักรพรรดินีจะเสด็จมาท่าเรือเฟิงหลิน?” หลินมู่อวี่ถามพลางจ้องตาองค์ชายสามนิ่ง
“ข้ามีแหล่งข่าว”
“ใครบอกเจ้า นามว่าอะไร”
“ข้ารู้เพียงว่าคนของข้าจ่ายเงินซื้อข่าวที่น่าเชื่อถือนี้จากคนฝ่ายเจ้า หากแต่ไม่รู้ว่ามาจากผู้ใด”
หลินมู่อวี่หันไปมองฉินอิน ทั้งสองจ้องมองกันด้วยสายตาประหลาดใจ มีไส้ศึกของเผ่าปีศาจในกองทัพจักรวรรดิ!
ทว่าข้อมูลจากองค์ชายสามนั้นไม่สามารถเชื่อถือได้นัก เขาเป็นปีศาจระดับสูงจริงแต่กลับมีนิสัยเหลาะแหละ ทำตัวเหิมเกริมในดินแดนมนุษย์ทั้งที่มีกองทัพอสูรระดับสูงเพียงไม่กี่ร้อยตน เมื่อเทียบกับเหล่ยฉงและจอมพลปีศาจตนอื่นๆ องค์ชายสามก็เปรียบเสมือนจุดอ่อนของเหล่า หากแต่หลินมู่อวี่กลับมองว่า ‘ความจริงใจ’ และ ‘ความกล้าหาญ’ ขององค์ชายสามนั้นก็ดูน่ารักดีไม่หยอก
“อืม”
หลินมู่อวี่ออกคำสั่ง “พาองค์ชายสามไปเสวยพระกระยาหารและพักผ่อนเสีย คอยเฝ้าอย่าให้คลาดสายตาเด็ดขาด”
เว่ยโฉวประสานหมัดพร้อมยกยิ้ม “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าจัดการเองขอรับ”
“ดีมาก ไปได้”
“ขอรับ”
ขณะที่ถูกเว่ยโฉวคุมตัวออกไป องค์ชายสามรีบหันมาเอ่ยกับหลินมู่อวี่ “ทุกมื้อข้าจะต้องได้กินเนื้อกวาง จงเตรียมเนื้อขากวางให้องค์ชายของเจ้า มิเช่นนั้นข้าจะไม่ปริปากอีก! ”
…
ฉินอินเหลือบไปมองด้านหลังขององค์ชายสามด้วยสายตารังเกียจก่อนเอ่ย “พี่อาอวี่ ข้าควรทำอย่างไรดี?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้รอก่อนเถิด เมื่อเฉียนเฟิงทราบข่าว เขาต้องมาตามหาองค์ชายที่นี่แน่”
“อืม”
หลินมู่อวี่คิดอะไรบางอย่างก่อนกล่าวออก “อาเหยียน”
“ว่าอย่างไรขอรับ”
“ส่งคนไปตัดไม้ที่ป่าฉีหลินเพื่อทำถังไม้และเติมน้ำให้เต็ม นำไปวางบนชายฝั่งทางตะวันตกให้เหล่าปีศาจเห็น อย่าให้ผู้ใดจับได้”
“เอ่อ…” ฉินเหยียนชะงักไป “พี่ชาย ใช้เพียงถังไม้ใส่น้ำจะมีประโยชน์หรือขอรับ?”
