The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 335 แต่งตั้งเจ็ดแม่ทัพเทพ
ห้าวันผันผ่านไปในพริบตา สงครามในเมืองหลันเยี่ยนยังไม่จบสิ้น
พลังต่อสู้ของกองทัพอสูรครึ่งอสรพิษและอสูรครึ่งกิ้งก่ามีความได้เปรียบในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหิน ในทางตรงกันข้ามทหารม้าแห่งจักรวรรดิอี้เหอไม่สามารถแปรทัพบุกได้ เวลาล่วงเลยกว่าห้าวันก็ไม่มีวี่แววว่าจะขับไล่กองทัพเผ่าพันธุ์อสูรออกไปได้ และยังสูญเสียม้าศึกเกือบสามหมื่นตัว
…
กำแพงเมืองถูกซ่อมแซมอย่างเชื่องช้า ภายใต้ชายคา ฉินอี้ราชาผู้พิชิตมองไปยังสนามรบด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ไอ้พวกขยะใช้เวลานานถึงเพียงนี้ก็ยังไม่สามารถขับไล่เผ่าพันธุ์อสูรไปได้ พวกมันเป็นเพียงขยะไร้ค่าอย่างแท้จริง!”
จื่อเย่ากล่าวอย่างเฉยเมย “แม่ทัพลู่จ่าวทำดีที่สุดแล้ว…”
“ทำดีที่สุดแล้ว?”
ฉินอี้ยิ้มอย่างเย็นชา “ทำดีที่สุดในการร้องเพลงสรรเสริญตัวเองอย่างนั้นเหรอ? ตัดหัวฉินเหลยและส่งไปยังหลิงหนาน สิ่งนี้คือการพิสูจน์ว่าลู่จ่าวเป็นคนของจักรวรรดิอี้เหออย่างแท้จริง?”
“ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ด้วย…”
“เหอะ! กระนั้นฉินเหลยก็เป็นหลานของข้า…เขาทะนงตัวจึงสมควรตาย ทว่าการทำกับร่างกายฉินเหลยเช่นนี้ ลู่จ่าวทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก”
จื่อเย่าประสานหมัด “ความจริงเนื่องจาก…ฉินเหลยเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่ได้รับการไว้วางใจมากที่สุดจากฉินจิ้น อีกทั้งเป็นหนึ่งในสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยน ดังนั้นแม่ทัพลู่จ่าวจึงต้องการใช้ชื่อเสียงของฉินเหลยเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจในมณฑลหลิงหนาน!”
“ไร้สาระ!”
ฉินอี้รู้สึกรำคาญเล็กน้อยและกล่าวว่า “ไปเรียกหลงเซียนหลินกลับมานำทัพ มิเช่นนั้นคงไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะกองทัพเผ่าพันธุ์อสูรของถังเสี่ยวซีได้”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
จื่อเย่าพยักหน้าและเงยหน้ามองฉินอี้พร้อมทำท่าลังเลว่าจะกล่าวดีหรือไม่
“พูดมา”
จื่อเย่าพยักหน้า “แผ่นดินส่วนใหญ่รวมกันเป็นปึกแผ่น ในเมื่อจักรวรรดิอี้เหอมีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองไป๋หลิง ดังนั้นเมืองหลันเยี่ยนจึงมิใช่เมืองหลวงของจักรวรรดิอีกต่อไป อีกทั้ง…พวกเราเข่นฆ่าชาวบ้านในเมืองไปกว่าหนึ่งลานคน จนเกิดความเคียดแค้นมากมาย เมืองหลันเยี่ยนไร้ค่าเกินกว่าที่จะอยู่ต่อ…ข้าเกรงว่าจะเป็นการสิ้นเปลืองกองทัพและเสบียง เดิมทีพืชพันธุ์ต่างๆ ของเราถูกส่งมาจากมณฑลหลิงหนานซึ่งเดินทางไม่สะดวกนัก รวมทั้งเมืองหลันเยี่ยนอยู่ใกล้กับเมืองชีไห่และเมืองหยาดสายัณห์ กระหม่อมแนะนำให้ถอนทัพออกจากเมืองหลันเยี่ยนและตั้งฐานที่มั่นในเมืองห้าหุบเขาในมณฑลชางหนานทางใต้แทนพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่น…”
ฉินอี้หรี่ตา “เมืองหลันเยี่ยนอยู่ในสภาพเสื่อมโทรมอยู่แล้ว เช่นนั้นปล่อยถังเสี่ยวซีไป…รอจนกว่าจะรวบรวมกองทัพแล้วมาจัดการเด็กสาวผู้นี้อีกครั้ง!”
