The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 336 กลับบ้าน
ทรัพย์สินในตำหนักเจ๋อเทียนถูกปล้นสะดมไปเกือบหมด จักรวรรดิอี้เหอรื้อค้นตำหนักที่มีชื่อเสียงแห่งนี้ราวกับกลุ่มโจร เมื่อถังเสี่ยวซีนำกองทัพเข้าสู่ตำหนักเจ๋อเทียนก็พบว่ามันว่างเปล่า โชคดีในช่วงที่ผ่านมา…หลงเซียนหลินยังมีความเมตตาที่เผาเพียงตำหนักเจ๋อเทียน มิได้เผาทั้งเมืองหลันเยี่ยนก่อนจากไป มิเช่นนั้นเมืองหลวงที่มีชื่อเสียงยาวนานหลายพันปีคงกลายเป็นเพียงกองเถ้าถ่าน
หลิงหูเหยียนนำนายพลจิ้งจอกทั้งสามเดินตามถังเสี่ยวซีอย่างใกล้ชิด เมื่อกวาดสายตาเห็นศพสีดำหน้าตำหนัก นางก็เบือนหน้าหนีก่อนจะนิ่งไป
นายพลจิ้งจอกกล่าวขึ้น “มนุษย์บอกว่าอสูรอย่างพวกเราโหดร้ายและทารุณ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่ามนุษย์จะไม่ได้ดีไปกว่าเราด้วยซ้ำ”
ผู้นำเผ่าพันธุ์งูส่งเสียงราวกับกำลังยืนขู่บางสิ่ง
นายพลของเมืองชีไห่วางดาบลงบนพรมแดงยาวภายในโถงตำหนักเจ๋อเทียน พวกเขามองไปยังถังเสี่ยวซีและรอคำสั่งต่อไป
“กองทัพของท่านหลานจะมาถึงเมืองหลันเยี่ยนในอีกสามวันพ่ะย่ะค่ะ”
ถังเจิ้นกล่าวอย่างเคารพ “องค์หญิง เราควรเตรียมตัวหรือไม่? ครานี้…องค์หญิงนำกองทัพมากอบกู้เมืองหลันเยี่ยนเป็นการส่วนพระองค์ และได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ ทว่า…เราใช้กองกำลังห้าหมื่นนายจากเมืองชีไห่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากหลานกง และสูญเสียไปกว่าหนึ่งหมื่นคน…”
ถังเสี่ยวซียิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ถังเจิ้น…ไม่มีจำนวนที่แน่นอนหรือ ว่าจักรวรรดิอี้เหอสังหารผู้คนในเมืองหลันเยี่ยนไปเท่าใด”
ถังเจิ้นกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ไม่มีจำนวนที่แน่นอนในขณะนี้ เมืองหลันเยี่ยนมีพลเรือนอย่างน้อยหนึ่งล้านคน หากเราเก็บศพจากทั้งในและนอกเมือง อาจเพียงพอที่จะนับจำนวน กระนั้นก็ยังมีชาวบ้านอีกหลายครัวเรือนที่หลบหนีออกไปได้ เมืองหลันเยี่ยนสูญเสียประชากรมหาศาล รวมทั้งหมู่บ้านรอบบริเวณก็เกิดการนองเลือดหลายครั้ง ข้าเกรงว่าเมืองหลันเยี่ยนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองอันดับหนึ่งของแผ่นดินคงมีประชากรราวห้าล้านคน อาจเป็นดั่งฟ้าประทานพรหากสามารถรักษาประชาชนได้ครึ่งหนึ่ง”
“อืม”
ถังเสี่ยวซีนั่งบนบัลลังก์และกล่าวว่า “หลังจากศพเริ่มเน่าเปื่อย อาจเกิดโรคระบาดได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นจัดกำลังคนเพื่อฝังและเผาศพพวกเขาทันที อีกทั้งส่งสาส์นเรียกผู้คนกลับมา ถังเจิ้นจงตั้งค่ายพักในเมืองหลันเยี่ยน ให้เหล่าทหารช่วยกันฝังศพ ซ่อมกำแพงเมืองและบ้าน ให้พวกเขาฟื้นฟูความสงบและการค้าโดยเร็วที่สุด ข้าไม่สามารถปล่อยให้เสี่ยวอินเห็นร่างไร้ชีวิตของผู้คนเมื่อกลับมา เอาล่ะ คงต้องเป็นงานที่หนักหนาสาหัส”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมน้อมรับคำบัญชา” ถังเจิ้นประสานหมัดและกล่าวว่า “องค์หญิงซี กองทัพเผ่าพันธุ์อสูรเข้ามาในเมืองแล้ว ทว่าพวกเขามิใช่มนุษย์ เมื่อท่านหลานนำกองทหารทั้งหนึ่งแสนนายมาถึง ข้ากังวลว่าจะเกิดการเข้าใจผิด จึงคิดว่า…เผ่าพันธุ์อสูรช่วยพวกเรากอบกู้เมืองหลวงแล้ว เช่นนั้นควรส่งพวกเขากลับได้พ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
ถังเสี่ยวซีพยักและกล่าว “หลิงหู”
หลิงหูเหยียนโค้งคำนับ “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมอยู่นี่”
“กองทัพอสูรมีส่วนร่วมอย่างมากในครานี้ ข้าไม่รู้จะตอบแทนได้อย่างไรจริงๆ และเพื่อหลีกเลี่ยงสงครามระหว่างมนุษย์และเผ่าพันธุ์อสูร เจ้ารีบเคลื่อนพลไปยังประตูเมืองอสูรและกลับป่านิรันดร์ ข้าจะแวะไปเยี่ยมเยือนเจ้าอีกครั้งในภายภาคหน้า”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
หลิงหูเหยียนหันไปกล่าวกับเหล่านายพลเสียงดัง “เหล่านักรบเผ่าพันธุ์อสูรผู้กล้าหาญ ได้ยินพระราชดำรัสขององค์ราชินีใช่หรือไม่ พวกเจ้าทั้งหลายเป็นความภาคภูมิใจของป่านิรันดร์ และตอนนี้ถึงเวลากลับบ้านแล้ว”
“ขอรับ”
กลุ่มนายพลเผ่าพันธุ์อสูรโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพก่อนจะหันหลังกลับ
ถังเจิ้นกล่าว “กระหม่อมจะลงไปส่งเผ่าพันธุ์อสูรออกนอกเมืองหลันเยี่ยนพ่ะย่ะค่ะ”
ถังเสี่ยวซียิ้ม “ดี ไปเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
…
ฤดูใบไม้ผลิ ณ ชายป่าล่ามังกรเต็มไปด้วยนกและดอกไม้นานาพันธุ์
ท่ามกลางเสียงเท้าม้า ซูมู่หยุนสวมเสื้อประจำตำแหน่งสีดำและถือดาบ ขณะที่ซูอวี่ขี่ม้าเคียงข้างและจ้องออกไประยะไกล ก่อนกล่าวว่า “ใกล้ถึงภูเขาหลงหยานแล้ว จากการรายงานของหน่วยลาดตระเวน กลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดถูกตัดขาดจากแหล่งอาหาร หญ้า และน้ำ กองทหารแห่งจักรวรรดิอี้เหอปิดล้อมพวกเขาเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน ทำให้จำนวนทหารลดน้อยลงจากกว่าหนึ่งพันนาย เหลือเพียงสี่ร้อยนาย”
ซูมู่หยุนพยักหน้า “หลังจากการก่อจลาจลของจักรวรรดิอี้เหอ เหล่าทหารรับจ้างกลุ่มหลักของเมืองหลวงเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งของจักรพรรดิ กลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดเป็นเพียงกลุ่มเล็กที่สามารถระเบิดพลังออกมาอย่างน่าเกรงขาม ข้าไม่สามารถประมาทพวกเขาได้อย่างแท้จริง”
ซูอวี่กล่าว “ท่านพ่อ ผู้ก่อตั้งกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาด…คือหลินมู่อวี่ผู้เป็นราชบุตรบุญธรรมของจักรพรรดิ”
“ข้ารู้” ซูมู่หยุนดึงบังเหียนเพื่อหยุดม้า “อาอวี่ เด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นดั่งฟ้าประทานพร น่าเสียดาย…ที่ต้องเสียชีวิตภายใต้เงื้อมมือของลั่วหลาน เฮ้อ ช่างเป็นความโชคร้ายของจักรวรรดิเสียจริง”