“ไม่มีหรอก…” หลินมู่อวี่กล่าวตอบ “หากแต่เหล่าปีศาจจะรู้ไม่ได้ว่าเราใช้น้ำมันบีชสีดำหมดแล้ว มิเช่นนั้นพวกมันคงได้โอกาสโจมตีทันที ไม่อาจคิดว่าจะเป็นเช่นไรหากปีศาจสี่แสนตนบุกข้ามน้ำมา ตอนนี้จึงมีเพียงกลอุบายที่จะช่วยยื้อเวลาการโจมตีออกไปได้”
“เช่นนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว” ฉินเหยียนประสานหมัด “จะจัดการทันทีขอรับ”
อีกฟากหนึ่ง ซูอวี่ยิ้มพลางเอ่ยชม “อาอวี่นี่ฉลาดเสียจริง กลอุบายนี้ไม่เพียงตบตาพวกปีศาจอีกฝั่ง หากแต่ยังทำให้พวกมันหวาดกลัวได้อีก”
“ขอรับ”
หลินมู่อวี่ครุ่นคิดสักพักก่อนเอ่ยถาม “เสี่ยวอิน จักรวรรดิอี้เหอเป็นอย่างไรบ้าง? เท่าที่ข้ารู้พวกเขาก็กำลังสู้รบกับเผ่าปีศาจอยู่เช่นกันใช่หรือไม่…”
“อืม”
ฉินอินพยักหน้า นางจ้องไปยังดวงตาทั้งคู่ของหลินมู่อวี่พร้อมกล่าวออก “สารจากหน่วยสอดแนมกล่าวว่าหลงเซียนหลินได้นำทัพทหารกว่าสองแสนนายต่อสู้กับเหล่าปีศาจเพื่อปกป้องเทือกเขาฉินมาสักพักหนึ่งแล้ว ดูเหมือนว่าผู้นำทัพของพวกมันคือเหล่ยฉงที่เจ้าเคยกล่าวถึง”
“เหล่ยฉง…” หลินมู่อวี่เอ่ยเสียงเครียด “ข้าหวังว่าหลงเซียนหลินจะต้านทัพปีศาจได้ไหว มิเช่นนั้นจักรวรรดิอี้เหอคงล่มสลายและพวกเราจะต้องสู้เพียงลำพัง”
ฉินอินชะงักไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวออก “พี่อาอวี่หมายถึง… เราอาจจะต้องร่วมมือกับจักรวรรดิอี้เหองั้นหรือ?”
“ไม่มีทาง”
ซูอวี่ผู้ไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้นเอ่ยขัดทันที “อาอวี่ ทิ้งความคิดที่จะสร้างพันธมิตรกับจักรวรรดิอี้เหอเสีย เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเราสูญเสียเพียงใดในศึกเมืองหลันเยี่ยน? ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ฉินเหลย หลัวเลี่ย แม่ทัพแห่งจักรวรรดิที่ภักดีและกล้าหาญกี่นายต้องตายตกเพราะน้ำมือจักรวรรดิอี้เหอ เราจะต้องไม่ลืมความอัปยศอดสูเยี่ยงนี้เป็นอันขาด ”
“ข้าทราบดี ท่านป้าอวี่”
หลินมู่อวี่กล่าว “ ข้าเพียงคิดไว้เผื่อเป็นทางเลือกสุดท้ายขอรับ”
ฉินอินยิ้มออกมาพลางเขย่ามือของหลินมู่อวี่ไปมาพร้อมกล่าวเปลี่ยนเรื่อง “อาอวี่ ข้ามีอีกสิ่งหนึ่งที่อยากบอกเจ้า”
“อืม อะไรหรือ?”
“ผู้บัญชาการเซี่ยงอวี้เสนอให้ใช้ยาพิษอีกแล้ว”
“อ๋อ”
หลินมู่อวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจรัง “ที่ว่าให้นำพิษของผลโลหิตทิ้งลงแม่น้ำต้าวเจียงอย่างนั้นหรือ?”