“ราชาผู้พิชิตช่างปราดเปรื่อง!” จื่อเย่าก้มลงคำนับอย่างระมัดระวัง “ท่านราชาผู้พิชิต เรื่องการจัดตั้งเจ็ดแม่ทัพเทพ…มิทราบว่าจะเริ่มเมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ?”
“เรื่องนี้…” ฉินอี้สูดหายใจลึกและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าแม่ทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอคนใดมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียกว่า ‘เจ็ดแม่ทัพเทพ’ ได้”
“กระหม่อมคงมิกล่าวสิ่งใดไปมากกว่านี้ ให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยเองพ่ะย่ะค่ะ! ไม่สิ…ควรจะต้องเป็นฝ่าบาทอยู่แล้ว…”
ฉินอี้ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะมองไปรอบบริเวณ “ชื่อนี้…ห้ามเรียกอีกในภายภาคหน้าต่อหน้าผู้คน อย่าลืมว่าจักรวรรดิอี้เหอเป็นของคนทั้งปวง เราถือว่าทุกคนมีความกรุณาและเท่าเทียมกัน อีกทั้งไม่มีจักรพรรดิเป็นผู้ปกครอง”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“สั่งหลงเซียนหลินนำกองทัพไปต่อต้านเผ่าพันธุ์อสูรของถังเสี่ยวซี จากนั้นจัดพิธีประดับยศในช่วงเที่ยงวันพรุ่ง”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
…
วันรุ่งขึ้นเวลาเที่ยง ภายในโถงหลักตำหนักเจ๋อเทียนเหล่าทหารของจักรวรรดิอี้เหอมารวมตัวกันอย่างหนาแน่น เนื่องจากวันนี้เป็นวันมอบรางวัลตอบแทนคุณงามความดี โดยมิสนใจว่าจะมีกองทัพเผ่าพันธุ์อสูรโจมตีอยู่นอกเมือง ฉินอี้เล็งเห็นความสำคัญว่าต้องสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ทหารที่ต่อสู้เป็นเวลาหลายเดือนติดต่อกัน
“พิธีประดับยศเริ่มขึ้นแล้ว!” นายทหารตะโกนดัง “ต่อจากนี้จะเป็นการประกาศรายชื่อเจ็ดแม่ทัพเทพแห่งจักรวรรดิอี้เหอ!”
ฉินอี้ถือกระบี่ไร้วิญญาณพร้อมถือม้วนหนังสือด้วยมืออีกข้าง เขาเดินไปหน้าบัลลังก์และกล่าวเสียงดัง “ในวันนี้ทั่วทั้งแผ่นดินเป็นของจักรวรรดิอี้เหอ เพื่อเหล่าแม่ทัพที่ทำงานหนัก ฉินอี้ได้รับสาส์นจากสวรรค์เพื่อแต่งตั้งเจ็ดแม่ทัพเทพ จงจำไว้ว่า…จงปฏิบัติต่อทุกผู้อย่างเท่าเทียม สนธิสัญญาแห่งไป๋หลิง ผูกมัดด้วยชีวิต ใต้สรวงสวรรค์ บนพื้นปฐพี คำสาบานเลือดบังเกิดขึ้น!”
