The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 289 ความรู้กับเงิน
หลินมู่อวี่หมกมุ่นอยู่กับการค้นคว้าและศึกษาการใช้เทคนิคแห่งแสงห้าวันติด วันแรก…เมื่อลองฟันกระบี่ มีเพียงพลังของกระบี่เท่านั้นที่กระทบกับโล่ พลังกฎแห่งแสงที่ควบแน่นไม่ส่งผลอันใดเลย ทว่าหลินมู่อวี่ใช้พลังมิติที่สี่ช่วยเร่งความเร็วของแสงไปพร้อมกับตัวกระบี่อย่างต่อเนื่อง กระทั่งวันที่สองจึงสามารถใช้พลังแสงนั้นได้ ในวันที่สามทุกครั้งที่กระบี่เหวี่ยงลง พลังธาตุแสงจะค่อยๆ หายไปจากตัวกระบี่
และในที่สุดก็สำเร็จในวันที่ห้า!
“จงผ่า!”
กระบี่คมถูกเหวี่ยงและถูกหยุดไว้ก่อนจะกระทบกับโล่ ทว่าพลังธาตุแสงมิได้หยุดตาม…คมแสงคล้ายใบมีดผ่าลงกลางโล่หนา “ชิ้ง!” ภาพอันน่าอัศจรรย์บังเกิดขึ้น เมื่อพลังกระบี่ที่ควบแน่นด้วยกฎแห่งแสงผ่าโล่กับโต๊ะด้านหลังเป็นส่องส่วน!
“สำเร็จ!”
หลินมู่อวี่ปาดเหงื่อบนหน้าผากอย่างมีความสุข
ทันใดนั้นภูตระบบลู่ลู่ที่ไม่ได้ปรากฏตัวมานานก็บินออกมา “ยินดีด้วยนะเจ้าคะที่สร้างทักษะใหม่ได้!”
หลินมู่อวี่ยิ้มกริ่ม ไม่คุ้นกับคำว่าทักษะเอาเสียเลย มันคือทักษะเหมือนเกมทั่วไปหรือ? เกรงว่าจะไม่ใช่แต่เป็นทักษะสังหารเสียมากกว่า…
“ชื่อทักษะคืออะไรหรือเจ้าคะพี่ชาย?” ลู่ลู่ยิ้มถาม
หลินมู่อวี่ตอบอย่างไม่ลังเล “แหวกรังสี พัฒนามาจากตัดอัสนีข้าคิดไว้นานแล้ว”
“เป็นชื่อที่ดีเจ้าค่ะ” ลู่ลู่บินไปมาพลางยิ้ม “พลังของพี่ชายเพิ่มขึ้นอีกแล้ว แข็งแกร่งมากเลยเจ้าค่ะ!”
หลินมู่อวี่หัวเราะ ยกกระบี่ขึ้นพร้อมโจมตีอีกครั้ง กระบี่แสงเฉือนลงพื้นสำเร็จ เป็นพลังที่น่าอัศจรรย์มาก หลินมู่อวี่ชำนาญทักษะนี้แล้ว!
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของแหวกรังสี คือมันสามารถฆ่าคนกลางอากาศได้ ต่อให้มีโล่หนาหรือเกราะแกร่งเพียงใด วิชากระบี่นี้จะเชือดเฉือนร่างกายเป้าหมายไม่สนการป้องกัน!
