The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 309 องค์ราชินี
EP.309 องค์ราชินี
“หลิงหูเหยียน…เจ้าเป็นใคร?”
ถังเสี่ยวซียืนนิ่งอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก
หลิงหูเหยียนเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้า อาจเป็นเพราะความตื่นเต้น หางจิ้งจอกทั้งสามของนางจึงแกว่งไปมาเล็กน้อย “ท่านเป็นเทพธิดาจิ้งจอกเก้าหาง และกระหม่อมเป็นสมาชิกตระกูลจิ้งจอกสามหางซึ่งผูกติดด้วยสายเลือดเดียวกัน ส่วนพระวรกายของพระองค์เป็นสิ่งสรวงสวรรค์มอบให้ และยังเป็นราชันแห่งเผ่าพันธุ์จิ้งจอกพ่ะย่ะค่ะ”
หลินมู่อวี่อธิบายด้านข้าง “กล่าวโดยง่ายก็คือเสี่ยวซีถูกเปลี่ยนเป็นอสูรจิ้งจอกเก้าหางมิใช่เรื่องเลวร้าย เจ้าถูกลิขิตให้เป็นผู้นำสูงสุดของเผ่าพันธุ์อสูรอย่างแท้จริง ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้เอง ตราบใดที่เสี่ยวซีสัญญาว่าจะให้เลือดพวกเขาหนึ่งหยด เจ้าก็จะสามารถครอบครองเผ่าพันธุ์อสูรทั้งหมดนี้ อีกทั้งยังได้รับม้วนหนังสือผนึกจิ้งจอกอัคนีอีกสามชั้น พวกมันคือผนึกดวงดาราชั้นที่สิบ ผนึกแห่งเทพชั้นที่สิบเอ็ด และผนึกเทพจิ้งจอกชั้นที่สิบสอง”
“อะไรนะ…”
ถังเสี่ยวซีประหลาดใจ “ผนึกจิ้งจอกอัคนีมีเพียงเก้าชั้นมิใช่หรือ? ยะ…ยังมีอีกถึงสามชั้น…พระเจ้า? แม้แต่ท่านปู่ของข้าก็มิเคยล่วงรู้เรื่องนี้…”
ฉินอินก้าวไปด้านหน้าอย่างเป็นห่วงพร้อมจับมือหลินมู่อวี่ นางกระซิบข้างหู “พี่อาอวี่ คนพวกนี้มิใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับเรา คงมีหัวใจที่แตกต่างออกไปเป็นแน่! จิ้งจอกตนนี้จะโกหกเราหรือไม่…อย่างไรก็ตามความปลอดภัยของเสี่ยวซีก็สำคัญที่สุด พี่อาอวี่อย่าปล่อยให้เสี่ยวซีต้องไปเสี่ยงชีวิตนะเจ้าคะ!”
หลินมู่อวี่พยักหน้าและตบเบาๆ ที่ไหล่ของฉินอิน “วางใจเถิดเสี่ยวอิน ข้าจะไม่ปล่อยให้เสี่ยวซีเสี่ยงชีวิตเด็ดขาด”
“อืม”
ถังเสี่ยวซีครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ผนึกดวงดารา ผนึกแห่งเทพ และผนึกเทพจิ้งจอก…คงมิได้หลอกข้าเพื่อไปที่เผ่าพันธุ์อสูรใช่หรือไม่? แม้ว่าภายนอกข้าจะเป็นอสูร ทว่าก็ยังมีหัวใจเป็นมนุษย์…”
หลินมู่อวี่อมยิ้ม “ข้ารู้ว่าสิ่งเหล่านี้เชื่อถือยาก กระนั้นก็ยังมีอีกหนึ่งสิ่งภายในป่านิรันดร์ ณ แท่นบูชาของเผ่าพันธุ์อสูรมีน้ำพุแห่งความเยาว์วัย เมื่อเสี่ยวซีลงแช่น้ำพุนั้นจะช่วยให้เจ้ากลับคืนร่างมนุษย์อีกครั้ง แลพสลับเป็นร่างจิ้งจอกเก้าหางได้อย่างอิสระ เจ้ายินดีจะไปหรือไม่?”