ฉินอี้หยุดพูดเล็กน้อย “จื่อเย่า…ตลอดทางจากมณฑลหลิงหนานถึงมณฑลหลิงเป่ย เขามีส่วนร่วมต่อความสำเร็จนี้มากมาย จึงได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพใหญ่’ ฉินหวน…ในฐานะแม่ทัพแนวหน้าผู้บุกแผ่นดินหนาวเหน็บ กระทั่งพื้นที่สูงเสียดฟ้า จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับสอง’ ลู่จ่าว…ได้รับชัยชนะในการต่อสู้มากมาย จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับสาม’ หม่านฟาง…บุตรชายหม่านหนิงผู้เก่งกล้า จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับสี่’ หลี่เฉียนซุน…วีรบุรุษแห่งเมืองหลิงหนาน จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับห้า’ ติงซี่…แม่ทัพชื่อเสียงเกรียงไกรจากเมืองสายัณห์ผู้ต่อสู้อย่างกล้าหาญ จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับหก’ หลงเซียนหลิน…หลังจากยอมจำนนก็สร้างชื่อเสียงมากมาย จะได้รับการขนานนามว่า ‘แม่ทัพระดับเจ็ด’”
ทันใดนั้นเหล่าทหารต่างแสดงความยินดี ทั้งเจ็ดแม่ทัพกลายเป็นผู้นำแห่งจักรวรรดิอี้เหอและได้รับการยกย่องจากทุกคน
ลู่จ่าวยิ้มเย็นชา “ข้าคิดว่าตนเองมีความสามารถมากพอที่จะเป็นถึงแม่ทัพระดับสอง ข้าไม่ต้องการเป็นเพียงแม่ทัพระดับสาม”
จื่อเย่าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ฉินหวนเป็นบุตรของราชาผู้พิชิต แม่ทัพลู่จ่าวไม่พอใจหรือ?”
“มิบังอาจ”
ลู่จ่าวมองหลงเซียนหลินด้านหลังและยิ้ม “แม่ทัพหลงเซียนหลินยกทัพไปเมืองหลันเยี่ยนเพื่อต่อต้านศัตรูอย่างฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ และอีกมากมาย ท่ามกลางแม่ทัพผู้ชื่อดัง เขาเป็นแม่ทัพที่มีความสามารถ ทว่าคงไม่คาดคิดว่าจะได้ระดับสุดท้าย ฮ่าๆ…”
หลงเซียนหลินกดด้ามดาบด้วยสายตาสงบนิ่ง “แม่ทัพลู่จ่าวพูดถึงสิ่งใด หลงเซียนหลินมิได้เคืองขุ่น นอกจากจะเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นหนึ่งในเจ็ดคนผู้รับใช้คนทั้งแผ่นดิน และมิได้ต้องการชื่อเสียงแต่อย่างใด ข้าได้ยินมาว่าแม่ทัพลู่จ่าวมีกองทหารสองแสนนาย แต่ก็ยังไม่สามารถขับไล่กองทัพเผ่าพันธุ์อสูร เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
ลู่จ่าวพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “หลงเซียนหลิน ระวังปากเจ้าด้วย!”
หลงเซียนหลินกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ข้าจะไม่ใส่ใจเวลาพูดได้อย่างไร?”
จื่อเย่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทั้งสองต่างก็เป็นแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงแห่งจักรวรรดิอี้เหอ จงอย่าแสดงกิริยาเช่นนั้น แม่ทัพหลง…กองทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอกำลังถอนทัพจากเมืองหลันเยี่ยน การป้องกันศัตรูที่นี่จึงตกเป็นความรับผิดชอบของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ฝ่าบาท…ไม่ ราชาผู้พิชิตได้มอบทหารม้าห้าหมื่นนายให้เจ้า ข้าไม่รู้ว่าจะสามารถหยุดกองกำลังกว่าหนึ่งแสนของถังเสี่ยวซีได้หรือไม่”
“เหตุใดจึงไม่ได้?”
หลงเซียนหลินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้กำลังพลห้าพันนายก็เพียงพอแล้ว”
จื่อเย่าหัวเราะและมองไปยังติงซี่และกล่าวว่า “นี่ก็เป็นวันที่หกแล้ว หากแม่ทัพติงซี่ไม่สามารถบุกภูเขาหลงหยานและจับฉินอินผู้เป็นรัชทายาทของจักรพรรดิทรราช ข้าเกรงว่าพวกเราเจ็ดแม่ทัพคงไม่สามารถเผชิญหน้ากับคนทั้งแผ่นดินได้”
ดวงตาติงซี่สงบนิ่ง เขาประสานหมัดกล่าว “ข้าเป็นแม่ทัพไร้ความสามารถ และไม่มีทางยึดภูเขาหลงหยานได้ โปรดอภัยแก่ข้าน้อยด้วย”
จื่อเย่าหัวเราะ “เจ้าและข้าต่างก็ทำเพื่อจักรวรรดิอี้เหอ ทว่าแม่ทัพติงซี่คงต้องเร่งทำให้สำเร็จ ข้าได้ยินมาว่า…มณฑลอวิ้นจงมีการระดมกำลังทหารบ่อยครั้ง ซูมู่หยุน…ไอ้จิ้งจอกเฒ่าคงเริ่มเคลื่อนไหวในเร็ววันนี้”
“ขอรับ…”
…
ในช่วงบ่ายกองทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอเริ่มอพยพออกจากเมืองหลันเยี่ยน พร้อมรื้อค้นทรัพย์สินในเมืองขนกลับไปด้วย ขบวนกองทัพทอดยาวเป็นระยะหลายร้อยไมล์มุ่งหน้าไปยังเมืองห้าหุบเขาดั่งสายน้ำ ขณะเดียวกันหน่วยลาดตระเวนถือดาบเหล็กไล่ฟันผู้คนไปตลอดทาง ทำให้หมอกแห่งความตายยังคงลอยเหนือเมืองหลันเยี่ยน
ผู้บัญชาการระดับเจ็ดหลงเซียนหลินนำทหารม้าห้าหมื่นนายเผชิญหน้ากับกองทัพเผ่าพันธุ์อสูรของถังเสี่ยวซีนอกเมืองหลันเยี่ยน
วันรุ่งขึ้นมีข่าวส่งมาว่ากองกำลังสองแสนนายจากมณฑลอวิ้นจงเคลื่อนทัพสังหารกองทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอตลอดทางมายังเมืองหลันเยี่ยน ซูอวี่ผู้เป็นบุตรีของซูมู่หยุนนำทัพด้วยตนเอง กองทัพแห่งจักรวรรดิอี้เหอเป็นฝ่ายพ่ายแพ้พร้อมสูญเสียม้าเกือบห้าหมื่นตัว ส่วนที่เหลือหลบหนีกลับเมืองห้าหุบเขาด้วยความอัปยศ ขณะเดียวกันทหารม้าหลายหมื่นนายที่ปิดล้อมภูเขาหลงหยานก็ล่าถอยกลับไปยังเมืองห้าหุบเขาโดยการนำของติงซี่
…
กระดาษปลิวว่อนทั่วเมือง หลงเซียนหลินพิงซากกำแพงและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!”
นายพลด้านข้างมองอย่างตกตะลึง “ท่านแม่ทัพ จักรวรรดิอี้เหอพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ เหตุใดท่านจึงหัวเราะเช่นนี้?”
“กรรมตามสนอง!”
หลงเซียนหลินถือก้อนอิฐและกล่าวด้วยเสียงเย้ยหยัน “จักรวรรดิอี้เหอเริ่มต้นด้วยการเข่นฆ่าผู้คนในเมืองหลันเยี่ยน ก็ต้องได้รับกรรมตามสนองเช่นนี้ ฮ่าๆๆ ซูมู่หยุนจิ้งจอกเฒ่ายอมส่งกองทัพออกมาในที่สุด ข้าเกรงว่า…แผ่นดินนี้คงมิใช่ของจักรวรรดิอี้เหออีกต่อไป!”
