The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 311 ความเกลียดชัง
EP.311 ความเกลียดชัง
เวลาเช้าตรู่ยังคงมีหมอกลอยอยู่รอบแท่นบูชาของเผ่าพันธุ์อสูรในป่านิรันดร์ ที่พักรอบบริเวณรูปทรงเรียบง่ายและไม่โอ่อ่า ทว่าให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในเทพนิยาย เมื่อหลินมู่อวี่เปิดประตูก็พบจิ้งจอกสาวสองตนกำลังถืออ่างล้างหน้า พวกนางกล่าวอย่างเคารพ “ท่านแม่ทัพ พวกเรามาเพื่อช่วยองค์ราชินีแต่งตัวเจ้าค่ะ”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “เข้ามาสิ”
ถังเสี่ยวซีกำลังเตรียมตัว ขณะที่หลินมู่อวี่ยืนพิงราวบันไดมองจากระยะไกล จิ้งจอกหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังจัดม้าอยู่ในสนามและฝึกวิทยายุทธ์ของทหารม้า เช่นการแทง การเฉือน และการตีวงล้อม ดูเหมือนว่าหลังจากพ่ายแพ้สงครามเมื่อหลายสิบปีก่อน เผ่าพันธุ์อสูรก็มองหายุทธวิธีในการจัดการทหารม้าหนักของมนุษย์
นักปราชญ์หลิงหูเหยียนด้านข้างกำลังนั่งบนหินแกะสลักใต้บันได นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพหลวง ทหารม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”
“ธรรมดา”
หลินมู่อวี่แตะจมูก เขามิได้โกหก ทักษะการต่อสู้และการขี่ม้าของจิ้งจอกหนุ่มเหล่านี้ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ เมื่อเทียบกับองครักษ์อวี้หลิน ทหารอวี้หลิน และกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาด ความรู้ในการทำศึกบนหลังม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกนั้นช่างผิวเผิน หลินมู่อวี่หรี่ตาลงและกล่าวว่า “กระนั้นม้าของเผ่าจิ้งจอกก็ยอดเยี่ยมมาก ความเร็วและพลังกายของมันเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด”
“ท่านแม่ทัพหลวงตาดีมากเจ้าค่ะ!”
หลิงหูเหยียนยิ้ม “ม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเป็นม้าป่าที่จับจากทุ่งหญ้าทางตะวันตกเฉียงเหนือของป่านิรันดร์ มันถูกทำให้เชื่อง ทว่ายังคงมีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า ในแง่ของความแข็งแกร่งและความอดทน มันดีกว่าม้าจากที่ราบตอนกลางของแผ่นดิน ฮ่าๆ อืม…หลิงหูจะมอบม้าให้องค์ราชินีและท่านแม่ทัพ คิดว่าอย่างไรเจ้าคะ?”
“โอ้?”
ดวงตาหลินมู่อวี่เปล่งประกาย ในโลกนี้ม้าศึกเทียบเท่ากับรถยนต์ ซึ่งหมายถึงความคล่องตัวของแต่ละบุคคล หลินมู่อวี่จึงยิ้มอย่างมีความสุข “มันไม่เป็นไรจริงๆ ใช่หรือไม่?”
หลิงหูเหยียนปิดปากยิ้ม “ท่านแม่ทัพหลวงเป็นสหายคนสนิทขององค์ราชินีซี และเป็นผู้ที่แก้ไขความขัดแย้งระหว่างเผ่าพันธุ์อสูรและมนุษย์ หากไม่มีแม่ทัพหลวง สระแห่งการเกิดใหม่ของพวกเราอาจไม่ถูกเติมเต็มด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นผู้มีพระคุณของเผ่าพันธุ์เรา ฉะนั้นม้าศึกนี้เป็นเพียงของขวัญเล็กน้อย หลิงหูได้ออกคำสั่งให้นำม้าที่ดีที่สุดสองตัวมาให้แล้วสำหรับท่านแม่ทัพหลวงและองค์ราชินีซี ตกลงไหมเจ้าคะ?”