…
หลังทานมื้อค่ำเสร็จ หลินมู่อวี่ก็ทำการฝึกฝนทักษะแหวกรังสีให้ชำนาญยิ่งขึ้น เขาอยากจะพัฒนาพลังและความเร็วของวิชานี้ให้แข็งแกร่งที่สุด เพราะความมุ่งมั่นเช่นนี้จึงทำให้เขาฝึกวิชายุทธ์จนมาถึงของเขตนี้ได้
เทียนในห้องทำงานดับลง แทนที่ด้วยแสงสีทองราวกับอรุณรุ่งจากกระบี่วิญญาณมังกร ทันทีที่หลินมู่อวี่ตวัดกระบี่ก็มีแสงปรากฏขึ้นและหายไปในอากาศ….เป็นการโจมตีที่ร้ายกาจยิ่ง ระยะการฟันของมันไม่ไกลนักเพียงห้าเมตรเท่านั้น เมื่อขอบเขตของกระบี่แสงกระจายไปจนถึงระยะจำกัดก็จะหายไป
“ปังๆๆ”
เสียงเคาะประตูจากทหารยามแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ดังขึ้น “ใต้เท้าหลิน มีคนจากมณฑลเทียนชู่มาขอเข้าพบขอรับ เขาบอกว่าต้องการความช่วยเหลือ ท่านจะให้เข้าพบหรือไม่ขอรับ?”
“มณฑลเทียนชู่หรือ?” หลินมู่อวี่ครุ่นคิดก่อนจะตอบกลับ “ข้าไม่รู้จักใครในมณฑลเทียนชู่ เขาเป็นใครกัน?”
“ข้าไม่ได้ถามขอรับ ใต้เท้าจะออกไปดูเองหรือไม่?”
“พาเขาไปห้องรับแขก อีกประเดี๋ยวข้าจะตามไป”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่เปลี่ยนเป็นชุดใต้เท้าและห้อยกระบี่วิญญาณมังกรไว้ที่เอวก่อนจะเดินออกห้องทำงาน ทหารยามสองคนเดินตามเขาไปห้องรับแขก
ภายในห้องโถงถูกจุดไฟสว่าง โดยมีครูฝึกดาวทองถือดาบเหล็กเฝ้าประตูอยู่ ครูฝึกเมื่อเห็นหลินมู่อวี่ก็คำนับ “ใต้เท้าหลิน”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าห้องนั่งเล่น
ทว่าเมื่อเข้าไปด้านในก็พบว่าคนที่มาเข้าพบไม่ใช่คนเดียวแต่เป็นสามคน ชายชรารูปร่างผอมบางพร้อมผ้าคลุมหัวนั่งอยู่เงียบๆ ด้านหลังมีหนุ่มรูปงามสองคนดูคุ้นตา ทว่าหลินมู่อวี่จำไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นใคร
“สวัสดีข้าคือหลินมู่อวี่ พวกท่านเป็นใครหรือ?” หลินมู่อวี่ยืนทักทายอย่างสุภาพต่อหน้าชายชรา
ทันใดนั้นชายชราก็เงยหน้าขึ้นพลางถอดผ้าคลุมหัวออกเผยให้เห็นใบหน้าอันซีดเซียว ดูแล้วคงอายุราวหกสิบทว่าแตกต่างจากฉินจิ้นที่อายุเท่ากันโดยสิ้นเชิง แววตาของชายชราเปล่งประกาย ร่างเล็กยืนขึ้นพร้อมรอยยิ้มพลางประสานกำปั้นคำนับ “อวี่จื้อเทียนยินดีที่ได้พบใต้เท้าหลินมู่อวี่ผู้นำแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ขอรับ!”
หลินมู่อวี่ชะงัก “อวี่จื้อเทียนรึ?”
ขณะเดียวกันใต้เท้าเกอหยางที่อยู่ด้านข้างก็สบถขึ้น “อวี่จื้อเทียนรึ? ท่าน…ท่านคือใต้เท้าอวี่จื้อเทียนใช่หรือไม่?”
“เป็นข้าเอง เหตุใดจึงต้องตกใจเช่นนี้เล่า?” อวี่จื้อเทียนยิ้ม
ชายชราผู้นี้ช่างดูภูมิฐานยิ่งนัก!