สำหรับถังเสี่ยวซี นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด!
ถึงอย่างไรถังเสี่ยวซีก็เป็นมนุษย์มาตลอดยี่สิบปี เมื่อนางต้องกลายเป็นอสูรจิ้งจอกเก้าหางเช่นนี้…จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยอมรับไม่ได้ นางจะใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างไรหากต้องพยายามปกปิดหางทั้งเก้าตลอดเวลา และหลังจากต้องสวมเสื้อคลุมหนามาหลายวัน เสี่ยวซีก็ต้องการกลับไปสวมชุดของจักรวรรดิที่มีความงดงามอีกครั้ง
“ได้สิ…” นางพยักหน้ารับ
นักปราชญ์หลิงหูเหยียนดีใจมาก และรีบคุกเข่าลงอีกครั้ง “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะองค์ราชินี เผ่าพันธุ์อสูรจะสามารถยืนหยัดได้อีกครั้ง และไม่ต้องถูกรุกรานอีกต่อไป…”
หลินมู่อวี่เลิกคิ้วและพูดว่า “หากเสี่ยวซีเป็นราชินีของพวกเจ้า เช่นนั้นเผ่าพันธุ์อสูรก็ต้องเป็นพันธมิตรกับมนุษย์ เจ้าจะต้องไม่โจมตีฉับพลันและก้าวร้าวเฉกเช่นครานี้อีก!”
หลิงหูเหยียนยิ้ม “เจ้าค่ะ! เผ่าพันธุ์อสูรเต็มใจอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างสันติ แต่พวกเราเกรงว่ามนุษย์จะไม่เต็มใจอยู่ร่วมกับอสูรเช่นเรา ครั้งหนึ่งกองทัพมนุษย์เคยข้ามประตูอสูรเข้ามาโจมตีในป่านิรันดร์ เหล่าอสูรจึงต้องออกมาต่อต้านและปกป้องบ้านเกิดตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“วางใจเถิด”
หลินมู่อวี่ผายมือไปทางฉินอินเพื่อแนะนำ “นี่คือองค์หญิงฉินอินผู้เป็นรัชทายาทและจะเป็นจักรพรรดินีของจักรวรรดิในภายภาคหน้า ข้อตกลงทางสันติภาพจะเกิดขึ้นที่นี่ จากนี้ไปมนุษย์จะไม่ย่างก้าวไปทางทิศตะวันตก และเผ่าพันธุ์อสูรจะไม่ข้ามประตูเมืองเข้ามา ตกลงไหม?”
หลิงหูเหยียนกล่าวอย่างเคารพ “พ่ะย่ะค่ะ เผ่าพันธุ์อสูรจะไม่เคลื่อนกองทัพมายังประตูเมืองอีก…องค์หญิงอินโปรดวางพระทัย”
ฉินอินพยักหน้า “มนุษย์เองก็จะไม่รุกรานดินแดนทางทิศตะวันตกเช่นกัน!”
หลิงหูหนิงยืนตรงมองมายังถังเสี่ยวซีพร้อมรอยยิ้ม “กระหม่อมมีคำขอที่ต้องเสียมารยาท องค์ราชินี…ให้กระหม่อมได้ยลโฉมหางทั้งเก้าได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“หือ?”
ถังเสี่ยวซีประหลาดใจและมองไปยังหลินมู่อวี่
หลิงหูเหยียนเพียงต้องการยืนยันตัวตน หลินมู่อวี่จึงพยักหน้ารับ “อืม ให้นางดูเถิด!”
“อื้อ!”
