The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 308 สงบศึก
EP.308 สงบศึก
นักปราชญ์มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าและมองไปยังหลินมู่อวี่อย่างลึกซึ้ง “เมื่อมองไปยังตำแหน่งทางการทหาร ท่านเป็นผู้บัญชาการกองทัพ เป็นเรื่องดีสำหรับราชินีที่สหายเช่นท่าน ข้าหวังว่าท่านจะพาราชินีมายังป่านิรันดร์ เช่นนั้นเผ่าพันธุ์อสูรของพวกเราจะขอบคุณท่านมาก”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “เสี่ยวซีเป็นราชินีของพวกเจ้า? ฮ่าๆ ข้าเป็นคนเรียบง่าย ข้าคิดว่า…ความคาดหวังอันแรงกล้าของเจ้าเช่นนี้ เมื่อเสี่ยวซีไปยังป่านิรันดร์ นางคงต้องทำบางอย่างเพื่อเผ่าพันธุ์อสูรใช่หรือไม่?”
นักปราชญ์ผงะไปชั่วขณะราวกับครุ่นคิด
ขณะเดียวกันท่ามกลางฝูงชนด้านหลังนักปราชญ์ นายพลเผ่าพันธุ์งูตัวหนึ่งถือขวานเข้ามาด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวและตะโกนเสียงดัง “$%#@$%&%#@#$*&*!!”
หลินมู่อวี่ไม่เข้าใจความหมาย แต่เห็นได้ชัดถึงเจตนาร้าย หลินมู่อวี่เลิกคิ้วและเอื้อมมือไปยังด้ามกระบี่พร้อมกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าอสูรงูต้องการเริ่มศึกรึ? หากไม่เกรงกลัวก็เข้ามา!”
นายพลงูคำรามและระบำขวานไปตามสายลม
“นายพลฮีเลียน!”
นักปราชญ์รีบหันมาจับจ้องนายพลงูด้วยใบหน้างามที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว “ท่านมนุษย์ผู้นี้เป็นสหายของราชินี เจ้าต้องการจะทำลายเผ่าพันธุ์อสูรทั้งหมดหรืออย่างไร?!”
“ชี่…ชี่…” นายพลงูค่อยๆ ลดขวานลงและเดินมายืนด้านหลังนักปราชญ์ ‘ฟ่อ’ มันส่งเสียงออกมาราวกับต้องการเตือนหลินมู่อวี่ว่ามันจะกลืนกินเขาเมื่อใดที่หลินมู่ประมาท
นักปราชญ์หันกลับมายิ้มอีกครั้งและกล่าวว่า “ท่านหลินมู่อวี่ ความจริงสิ่งที่เราขอนั้นง่ายมาก เทพธิดาจิ้งจอกเก้าหางเป็นพลังงานวิญญาณที่ก่อเกิดจากพลังศักดิ์สิทธิ์ ตราบใดที่นางสามารถเข้าสู่ขอบเขตเทวะก็จะสามารถกลับสู่สรวงสวรรค์ พวกเราเผ่าพันธุ์อสูรนับถือเทพธิดาจิ้งจอกเก้าหางมานานหลายแสนปี ขณะนี้เผ่าพันธุ์อสูรจำนวนลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง และสระแห่งการเกิดใหม่ก็เริ่มเหือดแห้ง หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าเกรงว่าเผ่าพันธุ์อสูรอาจสูญหายไปจากผืนแผ่นดิน”
หลินมู่อวี่พูดด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้นเมื่อจิ้งจอกเก้าหางปรากฏตัวบนโลก พวกเจ้าจึงมองเห็นความหวัง และในร่างของนางคงมีบางสิ่งที่เผ่าพันธุ์อสูรต้องการใช่หรือไม่?”
นักปราชญ์ตกใจ “ใช่”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วและหันกลับ “เช่นนั้นเราไม่มีสิ่งใดต้องคุยกันอีก กลับไปและเตรียมสู้อีกครั้งซะ!”