หลินมู่อวี่หันไปถามเกอหยาง “ใต้เท้าเกอหยาง ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องจากมณฑลเทียนชู่ อวี่จื้อเทียนคือ…”
เกอหยางยิ้มตอบ “อาอวี่เจ้าไม่รู้จริงหรือ? ในมณฑลเทียนชู่…ทหารจักรวรรดิจะถูกเรียกว่ากองทัพเทียนชู่ มีกำลังรบแปดพันคน ผู้บัญชาการกองทัพนั้นก็คือท่านแม่ทัพอวี่จื้อเทียนที่ตรงหน้าเจ้า! เขาเป็นผู้ดูแลเรื่องการถลุงเหล็ก ถลุงทอง การพาณิชย์และอีกหลายอย่างในมณฑล กล่าวกันว่าทรัพย์สินและกองกำลังทหารกว่าครึ่งเป็นของตระกูลอวี่จื้อ!”
หลินมู่อวี่ตกตะลึง เขาแทบไม่เชื่อสายตาว่าชายชราเบื้องหน้าและอวี่จื้อเทียนที่เกอหยางพูดถึงจะเป็นคนเดียวกัน!
หลินมู่อวี่รีบคำนับด้วยความเคารพ “ยินดีที่ได้พบท่านแม่ทัพอวี่จื้อ!”
อวี่จื้อเทียนยิ้มพลางก้าวมาจับแขนหลินมู่อวี่ “ใต้เท้าหลินมู่อวี่มิจำเป็นต้องสุภาพเยี่ยงนี้ก็ได้ขอรับ ครานี้ข้ามาหลันเยี่ยนในฐานะผู้เยี่ยมเยียนเท่านั้น ด้วยไม่อยากรบกวนองค์จักรพรรดิข้าจึงมาพบหารือกับท่านหลินมู่อวี่ที่นี่”
“โอ้ เชิญเลยขอรับ!”
“เรื่องมีอยู่ว่า…เมื่อครั้งวันวานใต้เท้าหลินมู่อวี่ได้หลอมกระบี่จื่อหยินและตัดกระบี่ที่ลูกชายข้าหลอมขึ้นมา เฮ้อ…ช่างน่าละอายที่ต้องบอกว่ามันเป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของข้า ตอนนั้นลูกข้าคงเสียมารยาทกับท่านมาก ข้าหวังว่าใต้เท้าคงไม่ถือโทษโกรธกันนะขอรับ!”
หลินมู่อวี่ชะงัก เมื่อมองไปยังชายหนุ่มเบื้องหลังอวี่จื้อเทียนก็จำได้แล้วว่าชายหนุ่มหนึ่งในนั้นคืออวี่จื้อหยาน! คนที่ขอทำอาวุธให้ฉินอิน เหตุที่มาคือเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ?
“ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพมาพบข้าเพื่อ…”
หลินมู่อวี่เม้มริมฝีปากและคิดอยู่ในใจ แน่นอนว่าหากวิชาหลอมอาวุธของตนถูกเปิดมันต้องเกิดปัญหาตามมา ถึงจะยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้ทว่าลูกชายของอวีจื้อเทียนเป็นถึงช่างหลอมที่ยิ่งใหญ่ เขาจะไม่รู้ถึงฝีมือของหลินมู่อวี่เหลยหรือ? หลินมู่อวี่รีบคำนับและกล่าวอย่างเคารพ “ท่านแม่ทัพขอรับ กระบี่จื่อหยินถูกหลอมโดยฤๅษีผู้เชี่ยวชาญ และตอนนี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่แห่งใด อย่าได้ถามถึงเรื่องนั้นเลยขอรับ…”
อวี่จื้อเทียนหัวเราะ “ใต้เท้า อย่ากังวลไปเลยขอรับ ข้าไม่ได้มาเพื่อตามหาเขา แต่ตั้งใจมาหาท่าน”
“ว่าอย่างไรนะขอรับ?”