ถังเสี่ยวซียกมือขึ้นปลดเงื่อนที่หน้าอกก่อนจะถอดเสื้อคลุมส่งไปฉินอิน ทันใดนั้นหางเพลิงทั้งเก้าก็ค่อยๆ แกว่งไปมาในอากาศ พร้อมหูบนศีรษะที่สั่นเล็กน้อย ดวงตาสีทองของนางเปล่งประกาย ถังเสี่ยวซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลิงหูเหยียน ตอนนี้เจ้าได้เห็นแล้ว พึงพอใจกับรูปลักษณ์ของข้าแล้วหรือยัง?”
หลิงหูเหยียนตกตะลึงพร้อมอ้าปากข้างและพึมพำ “งดงามมาก…เทพธิดาจิ้งจอกเก้าหางช่างงดงามยิ่งนัก…”
“ข้าไม่ต้องการทำเช่นนี้อีกแล้ว” ถังเสี่ยวซีกล่าวอย่างหดหู่
หลิงหูเหยียนหัวเราะแผ่วเบา “เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ กระนั้นองค์ราชินีทรงใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์มาโดยตลอด ทว่าในภายภาคหน้าองค์ราชินีสามารถวางพระทัยได้ ในเผ่าพันธุ์อสูรของเราจะไม่มีผู้ใดหยอกล้อพระองค์ พวกเขาต่างเกรงกลัวท่าน”
“ไม่ล่ะ”
ถังเสี่ยวซีประหม่า “ข้าไม่ต้องการอาศัยในเผ่าพันธุ์อสูร ข้าต้องการกลับไปใช้ชีวิตในเมืองหลวงของจักรวรรดิอีกครั้ง”
“ย่อมได้พ่ะย่ะค่ะ เผ่าพันธุ์อสูรจะรอคอยองค์ราชินีเสด็จมาเสมอ”
“อืม ได้สิ”
หลินมู่อวี่พลันกล่าว “ท่านนักปราชญ์ควรกลับไปและออกคำสั่งให้นักโทษทั้งห้าหมื่นตนเข้ามาในเมืองได้แล้ว จากนั้นข้าจะพาเสี่ยวซีไปยังแท่นบูชาหลักในป่านิรันดริ์เอง”
“ป่านิรันดร์…นั่นคือชื่อที่ท่านเรียกหรือ…อืม คงไม่สำคัญนัก” หลิงหูเหยียนทำอะไรไม่ถูก
เฟิงจี้สิงด้านข้างเอ่ยถาม “อาอวี่ เจ้ากำลังเปิดประตูเมืองต้อนเชลยศึกเผ่าพันธุ์อสูรเข้ามาหรือ?”
“ใช่”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “ข้าและเสี่ยวซีไม่สามารถเดินทางผ่านป่านิรันดร์ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นเราจึงต้องต่อรองด้วยการให้กองทัพจิ้งจอกสามหมื่นตนและกองทัพพฤกษาสองหมื่นตนซึ่งเป็นกองทัพที่ดีที่สุดของเผ่าพันธุ์อสูรเป็นเชลยศึกในเมืองอสูรชั่วคราว พี่เฟิงต้องช่วยข้าป้องกัน ข้าจะออกเดินทางเป็นเวลาสามวัน หากข้าและเสี่ยวซีไม่กลับมา พี่เฟิงสามารถสังหารเผ่าพันธุ์อสูรทั้งห้าหมื่นนายนี้ได้ทันที!”
“ฮ่า ตกลง!” เฟิงจี้สิงยิ้มเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงออกราชโองการให้ข้ามาช่วยเจ้า ครานี้คงสามารถปราบปรามเผ่าพันธุ์อสูรได้อย่างสิ้นซาก!”