“อืม เซี่ยงอวี้กล่าวว่ากองกำลังปีศาจนับหมื่นประจำการอยู่ริมแม่น้ำต้าวเจียง พวกมันอาศัยแหล่งน้ำในการใช้ชีวิต หากแม่น้ำเป็นพิษ พวกมันต้องถอยทัพเป็นแน่”
“แต่ผลโลหิตจะใช้ได้ผลกับพวกอสูรเกราะงั้นหรือ?” หลินมู่อวี่กล่าวต่ออย่างเคร่งเครียด “เว้นแต่จะจับอสูรเกราะมาทดลองกับน้ำผสมพิษของผลโลหิต หากได้ผลจึงค่อยใช้วิธีนี้ มิเช่นนั้นข้าเกรงว่าแม่น้ำต้าวเจียงจะถูกทำลายเสียเปล่า”
“อ๋อ ข้าจะบอกเซี่ยงอวี้ให้ ทว่าการจับอสูรเกราะนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย”
“อย่าห่วงเลย อย่างไรเสียเฉียนเฟิงก็จะมาหาเราเร็วๆ นี้”
“เช่นนั้นก็เพียงแค่รอสินะ”
“อืม”
…
เหนือเทือกฉิน ธงตราสัญลักษณ์จักรวรรดิอี้เหอโบกสะบัดตามสายลม ทั้งภูเขาสูงชันทางทิศเหนือและป่าทึบทางตอนใต้ต่างก็ถูกแต่งแต้มไปด้วยหิมะเป็นหย่อมๆ
หลงเซียนหลินอยู่ในชุดผู้บัญชาการกองทัพพร้อมทวนคู่ใจในมือ กล่าวออกเสียงเครียดขณะทอดสายตาไปไกล “นายพลหลิว กองทัพปีศาจเหมือนจะเคลื่อนพลแล้ว”
นายพลหลิวประสานหมัดพร้อมกล่าว “ใช่ขอรับ พวกมันถอยทัพไปห้าไมล์ซึ่งก็ไม่ได้ไกลนัก การโจมตีครั้งต่อไปของพวกมันต้องรุนแรงขึ้นเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นลูกธนูของเราไม่พอแล้วขอรับท่านผู้บัญชาการ กองกำลังทหารก็ได้รับบาดเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าเกรงว่าเราจะต้านทัพของเหล่าอสูรเกราะได้อีกไม่กี่คราเท่านั้น”
“อืม…” หลงเซียนหลินถอนหายใจก่อนกล่าวด้วยแววตาเศร้าโศก “เรายังกำจัดพวกอสูรเกราะได้ไม่ถึงหมื่นเสียด้วยซ้ำ ทว่ากลับเสียกองกำลังไปกว่าเจ็ดหมื่น หากไม่ใช่เพราะความได้เปรียบทางจุดยุทธศาสตร์ในเทือกเขาฉิน ข้าว่ากองทัพของเราคงแตกพ่ายไปเสียแล้ว”
นายพลหลิวรีบกล่าวต่อ “ท่านผู้บัญชาการทำดีที่สุดแล้ว อย่าโทษตัวเองเลยขอรับ”
“สถานการณ์ฝั่งจักรวรรดิเป็นอย่างไรบ้าง?”
“คนของเราเพิ่งได้รับสารไม่นานนี้ขอรับ” นายพลรายงานอย่างนอบน้อม “กองทหารจักรวรรดิจำนวนสามแสนนายเปิดศึกคราแรกกับกองทัพที่หนึ่งของเผ่าปีศาจที่แม่น้ำต้าวเจียงโดยใช้ไฟโจมตีตามที่หลินมู่อวี่เสนอ พวกเขาสามารถกำจัดอสูรเกราะได้มากกว่าสามหมื่นและอสูรปีกอีกพันกว่าตัว แม้จะเสียทหารไปเกือบแสนนาย ทว่าศึกครานั้นก็ทำให้กองทัพที่หนึ่งของเหล่าปีศาจหวาดกลัวที่จะโจมตีขอรับ”
หลงเซียนหลินเผยท่าทีโล่งอกทันที เขากล่าว “ปราบใดที่ยังมีหลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิง เหล่าปีศาจคงไม่สามารถเอาชนะจักรวรรดิได้โดยง่ายหรอก ต้องขอบคุณจักรวรรดิฉินที่ลดแรงกดดันไปได้กว่าครึ่งเพราะข้าก็เกรงว่ากองทัพอี้เหอของเราจะต้านพวกมันไม่ไหว”
นายพลหลิวเอ่ย “ท่านผู้บัญชาการขอรับ ราชาผู้พิชิตทรงมีคำสั่งว่าหากโอกาสมาถึง ก็ให้ปล่อยจักรวรรดิฉินถูกโจมตีแตกพ่ายเสียขอรับ”
“หือ?”
หลงเซียนหลินหยุดคิดสักพักก่อนเอ่ยขึ้น “ราชาผู้พิชิตประสงค์ให้เหล่าปีศาจยึดเมืองหลันเยี่ยนงั้นรึ?”
“ขอรับ”
นายพลหลิวกล่าวเสียงนิ่ง “อย่างไรเสีย ความเกลียดชังของเผ่าปีศาจที่มีต่ออี้เหอก็ยังน้อยนิดหากเทียบกับจักรวรรดิฉินขอรับ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นหลงเซียนหลินนิ่งเงียบราวนึกคิดอะไรบางอย่าง
……………………………………..