“ตกลง ดีมากเลย…” หลินมู่อวี่พยักหน้ารับและยิ้ม
ขณะเดียวกันถังเสี่ยวซีก็เดินออกจากประตูโดยสวมเสื้อผ้าหรูหรา นี่คือความงดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของชุดแห่งจักรวรรดิจากช่างฝีมือในเมืองหลันเยี่ยน เมื่อรวมกับจิ้งจอกอัคนีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองชีไห่ ยิ่งทำให้ดูสง่างามมากขึ้น อีกทั้งสัญลักษณ์ประจำตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่มีความคล้ายคลึงกับเผ่าพันธุ์จิ้งจอกในป่านิรันดร์ราวกับเป็นผลงานจากศิลปินคนเดียวกัน ซึ่งทำให้หลิงหูเหยียนตกตะลึงและโค้งคำนับ “กระหม่อมหลิงหูถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ…ชุดขององค์ราชินีสง่างามมาก ฝีมือมนุษย์ช่างประณีตและน่าทึ่ง!”
ถังเสี่ยวซีหัวเราะเบาๆ “หลิงหู หากเจ้าต้องการ หลังจากที่ข้ากลับเมืองหลวง ข้าจะให้ช่างตัดเสื้อทำชุดที่เหมาะสมกับรูปร่างของเจ้าและส่งมาให้ดีไหม?”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” หลิงหูเหยียนยิ้มและขอบคุณด้วยใบหน้าแดงก่ำ แม้ว่านางจะเป็นนักปราชญ์สูงสุดของเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ทว่าก็ยังคงเป็นเด็กสาว ดังนั้นจึงปรารถนาถึงสิ่งสวยงามเช่นเดียวกับมนุษย์
ถังเสี่ยวซีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่พวกเจ้ากำลังพูดถึงสิ่งใดอยู่หรือ ข้าได้ยินคำว่าของขวัญ”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลิงหูเหยียนพยักหน้าและกล่าว “แม่ทัพหลวงยกย่องม้าของเผ่าพันธุ์จิ้งจอก ดังนั้นกระหม่อมจึงตัดสินใจเลือกม้าศึกที่ดีที่สุดของเผ่าเพื่อมอบให้ท่านแม่ทัพหลวงและองค์ราชินีซีพ่ะย่ะค่ะ พวกมันอยู่ที่นี่แล้ว ทรงตามกระหม่อมมาเถิด”
“อื้ม”
เมื่อลงบันไดมาก็พบทหารจิ้งจอกหนุ่มสองตนมาพร้อมกับม้าสีขาวหนึ่งตัว และม้าสีดำอีกหนึ่งตัว ม้าสีขาวเป็นเพศเมีย ส่วนม้าสีดำเป็นเพศผู้ หลิงหูเหยียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นม้าที่ได้รับการฝึกฝนมาสองปีจนเชื่องแล้ว ตัวสีขาวชื่อ ‘เสวี่ยหลี’ ส่วนตัวสีดำชื่อ ‘เจี๋ยดี่’ ซึ่งเป็นชื่อที่กระหม่อมตั้งเอง หากท่านแม่ทัพหลวงและองค์ราชินีซีไม่พอพระทัยกับชื่อ ก็สามารถเปลี่ยนได้พ่ะย่ะค่ะ”
หลินมู่อวี่หัวเราะเบาๆ “พอใจสิ จะไม่พอใจได้อย่างไร? เสี่ยวซีตามลักษณะนิสัยของเจ้าแล้ว คงเลือกเสวี่ยหลีใช่หรือไม่?”