หลิงหูเหยียนสั่นสะท้านภายในหัวใจ หลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงดูเหมือนจะเป็นแม่ทัพหนุ่มใจดี ทว่าพวกเขาต่างก็มีจิตสังหารอยู่ภายใน หลายหมื่นชีวิตอาจถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นระหว่างการพูดคุยหยอกล้อเช่นนี้
…
ทุกคนเฝ้าดูนักปราชญ์หลิงหูเหยียนเดินออกจากประตูอสูร หลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงอารักขาฉินอินและเสี่ยวซีอย่างใกล้ชิด ขณะที่เว่ยโฉว ฉือยิง และนายพลคนอื่นๆ เฝ้าระวังอย่างแน่นหนารอคอยเชลยศึกเผ่าพันธุ์อสูร
เป็นดังคาด ราวครึ่งชั่วโมงถัดมา กองทัพจิ้งจอกและกองทัพพฤกษายกทัพมาอย่างหนาแน่น ทหารจิ้งจอกหนุ่มทั้งหมดแข็งแกร่งมาก ขณะที่จิ้งจอกสาวดำรงอยู่เพื่อการสืบพันธุ์เท่านั้น ส่วนกองทัพพฤกษาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธนู พวกมันทั้งหมดวางอาวุธไว้ด้านทิศใต้ของเมืองและเดินเข้ามาทีละตัว ค่ายกักกันในประตูอสูรทำด้วยเหล็กกล้า เมื่อเข้าไปแล้วจะไม่สามารถออกมาได้โดยปราศจากกุญแจซึ่งมีความปลอดภัยสูง และมีพื้นที่เพียงพอสำหรับคุมขังเชลยศึกทั้งห้าหมื่นตนเหล่านี้
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เชลยศึกทั้งห้าหมื่นตนก็เข้าไปในกรงและนั่งเงียบงัน
เมื่อหลินมู่อวี่พาถังเสี่ยวซีและฉินอินมาใกล้ๆ เผ่าพันธุ์จิ้งจอกมองไปยังดวงตาสีทองของถังเสี่ยวซีอย่างเคารพ พวกมันคุกเข่าลงและกล่าวพร้อมเพรียงกัน “องค์ราชินี…”
ฉินอินยิ้มเล็กน้อย “จักรวรรดิมีจักรพรรดินีเพิ่มอีกหนึ่งแล้ว!”
ถังเสี่ยวซียิ้ม “เสี่ยวอินอย่าล้อข้าสิ…ฮึ่ม! เจ้าคิดว่าข้าต้องการเช่นนี้หรือ ข้าหวังเพียงเป็นมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ใครจะคาดคิดว่ามีอีกตัวตนหนึ่งอยู่ในร่าง…”
หลินมู่อวี่กล่าว “โชคดีหรือโชคร้ายก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของเจ้า อย่างน้อยเรื่องดีในตอนนี้คือเจ้าสามารถปราบปรามความโกลาหลของเผ่าพันธุ์อสูรได้ด้วยตนเอง ซึ่งถือเป็นความสำเร็จอันใหญ่ยิ่ง เสี่ยวซีอาจไม่ทราบว่าหากไม่มีเจ้า…เกรงว่าเราอาจต้องสูญเสียทหารนับแสนเพื่อทำลายล้างเผ่าพันธุ์อสูรทั้งหมด มันคงเป็นราคามหาศาลที่ต้องจ่ายให้แก่สงคราม!”
เฟิงจี้สิงด้านข้างหัวเราะเยาะ “อาอวี่แน่ใจหรือว่าจะใช้ทหารเพียงหนึ่งแสนนายก็สามารถทำลายล้างเผ่าพันธุ์อสูรทั้งหมดได้?”
หลินมู่อวี่ยิ้มเล็กน้อย “ใช่”
“ดี! เจ้าเด็กนี่หยิ่งยโสนัก ทว่าข้าชอบ!”
เฟิงจี้สิงเดินออกไปไม่กี่ก้าวก็มาถึงด้านข้างนักปราชญ์หลิงหูเหยียน เขากล่าวกับนางว่า “แม่นางหลิงหูเหยียน เจ้ามีสาวงามมากเพียงใดในเผ่าพันธุ์จิ้งจอก?”
หลิงหูเหยียนผงะไปชั่วขณะ “ข้าไม่ทราบว่าคำถามของท่านแม่ทัพหมายถึงสิ่งใด?”