อวี่จื้อเทียนยิ้มอย่างใสซื่อ “ข้าจะไม่ปิดบังนะขอรับ…เมื่อไม่กี่เดือนก่อนร้านค้าแห่งจักรวรรดิในเมืองหลันเยี่ยนมีการขายขายของวิเศษและอาวุธวิญญาณ ซึ่งกระบวนการหลอมของพวกนั้นอยู่ในระดับที่ยากยิ่ง ข้าตามเก็บสะสมอาวุธเหล่านั้นอยู่ จากการศึกษาของข้าพบว่ากระบวนการหลอมอาวุธเหล่านั้นคล้ายคลึงกับใครคนหนึ่งในแผ่นดินนี้อย่างมาก ทักษะของเขาแตกต่างจากตระกูลช่างหลอมทั่วไปในแผ่นดินนี้ คมมีดถูกตีอย่างประณีตและมีใบมีดได้รับการออกแบบให้เรียงชั้นอย่างสวยงาม การหลอมเช่นนี้พลิกโฉมงานหลอมของแผ่นดินนี้ที่มีมาหลายพันปี”
หลินมู่อวี่พยายามตัดเข้าประเด็น “แล้ว…”
อวี่จื้อเทียนหัวเราะ “ทักษะการหลอมนี้ช่างล้ำค่านัก…ทว่าชายผู้นั้นกลับปัดบังตัวตนด้วยตำแหน่งใหญ่โตอย่างผู้บัญชาการกองทัพ…ข้าก็รู้ว่าเขาไม่อยากเปิดเผยตัวตน ข้ามิอาจบังคับฝืนใจใครได้แต่ข้ากลับบ้านมือเปล่าไม่ได้จริงๆ หากท่านหลินมู่อวี่รู้อยู่แล้ว…พอจะแบ่งปันวิชาลับนั้นให้ทหารแก่อย่างข้าได้หรือไม่? แล้วข้าจะตอบแทนให้ท่านด้วยรางวัลใหญ่!”
“คือ…ข้า…” หลินมู่อวี่พยายามคิดหาวิธีปฏิเสธ
ทว่าทันใดนั้นอวี่จื้อเทียนก็ล้วงเอาตั๋วทองปึกหนึ่งออกมา “นี่เป็นตั๋วทองที่ออกโดยสมาคมการค้าแห่งเมืองหลวง หนึ่งตั๋วมีค่าเท่ากับหนึ่งแสนเหรียญทองทั้งหมดนี้มีห้าสิบใบ หากใต้เท้าหลินมู่อวี่ตกลงส่งต่อทักษะลับให้แก่ข้า…ห้าล้านเหรียญทองจะเป็นรางวัลแก่ท่าน ข้ารู้ว่าท่านมีความรู้เกี่ยวกับการหลอมอาวุธและท่านเองก็คงเข้าใจในความกระหายใคร่รู้ของข้าเช่นกันใช่หรือไม่?”
หลินมู่อวี่พยักหน้าและอดไม่ได้ที่จะจับตั๋วทองที่มีค่าห้าล้านเหรียญไว้ “ในเมื่อท่านแม่ทัพอวี่จื้อเทียนอุตส่าห์มาถึงเมืองหลันเยี่ยนแล้ว ข้าก็ไม่อยากให้ท่านเสียเที่ยว ได้โปรดรอหนึ่งคืนแล้วพรุ่งนี้ข้าจะให้ของล้ำค่าแก่ท่าน”
“ขอบพระคุณมากใต้เท้า!”
ทันใดนั้นเสียงของราชาปีศาจเจ็ดประทีปก็ดังมาจากทะเลจิต “หึ! ช่างเป็นคนโลภมากและหื่นกามอะไรเช่นนี้เจ้าไก่อ่อน!”
หลินมู่อวี่ตอบตามตรง “ข้าอยากได้เงินก็จริง แต่ข้าหื่นกามตรงไหน?”
“แน่ใจรึว่าไม่?”
ราชาปีศาจเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ที่โรงเตี๊ยมมังกรนภาคืนนั้น กล้าพูดหรือไม่ว่าเจ้าไม่ได้จับหน้าอกของฉินอิน?”
“ข้า…”
หลินมู่อวี่พูดไม่ออก “มันเป็นอุบัติเหตุ..”
“เป็นเพียงข้ออ้างเสียมากกว่า จอมละโมบและหื่นกามนั่นแหละคือเจ้าไก่อ่อนหลิน!”
“เจ้า!”
“ไม่พอใจรึ? ไก่อ่อนหลินผู้บอบบางและไร้ศีลธรรม!” ราชาปีศาจหัวเราะอย่างมีชัย พลางกล่าวซ้ำประโยคเดิมไปมาราวกับร้องเพลง
หลินมู่อวี่ไม่คุยกับราชาปีศาจอีก และคิดอยู่ในใจว่าสักวันจะต้องเอาเจ้าปีศาจนี่ออกไปจากทะเลจิตให้ได้ มิเช่นนั้นคำพูดและการกระทำเหล่านี้ต้องกวนใจเขาอยู่ข้างในตลอด…คงเป็นความรู้สึกที่แปลกน่าดู
…
อวี่จื้อเทียนและอวี่จื้อหยานพักอยู่ในวิหารพร้อมกับบริวารอีกจำนวนหนึ่งเพื่อรอหลินมู่อวี่
หลินมู่อวี่ไม่สามารถไปตามหาฤๅษีผู้เก่งกาจจากไหนได้…เพราะมันคือเขานั่นเอง เขาต้องยอมแลกความรู้ของตนกับเงินห้าล้าน เงินห้าล้านที่หากขายทั้งเมืองหยินซานก็มิอาจเทียบได้ เงินห้าล้านที่มีค่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกที่สมาคมการค้าแห่งเมืองหลวงทำได้!
ด้วยเหตุนี้หลินมุ่อวี่จึงนอนแทบไม่หลับทั้งคืน จุดเทียนตั้งตาเขียนหนังสือข้อมูลและวิธีการหลอมอาวุธโดยให้ลู่ลู่ช่วยอ่านทวน หนังสือที่ถูกเขียนด้วยความรู้ทุกอย่างทั้งที่เข้าใจและไม่เข้าใจ เพราะทักษะหลายอย่างเป็นวิธีหลอมแบบดั้งเดิม แตกต่างจากหลินมู่อวี่ที่อาศัยทางลัดโดยการใช้ติ่งหลอมช่วยสร้างมาตลอด…
เช้าวันต่อมา อวี้จื้อเทียนก็มาพบหลินมู่อวี่พร้อมกับคนของเขา
กระทั่งเมื่อเห็นหนังสือ อวี่จื้อเทียนก็มีท่าทีราวกับเจอสมบัติ เขาจ้องมองมันด้วยสีหน้าแห่งความสุขก่อนจะยืนตั๋วห้าสิบอันให้หลินมู่อวี่ “ใต้เท้า ข้าขอเป็นตัวแทนของตระกูลอวี้จื่อกล่าวขอบพระคุณสำหรับความรู้ที่ท่านมอบให้!”
“ท่านแม่ทัพไม่ต้องนอบน้อมเช่นนี้ก็ได้ขอรับ ข้ากำลังนับเงินอยู่…” หลินมู่วอวี่กล่าวพลางนับตั๋วทองในมือ “พวกท่านกลับกันได้เลยนะขอรับ”
“ไม่ต้องไปส่งข้านะขอรับ…”
หลินมู่อวี่พยักหน้า ทุกคนต่างมีสิ่งที่อยากทำ…อวี่จื้อเทียนตั้งใจที่จะกลับไปเทียนชู่โดยเร็วที่สุดเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของการเป็นตระกูลทหารอันดับหนึ่งของโลก หลินมู่อวี่จะใช้เงินเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและขยายกำลังทหารของกลุ่มมังกรผงาด