“ช้าก่อนท่านทหาร!”
นักปราชญ์กล่าวอย่างละล่ำละลัก “ทันทีที่เทพธิดาจิ้งจอกเก้าหางปรากฏตัว พระองค์จะขึ้นเป็นราชินีแห่งเผ่าพันธุ์ของเรา และพวกเราต้องการเลือดของพระองค์เพียงหยดเดียวเท่านั้น! ตราบใดที่มีเลือดจากเทพธิดาจิ้งจอกเก้าหาง สระแห่งการเกิดใหม่จะปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์และช่วยให้เผ่าพันธุ์อสูรดำรงชีพต่อไป”
หลินมู่อวี่หยุดฝีเท้า “แล้วเสี่ยวซีจะได้อะไร?”
นักปราชญ์ยิ้ม “ที่ภูเขาด้านหลังแท่นบูชาในเผ่าพันธุ์อสูร มีน้ำพุชื่อว่า ‘น้ำพุแห่งความเยาว์วัย’ แม้จะไม่ได้มีผลในด้านความเป็นอมตะ ทว่าก็วิเศษมาก ตราบใดที่ลงไปแช่น้ำพุแห่งนี้จะช่วยยับยั้งพลังเหนือธรรมชาติในร่างของราชินี และช่วยให้ฟื้นฟูตนเองได้ อีกทั้งราชินียังสามารถเปลี่ยนร่างได้อย่างอิสระในภายภาคหน้า จริงสิ…มิได้มีเพียงเท่านี้ ตราบใดที่ราชินียินดีมายังป่านิรันดร์ พระองค์จะสามารถรับม้วนตำราผนึกเทพอัคคีชั้นที่สิบเอ็ดและสิบสองไปได้”
หัวใจของหลินมู่อวี่กระตุก เขาขยับตัวและมองไปยังนักปราชญ์จิ้งจอกสามหาง “ปล่อยให้เสี่ยวซีเข้าป่านิรันดร์ผู้เดียว ใครจะรู้…หากเผ่าพันธุ์งู หมี หรือกิ้งก่าด้านหลังเจ้าทำร้ายนาง ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร?”
“นี่…”
นักปราชญ์กัดริมฝีปากและเผยสีหน้าอย่างหมดหนทาง “มนุษย์มักเกิดความสงสัยเสมอ เอาล่ะท่านทหาร ตราบใดที่คำขอของท่านไม่มากเกินไป ข้าจะพยายามรับใช้อย่างเต็มที่”
หลินมู่อวี่เลิกคิ้ว “อืม ข้าจะกลับไปเมืองอสูร และสิ่งที่เจ้าต้องทำนั้นง่ายมาก…ข้าต้องการให้เจ้าสั่งกองกำลังกว่าสามหมื่นนายจากเผ่าพันธุ์จิ้งจอก รวมทั้งกองทัพพฤกษาสองหมื่นนายให้วางดาบลง และเข้าไปในประตูเมืองอสูรเพื่อรับการคุ้มกันโดยกองทัพแห่งจักรวรรดิ จากนั้นข้าจะให้เสี่ยวซีเข้าป่านิรันดร์ ตราบใดที่นางสามารถคืนร่างเดิมได้ ข้าจะปล่อยทหารทั้งห้าหมื่นนายนี้ออกไป”
นักปราชญ์มองหลินมู่อวี่ด้วยความประหลาดใจ ร่างกายของนางสั่นเล็กน้อย “กองทัพจิ้งจอกสามหมื่นตน…กองทัพพฤกษาสองหมื่นตน…นั่นมันกองทัพที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเผ่าพันธุ์อสูร ท่านทหาร…หากท่านผิดคำสัญญา ข้าเกรงว่าเผ่าพันธุ์อสูรคงถูกมนุษย์ทำลายจนหมดสิ้น…”
หลินมู่อวี่สูดหายใจเข้าลึกๆ และมองไปยังนาง “ท่านนักปราชญ์ โปรดเชื่อเถิดว่าสำหรับข้าเสี่ยวซีนั้นสำคัญยิ่งกว่า ดังนั้นข้าจะเข้าป่านิรันดร์กับนาง ตกลงหรือไม่?”