ขณะเดียวกันหน่วยสอดแนมก็เข้ามาจากระยะไกล ชายผู้นั้นประสานหมัดรายงาน “แม่ทัพหลง เพิ่งมีข่าวใหม่จากเมืองชีไห่ ถังหลานนำทัพหนึ่งแสนนายตรงมายังเมืองหลันเยี่ยนขอรับ!”
“หึ!”
หลงเซียนหลินตะลึงเล็กน้อย “ในที่สุดถังหลานจิ้งจอกเฒ่าก็อดทนไม่ได้อีกต่อไป ฮ่า…คงไม่ง่ายที่จะรอมาจนถึงตอนนี้”
นายพลด้านข้างกล่าว “แม่ทัพหลง เมืองชีไห่และเมืองหยาดสายัณห์กำลังเคลื่อนทัพมาพร้อมกัน เราคงไม่สามารถป้องกันได้”
“อืม”
หลงเซียนหลินพยักหน้า “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงต้องการทหารม้าห้าหมื่นนายที่เหลือของจักรวรรดิอี้เหอ? มิใช่เพื่อขับไล่กองทัพเผ่าพันธุ์อสูร ทว่าพื่อ…วิ่งหนีให้เร็วขึ้น!”
นายพลตกตะลึง “แม่ทัพหลง ท่านรู้ตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนแล้วหรือว่าจักรวรรดิอี้เหอจะพ่ายแพ้?”
“ฉินจิ้นตายไปแล้ว และไม่มีผู้ใดปกครองจักรวรรดิอีกต่อไป ถึงเวลาที่ถังหลานและซูมู่หยุนจะออกจากถ้ำเพื่อแบ่งปันอาหารชั้นเลิศใช่หรือไม่?”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพช่างปราดเปรื่อง พวกเราควรทำอย่างไรในตอนนี้?”
“สั่งให้ทุกคนนำอาหารแห้งขึ้นม้าและออกจากเมืองทางประตูทิศตะวันออก อีกทั้งห้ามผู้ใดเข่นฆ่าคนในเมือง มิเช่นนั้นข้าจะสังหารอย่างไม่ปรานี!”
“พวกเราจะไปที่แห่งใด?”
“กลับมณฑลหลิงหนาน”
“มิต้องการกลับไปยังเมืองห้าหุบเขาหรือขอรับ?” นายพลเอ่ยถาม
“เมืองห้าหุบเขาไม่เหมาะที่จะอยู่อาศัยอีกต่อไป” หลงเซียนหลินเอ่ยเสียงแผ่วเบา “แทนที่จะกลับไปยังเมืองห้าหุบเขาเพื่อตายเอาดาบหน้า ไม่ดีกว่าหรือหากเราติดตามราชาผู้พิชิตกลับมณฑลหลิงหนาน”
“ขอรับ!”
…
เป็นเวลาดึกสงัด ทหารม้าแห่งจักรวรรดิอี้เหอทั้งห้าหมื่นนายออกจากเมืองหลันเยี่ยน และทิ้งถังเสี่ยวซีไว้ด้านนอกเมือง
เช้าวันรุ่งขึ้น น้ำค้างหล่อเลี้ยงแผ่นดินเมืองหลันเยี่ยนเพื่อเยียวยาบาดแผลของเมืองแห่งนี้
ถังเสี่ยวซีขี่ม้าเข้าไปในเมืองอย่างเชื่องช้าขณะที่มองประตูเมืองที่กลายเป็นซากปรักหักพัง น้ำตาพลันเอ่อล้นออกมา “มู่มู่ เจ้าจะต้องไม่ตาย…บอกเสี่ยวซีทีว่าเจ้ายังไม่ตายใช่หรือไม่?”
ดวงตาถังเจิ้นแดงระเรื่อ “องค์หญิง…แม่ทัพหลินมู่อวี่…เขาสมควรได้รับเกียรติและชื่อเสียงเกรียงไกร ทว่าเขาจากไปแล้ว…”
“ไม่ เขายังไม่ได้ไปไหน…”
ถังเสี่ยวซีพึมพำ