ถังเสี่ยวซีพยักหน้า “อื้ม ส่วนมู่มู่ก็ต้องการเจี๋ยดี่ เนื่องจากเจี๋ยดี่แข็งแกร่งเหมาะสมกับเจ้ามากกว่า”
“อืม”
หลินมู่อวี่ก้าวไปด้านหน้าและลูบแก้มของเจี๋ยดี่ ทักษะชีพจรวิญญาณแผ่ออกไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นพลังเชื่องก็เข้าสู่สมองของม้าศึกอย่างเชื่องช้า และเริ่มทำพันธะวิญญาณในพริบตา ทันใดนั้นเจี๋ยดี่ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมส่งเสียง ก่อนจะเดินไปด้านหน้าและโค้งศีรษะให้หลินมู่อวี่
นักรบจิ้งจอกผู้นำม้าเข้ามาถึงกับผงะ “พระเจ้า!”
“เป็นไปได้อย่างไร?”
“แม้ว่าเจี๋ยดี่จะถูกทำให้เป็นม้าศึก ทว่าก็ไม่มีใครสามารถทำให้มันเชื่องได้ แม้แต่นักรบผู้แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์จิ้งจอกก็ไม่สามารถขี่เจี๋ยดี่ ทว่าตอนนี้…”
หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อย “หมายความว่าชะตาลิขิตมาเพื่อข้าอย่างไรล่ะ ฮ่าๆ…”
พูดจบเขาก็ขึ้นม้าและดึงบังเหียน ทันใดนั้นม้าศึกก็ยืนอย่างตื่นเต้นและส่งเสียงร้องยาว หลังจากหลินมู่อวี่ตะโกนมันก็วิ่งฝ่าฝุ่นด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง จากนั้นหลินมู่อวี่ขี่ม้ากลับมาในพริบตาราวกับสายลม
ถังเสี่ยวซีหัวเราะคิกคัก “มู่มู่เจ้าชอบไหม?”
“ชอบมาก!”
หลินมู่อวี่กล่าวอย่างจริงใจ “ข้าไม่เคยขี่ม้าที่ดีถึงเพียงนี้มาก่อนในชีวิต…”
หลิงหูเหยียนเองก็มีความสุข “เป็นเรื่องดีที่ท่านแม่ทัพหลวงชอบ เช่นนั้นองค์ราชินีซี เสวี่ยหลีตัวนี้เป็นม้าที่อ่อนโยน ทว่าฝีเท้าของมันก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน พระองค์ทรงประสงค์จะลองหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่จำเป็น!”
ถังเสี่ยวซีเดินไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้มและจูงม้า “เนื่องจากกิจของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกเสร็จสิ้นแล้ว ตอนนี้ข้าควรจะกลับไปยังประตูเมืองอสูร หลิงหู…เจ้าอาศัยอยู่ในป่านิรันดร์และปกครองเผ่าพันธุ์อสูรทั้งหมดอย่างแท้จริง อย่างน้อยเจ้าไม่สามารถปล่อยให้เผ่าพันธุ์งูและหมีโจมตีมนุษย์ตามอำเภอใจอีก และห้ามกินเนื้อมนุษย์ด้วย!”
หลิงหูเหยียนหยักหน้ารับอย่างเคารพ “น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทอย่าทรงกังวล”
“ดี พวกเรากลับล่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะออกไปส่ง!”