นักปราชญ์ครุ่นคิดเล็กน้อยขณะที่กัดริมฝีปากแน่น “อืม…นี่คือข้อตกลงหรือ? เสี่ยวซีของท่าน…เป็นราชินีของเรา ตราบใดที่พระองค์ทรงออกคำสั่ง เรายินดีจะทำทุกอย่าง นี่คือความภักดีของเผ่าพันธุ์อสูร ท่านเข้าใจความภักดีนี้หรือไม่?”
“ข้าเข้าใจ”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “ทว่าโลกนี้ไม่มีความไว้วางใจอย่างไม่มีเหตุผล หากเจ้าพูดไม่กี่คำแล้วข้าเชื่อ ข้าคงเป็นเพียงคนโง่เขลา และหากเป็นเช่นนั้นข้าจะปกป้องเสี่ยวซีได้อย่างไร?”
“นักปราชญ์ยิ้ม “ข้าน้อยเข้าใจ เช่นนั้นกรุณาเชิญองค์ราชินีมายังประตูเมืองอสูรเถิด พวกเราเผ่าพันธุ์อสูรจะต้อนรับการมาของพระองค์!”
หลินมู่อวี่พยักหน้า ทันใดนั้นก็มีทหารวิ่งมาด้านหลังเขา ชายผู้นั้นคือถังเจิ้นที่กำลังถือธงรบไว้ในมือพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพหลวงขอรับ ท่านเฟิงจี้สิงนำทหารหนึ่งหมื่นนายพร้อมลำเลียงเสบียง อุปกรณ์ และยารักษามายังประตูเมืองอสูร อีกทั้งองค์หญิงอินและองค์หญิงซีก็ติดตามมาด้วย ขณะนี้พวกเขาทั้งหมดมาถึงแล้ว!”
“อื้ม!”
หลินมู่อวี่ดีใจมาก ถังเสี่ยวซีมาพร้อมกับฉินอินโดยไม่คาดคิด นี่ทำให้เรื่องดำเนินไปง่ายยิ่งขึ้น หลินมู่อวี่หันไปหานักปราชญ์และกล่าวว่า “ตกลง เจ้าไปเตรียมกองทัพซะ แล้วข้าจะไปประตูเมืองอสูรอีกสักครู่ เมื่อเจ้าให้กองทัพห้าหมื่นตนวางอาวุธและเข้าไปในเมืองในฐานะนักโทษ ข้าจะพาเสี่ยวซีออกจากเมืองไปยังป่านิรันดร์ตามความประสงค์ของเจ้า”
นักปราชญ์มองไปยังหลินมู่อวี่อย่างตื่นเต้น “นั่น…ให้ข้าน้อยพบองค์ราชินีก่อนได้หรือไม่? ตราบใดที่ข้าพบพระองค์ ข้าจะเชื่อและปฏิบัติตาม ‘ข้อตกลง’ ที่ท่านแนะนำ”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “ได้ ทว่าเจ้าต้องมาคนเดียว และให้เผ่าพันธุ์จิ้งจอกตนอื่นรออยู่ด้านนอก”
“อื้ม!”