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวอินบนภูเขาหลงหยานนี้”
“สิ่งที่เจ้าต้องให้ความสนใจเพิ่มเติม คือการฟื้นฟูสภาพเมืองหลันเยี่ยน”
“เจ้าค่ะ”
ขณะเดียวกันนกพิราบส่งสารสีขาวก็ร่อนลงบนไหล่ของซูอวี่ นางหยิบม้วนหนังสือจากกระบอกไม้ไผ่ออกมาอ่าน ทันใดนั้นก็มีร่องรอยความตกใจฉายในแววตา “ท่านพ่อ ทหารม้าห้าหมื่นนายของหลงเซียนหลินอพยพออกจากเมืองหลันเยี่ยนแล้ว ขณะนี้กองทหารของถังเสี่ยวซีเป็นผู้ยึดครอง”
“ถังเสี่ยวซี”
ซูมู่หยุนถอนหายใจ “ขณะที่เมืองหลันเยี่ยนถูกกวาดล้าง เหล่าองค์หญิงองค์ชายทั่วทั้งแผ่นดินต่างยอมจำนนต่อจักรวรรดิอี้เหอหรือไม่ก็เงียบเฉย ไม่มีใครคาดคิดว่า…จะมีเพียงเสี่ยวซีเท่านั้นที่นำกองทัพเผ่าพันธุ์อสูรไปประกาศสงครามกับจักรวรรดิอี้เหอโดยตรง ทว่าถังเสี่ยวซียึดครองเมืองหลันเยี่ยนเช่นนี้ คงไม่เป็นผลดีกับเรามากนัก”
ซูอวี่ตะลึง “ตราบใดที่เราไปรับเสี่ยวอินและช่วยนางขึ้นเป็นจักรพรรดินี ถังเสี่ยวซีจะต้องไม่ปฏิเสธให้เราเข้าไปในเมืองอย่างแน่นอน”
“อย่ารีบร้อนไป เคลื่อนทัพเถิด เราต้องคุยกับเสี่ยวอินก่อน”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อกองทัพเมืองหยาดสายัณห์มาถึงเชิงภูเขาหลงหยาน ก็ทำให้ผู้คนต่างหวาดกลัว ทว่าเมื่อเห็นกองทัพของเมืองหยาดสายัณห์ชูธงศึกดอกจื่อยินประจำจักรวรรดิ หลัวอวี่เป็นคนแรกที่ก้าวออกมาและออกคำสั่ง “หน่วยสอดแนม จงลงไปตรวจสอบว่าเป็นกองทัพจากที่ใด จะได้ไม่ตกหลุมกลอุบายของจักรวรรดิอี้เหอ”
“ขอรับ”
หน่วยสอดแนมคนหนึ่งเดินถือธงดอกจื่ออินตรงไปยังด้านหน้ากองทัพของเมืองหยาดสายัณห์ ก่อนจะกล่าวเสียงดัง “ท่านหลัวอวี่ส่งข้ามาถามว่า ทหารและม้าของพวกท่านมาจากแห่งหนใด?”
ท่ามกลางฝูงชนซูมู่หยุนขี่ม้าออกมาอย่างเชื่องช้าและประสานหมัดกล่าว “ผู้ครองมณฑลอวิ้นจง…ซูมู่หยุน โปรดทูลองค์หญิงอินว่าพระอัยกาอยู่ที่นี่”
หน่วยสอดแนมผงะและเบิกตาโต “นะ…นี่คือกองทัพของเมืองหยาดสายัณห์จริงหรือ?”
ซูอวี่กล่าว “มีสิ่งใดผิดปกติหรือ? ข้าเป็นพระปิตุจฉาขององค์หญิงอิน แม่ทัพซูอวี่แห่งกองทัพฉินหลง โปรดทูลความจริงแก่องค์หญิงอินด้วย”
“ขอรับ”
หน่วยสอดแนมกลับไปยังค่าย ฉินอิน ฉู่เหยา ฉินเหยียนและคนอื่นๆ บนภูเขาเข้ามารับฟังข่าว จากนั้นฉินอินดูตื่นเต้นมาก “ท่านตาอยู่ที่นี่จริงหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง” หลัวอวี่ประสานหมัด “เป็นเรื่องจริง”
ฉินอินตื่นเต้นมาก นางขี่ม้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “ทุกคนตามข้ามาเถิด เพื่อไปพบท่านตา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
คนกลุ่มหนึ่งเดินทางลงจากภูเขา เมื่อมาถึงด้านล่างก็พบซูมู่หยุนและซูอวี่จากระยะไกล ดวงตาฉินอินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ น้ำตาไหลรินขณะที่กระโดดเข้าสู่อ้อมแขนของซูมู่หยุน “ท่านตา เหตุใดจึงอยู่ที่นี่?”