…
หลังจากกินอาหารเช้าอย่างเรียบง่าย เผ่าพันธุ์จิ้งจอกส่งนักรบสามร้อยตนเพื่อคุ้มกันหลินมู่อวี่และถังเสี่ยวซีกลับประตูเมืองอสูร พวกเขาไม่มีกองทหารอีกแล้ว เนื่องจากกองกำลังหลักของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกกลายเป็นเชลยศึกและถูกคุมขังในเมืองอสูรพร้อมกองทัพพฤกษานับหมื่น
หลังจากที่หลินมู่อวี่ใช้พลังพิชิตทำให้ม้าเชื่อง เขาก็แทบไม่ต้องบังคับม้าด้วยมืออีก ทว่าควบคุมการกระทำของมันด้วยจิตสำนึก ซึ่งทำให้ทักษะการขี่ม้าของหลินมู่อวี่ดีขึ้นมาก เขารู้ว่าเจี๋ยดี่สามารถทำอะไรได้บ้าง และใช้ความเร็วแบบใดในการต่อสู้โดยไม่ทำให้ว่อกแว่ก
เมื่อออกมาจากหุบเขาก็พบว่า ซากศพของทหารฝ่ายมนุษย์ถูกเก็บกวาดและฝังไว้ทั้งสองด้านของถนนแล้ว ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าคงถูกจัดการโดยกองทหารที่ถังเจิ้นนำมา ทว่ายังคงมีเผ่าพันธุ์งูและเผ่าพันธุ์อสูรอื่นๆ เต็มสองข้างทาง พวกมันมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยโลภราวกับมองอาหารเท่านั้น
‘ฟ่อ…’
อสูรครึ่งอสรพิษมองไปยังหลินมู่อวี่พร้อมง้าวในมือ
หลินมู่อวี่หันกลับไปจ้องด้วยสายตาอาฆาต อสูรครึ่งอสรพิษเข้าใจได้ทันที มันตกใจจนปล่อยอาวุธลงพื้น ‘เคร้ง’ ก่อนจะโค้งตัวไปยังทิศทางของหลินมู่อวี่ราวกับกำลังประกาศว่าเป็นผู้อยู่ใต้บัญชา นี่คือกฎของธรรมชาติ…ผู้ที่แข็งแกร่งกินผู้ที่อ่อนแอ การแสดงออกของหลินมู่อวี่เพียงพอที่จะทำให้อสูรครึ่งอสรพิษตนนี้เกรงกลัว
ทว่าหลังจากเดินไปได้ไม่ไกล ทักษะชีพจรวิญญาณก็ตรวจจับรัศมีพลังหนาแน่นได้ ทั้งหมดเป็นจอมยุทธ์มนุษย์ ซึ่งอยู่ในป่าด้านข้างห่างออกไปเพียงห้าร้อยเมตร!
“เสี่ยวซี หลิงหู พวกเจ้าไปกันก่อนเถิด ข้ารู้สึกร้อนใจเล็กน้อย ต้องการจะเข้าป่าไปเพื่อแก้ปัญหา…” หลินมู่อวี่แสร้งทำเป็นอาย
หลิงหูเหยียนหัวเราะคิกคัก “ท่านแม่ทัพหลวงช่างน่าสนใจจริงๆ!”
ถังเสี่ยวซีพูดไม่ออกเล็กน้อย “มู่มู่ บางครั้งข้าก็ไม่รู้จะพูดกับเจ้าอย่างไรดี ข้าบอกแล้วว่าให้ดื่มซุปให้น้อยลงในตอนเช้า เจ้าก็ไม่เชื่อ!”
“ใครให้ทำซุปอร่อยเช่นนั้นล่ะ? แล้วข้าจะรีบตามไปอีกสักครู่”
“อื้ม!”
…
หลินมู่อวี่ดึงบังเหียน และเจี๋ยดี่ก็ทะยานออกไปราวกับควันในพริบตาเข้าสู่ป่าด้านข้าง ตามดังคาด หลินมู่อวี่เจอกลุ่มทหารแห่งเมืองชีไห่หมอบกับพื้นพร้อมธนูและหอกในมือ มีคนจำนวนมากถือโล่ และมีทหารม้าอย่างน้อยราวหนึ่งหมื่นนายที่พร้อมจะโจมตีทุกเมื่อ
“ใครน่ะ?!” นายกองผู้หนึ่งกระซิบ
หลินมู่อวี่ขี่ม้าเข้าไปในทุ่งกะหล่ำด้วยสีหน้าซีดเซียว “พวกเจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่!?”