นักปราชญ์หันกลับไปพูดคุยบางอย่างกับนายพลงูและนายพลจิ้งจอกด้านหลังด้วยภาษาที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ทันใดนั้นนายพลงูก็ตะโกนขึ้นด้วยภาษาของงูอย่างโกรธเกรี้ยว ขณะที่นายพลจิ้งจอกใบหน้าคมคายประสานหมัดและกล่าวว่า “ท่านนักปราชญ์ ข้าทำไม่ได้ เราจะเชื่อใจมนุษย์ได้อย่างไร มนุษย์มักเล่ห์เหลี่ยมจัด ท่านนักปราชญ์คงไม่ลืมใช่หรือไม่ว่าเจิ้งอี้ฝานหลอกลวงท่านนักปราชญ์คนก่อนไว้อย่างไรจนเกิดสงครามทำลายเผ่าพันธุ์อสูรเกือบทั้งหมด?”
นักปราชญ์พยักหน้า “ข้ารู้ ทว่าองค์ราชินีอยู่ในมือของพวกเขา ข้าจำเป็นต้องเสี่ยง อย่ากังวลไปเลย ข้าเชื่อมั่นในมนุษย์นามว่าหลินมู่อวี่นั่น ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับความเสี่ยงนี้ด้วยอนาคตของเผ่าพันธุ์อสูร”
นายพลจิ้งจอกขี่ม้าเข้ามาพร้อมดาบสองคม “ท่านนักปราชญ์ ข้าจะไปกับท่านเอง”
หลินมู่อวี่ยกมือขึ้นและพูดว่า “ไม่ได้ มีเพียงนักปราชญ์เท่านั้นที่สามารถเข้าไปกับข้า”
“หยาบคายนัก!”
จิตสังหารแผ่ขึ้นมาบนใบหน้าของนายพลจิ้งจอกทันที ขณะที่ดาบปกคลุมไปด้วยปราณหนาแน่น เขาตวัดดาบพร้อมนักดาบอีกสามคนอย่างรวดเร็วตรงไปยังหน้าอกของหลินมู่อวี่ เพลงดาบนี้มีเล่ห์เหลี่ยมดุร้ายและทรงพลังมาก
ทว่าการตอบสนองของหลินมู่อวี่รวดเร็วยิ่งกว่า ฝักดาบยาวสกัดการโจมตีของศัตรูทันที ‘เปรี้ยง เปรี้ยง!’ เกิดเสียงดังขึ้นในอากาศ แขนของหลินมู่อวี่สั่นเล็กน้อย ทันใดนั้น! กระบี่ก็พุ่งออกจากฝักและควบแน่นพลังหมุนรอบใบดาบ…กระบี่ดึงดูด!
‘ชิ้ง!’
ดาบสองคมของนายพลจิ้งจอกถูกดูดไป หลินมู่อวี่พลันยกฝ่ามือขึ้นและกระแทกใส่ศัตรูจนถอยไปหลายก้าว ปราณในร่างกายนายพลจิ้งจอกปั่นป่วนและเขาไม่สามารถโจมตีได้อีก
“เจ้า…” นายพลจิ้งจอกกัดฟันแน่น เขาไม่เคยคิดว่าจะมีผู้เก่งกล้าเช่นนี้ในกองทัพมนุษย์…เขาสูญเสียการควบคุมกระบี่ในการปะทะ หากอีกฝ่ายโจมตีด้วยจิตสังหาร นายพลจิ้งจอกคงต้องสูญเสียอย่างน้อยแขนหนึ่งข้าง!
ใบหน้านักปราชญ์เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “นายพลหลิงหูถอยไป!”
“แต่ว่า…ท่านนักปราชญ์…”
เขาถือดาบสองคมถอยหลังไปอย่างเชื่องช้าและหันมองหลินมู่อวี่พร้อมกล่าวว่า “หากเจ้ามนุษย์ทำร้ายท่านนักปราชญ์ พวกเราจะกวาดล้างเมืองหลันเยี่ยนด้วยเลือดอย่างแน่นอน!”