ซูมู่หยุนตัวสั่นเทาขณะที่ลูบศีรษะนางแผ่วเบา “อย่าเพิ่งร้องไห้เสี่ยวอิน และอย่าโทษข้าเลย…ข้าไม่สามารถส่งกองกำลังมาทันเวลา”
“เสด็จพ่อสิ้นพระชนม์แล้ว ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเองก็เช่นกัน” ฉินอินค่อยๆ ผละออกจากอ้อมแขน “ท่านตา มาฟังข่าวดีจากท่านดีกว่า บอกข้าทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่อาอวี่ และเขาอยู่ที่ไหน”
ใบหน้าซูมู่หยุนหมองหม่นทันทีและไม่ได้พูดสิ่งใด
ซูอวี่ด้านข้างลงจากม้าเข้ามาลูบไหล่ฉินอินแผ่วเบา “เสี่ยวอิน หลินมู่อวี่…ถูกลั่วหลานขัดขวางในเมืองหลันเยี่ยนจนต้องสละชีพ…”
“ว่าอย่างไรนะ…”
ฉินอินยืนนิ่งงันขณะที่น้ำตาไหลออกจากดวงตาทั้งสอง วิญญาณยุทธ์สีทองลุกโชนปกคลุมร่างกายอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ซูอวี่และซูมู่หยุนต้องถอยห่าง วินาทีต่อมาฉินอินทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมพึมพำราวกับสูญเสียจิตวิญญาณ “ไม่นะ…ไม่…ไม่…”
ซูมู่หยุนไม่สบายใจเมื่อเห็นดังนั้น “เสี่ยวอิน…โปรดเข้มแข็งไว้ จักรวรรดินี้ต้องการเจ้า”
หลัวอวี่ เฟิงสี่ ฉินเหยียน เว่ยโฉว และคนอื่นๆ คุกเข่าไปด้านเมืองหลันเยี่ยน ดวงตาเว่ยโฉวแดงก่ำพร้อมกล่าวเสียงแหบแห้ง “ท่านแม่ทัพ…เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…ต่อไปกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดจะเป็นอย่างไร…ท่านแม่ทัพ เหตุใดจึงจากพวกเราไป? พวกข้าทีว่าเหตุใดคนดีเช่นท่านจึงต้องจากไป…”
ฉู่เหยายืนนิ่งพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้มอย่างเงียบงัน นางรู้สึกไม่แตกต่างจากฉินอิน เมื่อฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตาย หลินมู่อวี่จึงเป็นสมาชิกครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ ข่าวการเสียชีวิตของหลินมู่อวี่ป็นดั่งสายฟ้าฟาดในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส
…
ซูมู่หยุนมองฉินอินด้วยหัวใจที่เจ็บปวดราวกับถูกมีดแทง “เสี่ยวอิน เข้มแข็งไว้เถิด เราจะกลับบ้านเพื่อฟื้นฟูเมืองหลันเยี่ยนและจักรวรรดิ นี่คือภารกิจของเจ้า”
ฉินอินพึมพำ “ร่างของพี่อาอวี่อยู่ที่ไหน…”
“ข้าไม่ทราบ…บางทีอาจถูกคนของจักรวรรดิอี้เหอเคลื่อนย้ายไปแล้ว”
“เหตุใด…” น้ำตาไหลรินจากดวงตาคู่งาม “เหตุใดจักรวรรดิอี้เหอจึงทำเช่นนี้? พวกเขาบอกว่าทุกสรรพสิ่งเท่าเทียมกันมิใช่หรือ…เหตุใดจึง…”
ซูมู่หยุนประสานหมัด “เสี่ยวอิน ลุกขึ้นเถิด มีเพียงเจ้าผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเรียกเหล่านักรบผู้กล้าหาญกลับมาเพื่อแก้แค้น”
ฉินอินพยักหน้า “ท่านตา กลับบ้านที่ตำหนักเจ๋อเทียนของพวกเรากันเถิด”
“อืม”
ซูมู่หยุนกล่าวเสียงดัง “พาองค์หญิงไปยังรถม้า และเคลื่อนทัพไปยังเมืองหลันเยี่ยนโดยเร็วที่สุด”
“ไม่ ข้าจะไม่นั่งรถม้า”
ฉินอินส่ายหัวและกล่าวว่า “ต่อจากนี้ข้าจะไม่นั่งรถม้าอีก”
ซูมู่หยุน “…”