นั่นมันท่านแม่ทัพหลวง…”
ทหารกลุ่มหนึ่งออกมาแสดงความเคารพ “คารวะท่านแม่ทัพหลวง!”
ท่ามกลางฝูงชน ถังเจิ้นเดินถือมีดเหล็กด้วยใบหน้าซีดเซียวมองมายังหลินมู่อวี่ “ท่านแม่ทัพหลวง ระ…รู้ได้อย่างไรว่าพวกเราซุ่มอยู่ที่นี่?”
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ และข้าถามว่าพวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่? ถังเจิ้น ตอบข้ามา” หลินมู่อวี่กล่าวอย่างเย็นชา
ถังเจิ้นทำความเคารพอย่างประหม่า ทว่าก็ไม่สามารถซ่อนความเกลียดชังบนใบหน้าได้ “แม่ทัพหลวง พวกเรา…เกือบเจ็ดหมื่นคนจากเมืองชีไห่ถูกฝังในดินแดนแห้งแล้งแห่งนี้ พวกเขาต่างก็เป็นเด็กหนุ่มที่มีพ่อแม่ ทว่าลูกชายกลับต้องมาตายเช่นนี้…เมื่อเรามาที่นี่เพื่อฝังพวกเขา ก็พบว่ามีทหารจำนวนมากที่ร่างกายที่ไม่สมบูรณ์…พวกเขาถูกอสูรครึ่งอสรพิษกลืนกินราวกับอาหาร ท่านแม่ทัพหลวง…หากความเกลียดชังครานี้ไม่ถูกชำระ พวกเราก็คงไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป!”
“ถังเจิ้น!”
หลินมู่อวี่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้าต้องการวางกับดักให้ข้าและองค์หญิงซีด้วยอยุติธรรมนี้หรือ? พวกเราเพิ่งเจรจากับเผ่าพันธุ์อสูร ทว่าเจ้ากลับต้องการก่อสงครามอีกครั้ง…เจ้าสามารถรับผิดชอบเรื่องนี้ได้เหรอ?”
ถังเจิ้นยังคงไม่ยอมแพ้ขณะที่กระชับมีดเหล็กในมือแน่น “ท่านแม่ทัพหลวง ทหารกว่าหนึ่งหมื่นนายด้านหลังข้าต้องการที่จะต่อสู้เพื่อความเกลียดชังในจิตใจ แม้พวกเราจะล้มตายที่นี่ก็ตาม อย่างน้อยก็มีเจตจำนงที่ชัดเจน! หากเผ่าพันธุ์อสูรไม่ถูกทำลาย ก็จะไม่มีสันติภาพเกิดขึ้นบนแผ่นดินโดยแท้จริง!”
หลินมู่อวี่กัดฟัน “ได้ ตอนนี้ถังเสี่ยวซีอยู่ในมือของพวกมันแล้ว หากพวกเจ้าเริ่มโจมตี ถังเสี่ยวซีก็ต้องตายเพื่อความเกลียดชังนั้น! นี่คือเจตจำนงที่ชัดเจนของเจ้าอย่างนั้นหรือ?!”
“ข้า…” ถังเจิ้นพูดไม่ออก
หลินมู่อวี่ลงจากม้าและเข้าไปตบไหล่ถังเจิ้น “พี่ถังเจิ้น ข้าเองก็เกลียด ข้าเกลียดความโหดเหี้ยมของอสูรครึ่งอสรพิษ และเกลียดพวกเราเองที่ส่งทหารแห่งจักรวรรดิไปตายโดยไร้ประโยชน์ ทว่านี่คือราคาที่ต้องจ่ายเพื่อสงคราม ตามข้ากลับเมืองอสูรเถิด นี่คือคำสั่งในฐานะผู้บัญชาการทหาร”
ถังเจิ้นก้มหน้าลง ไม่นานเขาก็พยักหน้า “ขอรับ ข้าน้อยจะทำตามคำสั่ง! ทหาร ถอยทัพ…”