“มิได้มีความหมายลึกซึ้ง” เฟิงจี้สิงยิ้ม “ดูสิ ข้าเกือบจะสามสิบปีแล้ว ทว่ายังคงโดดเดี่ยว หากท่านนักปราชญ์เห็นใจ โปรดแนะนำจิ้งจอกสาวให้ข้าสักสองสามตนได้หรือไม่?”
ฉินอินยิ้มและกล่าวว่า “ท่านผู้บัญชาการเฟิงต้องการถึงสองสามตนเลยหรือ?”
หลินมู่อวี่หัวเราะ “พี่เฟิงโลภมากจริงๆ สำหรับข้าสองคนก็พอแล้ว!”
“สองคนไหน?” เฟิงจี้สิงยิ้มติดตลก “สองสามตนที่ข้าต้องการคือจิ้งจอกสาวทั้งหมด ทว่าสองคนของเจ้า…หึ! เป็นองค์หญิงทั้งสองสินะ ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายโลภมาก!”
ทันใดนั้นฉินอินและเสี่ยวซีก็หน้าแดงก่ำพร้อมกันและแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
หลิงหูเหยียนกลั้นยิ้มและกล่าวว่า “หากท่านแม่ทัพเฟิงต้องการแต่งงานกับจิ้งจอกสาวจริงก็มาด้วยกันเถิดเจ้าค่ะ ตราบใดที่ท่านชอบ ข้าจะช่วยอย่างเต็มที่”
เฟิงจี้สิงอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวว่า “ช่างเถิด ข้าจะอยู่ที่ประตูเมืองอสูรเพื่อปกป้ององค์หญิงอิน เผ่าพันธุ์งูนอกเมืองดุร้ายนักและพร้อมจะโจมตีทหารของจักรวรรดิทุกเมื่อ ดังนั้นข้าจะไม่เสี่ยงชีวิตตัวเองออกไปเด็ดขาด!”
“เจ้าค่ะ! เช่นนั้นจะออกเดินทางเมื่อไหร่?” หลิงหูเหยียนมองไปยังหลินมู่อวี่และถังเสี่ยวซี
หลินมู่อวี่หันม้าไปอีกทางและกล่าวว่า “พร้อมออกเดินทางทันที”
ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มนายพลเข้ามาซึ่งเป็นแม่ทัพทหารกองหมื่นและคนอื่นๆ จากเมืองชีไห่
“องค์หญิงซี!” ถังเจิ้นประสานหมัดและกล่าวว่า “กระหม่อมมีเรื่องจะทูลขอพ่ะย่ะค่ะ”
ถังเสี่ยวซีกะพริบตา “ว่ามา”
ถังเจิ้นกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึมขณะที่ดวงตาเศร้าหมอง “ห้าวันที่ผ่านมาแม่ทัพอวี่เหวินเซี่ยประเมินความสามารถศัตรูต่ำไป จึงเป็นเหตุให้เหล่าพี่น้องทั้งหกหมื่นนายจากเมืองชีไห่ออกไปต่อสู้และเสียชีวิตในภูเขาแห่งนี้ พวกเราทูลขอองค์หญิงเสี่ยวซีเป็นผู้นำเพื่อขอให้เผ่าพันธุ์อสูรถอนทัพออกไป พวกกระหม่อมจะได้ขุดหลุมฝังเหล่าพี่น้องและป้องกันเหล่าจิ้งจอก เสือ และเสือดาวมากัดกินพวกเขา”
ถังเสี่ยวซีตกใจและมองไปที่หลิงหูเหยียน “หลิงหู ออกคำสั่งถอนทัพ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
หลิงหูเหยียนพยักหน้าและอย่างเคารพ ดูเหมือนสิ่งที่นางพูดจะเป็นความจริง ตราบใดที่ถังเสี่ยวซีเต็มใจไปยังแท่นบูชาของเผ่าพันธุ์อสูร ถังเสี่ยวซีจะขึ้นเป็นองค์ราชินีและมีอำนาจสั่งการทุกอย่าง
ถังเจิ้นดีใจมาก “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง!”