หลินมู่อวี่ยิ้มจางๆ และมิได้พูดสิ่งใด เขาโบกมือและกล่าวอย่างเคารพ “ท่านนักปราชญ์ โปรดตามข้ามา”
…
เมื่อหลินมู่อวี่นำจิ้งจอกสาวผู้มีสามหางกวัดแกว่งอยู่ด้านหลังเข้ามายังเมืองอสูร กองทัพเทียนฉงและกองทัพทหารเมืองชีไห่ต่างตกตะลึง ทุกคนพลันยกคันธนูขึ้นเล็งจิ้งจอกตัวนั้นทันที เนื่องจากหลังเกิดสงครามต่อเนื่องหลายวัน…ทำให้ทั้งสองฝ่ายกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของกันและกัน
“ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการสิ่งใดเด็ดขาด วางอาวุธลงซะ”
หลินมู่อวี่ยกแขนขึ้นและกล่าวเสียงดัง “นางมาเพียงคนเดียว และห้ามทำร้ายเด็ดขาด!”
เว่ยโฉวยืนด้านข้างและมองนักปราชญ์อย่างตื่นตัวพร้อมพูดว่า “ท่านแม่ทัพ องค์หญิงอิน องค์หญิงซี และผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงกำลังรอท่านที่กระโจมหลักของค่ายทหารแห่งจักรวรรดิขอรับ”
“อืม ไปกันเถิด”
“เราจะไปพร้อมจิ้งจอกสาวผู้นี้หรือ?”
“ใช่ มิเช่นนั้นที่ผ่านมาคงไม่มีความหมาย”
“ขอรับ!” เว่ยโฉวประสานหมัดและไม่ตั้งคำถามต่อคำสั่งของหลินมู่อวี่อีก นี่เป็นผลจากการใช้ความแข็งแกร่งและกลยุทธิ์ของหลินมู่อวี่ในการชนะใจผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้ในการทำศึก
…
ณ กระโจมหลักของกองทัพแห่งจักรวรรดิ เซี้ยโหวซางควบม้านำกลุ่มทหารอวี้หลินลงจากม้าและคุ้มกันทั้งสองด้านของกระโจม หลินมู่อวี่ยื่นมือไปช่วยนักปราชญ์สาวลงจากม้า จากนั้นก็พานางไปยังกระโจมหลัก เมื่อเปิดประตูกระโจมก็พบฉินอิน เฟิงจี้สิง และถังเสี่ยวซียืนอยู่ด้านใน ถังเสี่ยวซีสวมเสื้อคลุมหนาเพื่อปกคลุมหางทั้งเก้า หลินมู่อวี่พลันออกคำสั่งทันทีเมื่อเดินเข้าไป “คุ้มกันให้แน่นหนา และนำทหารออกไปด้านนอก ห้ามผู้ใดเข้ามาในกระโจมเด็ดขาด”
“ขอรับท่านแม่ทัพหลวง!”
ถังเสี่ยวซีเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มสดใสและดวงตาสีทองเปล่งประกาย “มู่มู่ ข้าและเสี่ยวซีมาหาเจ้าแล้ว! อืม…ผู้หญิงคนนี้เป็นใครหรือ…”
เมื่อเห็นนักปราชญ์และหลินมู่อวี่เดินเคียงข้างกันมา องค์หญิงผู้งดงามก็เต็มไปด้วยความหึงหวงทันที “มู่มู่ เจ้าหัวไชเท้า! เจ้าออกจากเมืองหลันเยี่ยนเพียงไม่กี่วัน ก็ไปคว้าผู้หญิงเช่นนี้มาอีกแล้ว…เฮ้อ เสี่ยวอิน ชีวิตเจ้าช่างขมขื่นยิ่งนัก…”
ฉินอิน “…”
นางพูดไม่ออก
ขณะเดียวกันนักปราชญ์ก็ก้าวไปด้านหน้าเพื่อคุกเข่าลงและกล่าวเสียงแผ่วเบา “น…นักปราชญ์รุ่นที่ยี่สิบเก้าแห่งเผ่าพันธุ์จิ้งจอกหลิงหูเหยียนถวายบังคมองค์ราชินีพ่ะย่ะค่ะ…”