The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 283 ยิงธนูดอกเดียวได้นกสามตัว
ยามเช้าตรู่ แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วตำหนักเจ๋อเทียน หลินมู่อวี่ที่มาถึงอย่างรีบเร่งพบว่าเฟิงจี้สิง ฉินเหยียน ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ฉินอินและคนอื่นๆ มากันพร้อมหน้าแล้ว
ไกลออกไป รถคุมขังนักโทษก็เคลื่อนตัวออกจากตำหนักเจ๋อเทียนโดยมีทหารอวี้หลินหลายคนคอยคุ้มกันอยู่ ภายในกรงขัง…เซี่ยงอวี้ในชุดนักโทษถูกโซ่เหล็กมัดไว้อย่างแน่นหนา พร้อมกับเหล็กเส้นที่ปักอยู่บนอกทั้งสองข้างคอยสกัดพลังยุทธ์ไม่ให้ใช้วิชาได้ เซี่ยงอวี้ทำหน้าตาเย้ยหยันก่อนจะหันเปลี่ยนเป็นสีหน้ารังเกียจและโกรธแค้นเมื่อหันไปมองพวกหลินมู่อวี่ การที่อดีตผู้บัญชาการกองสารวัตรทหารจอมกบฏต้องมาลงเอยเช่นนี้ เป็นภาพที่น่าดูชมยิ่ง
…
หลินมู่อวี่ก้าวเข้าไปหาพลางเอ่ยเบาๆ “เซี่ยงอวี้ เราจะคอยส่งเจ้าจากตรงนี้เอง”
เซี่ยงอวี้แค่นเสียงหัวเราะ “หลินมู่อวี่…พวกพ้องของเจ้าก็เหมือนเสือล่าเหยื่อ คิดว่าจะเชื่อใจฉินจิ้นไปได้ตลอดอย่างนั้นรึ? ฮ่าๆๆ”
เฟิงจี้สิงมองอย่างเย็นชา “เงียบปาก! เป็นนักโทษอยู่แท้ๆ ยังจะกล้ากล่าววาจาสามหาวอีกอย่างนั้นรึ?”
“ฮ่าๆๆ”
เซี่ยงอวี้หัวเราะทั้งที่ร่างกายสั่นกลัว ใบหน้าซีดเผือดนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เขาหันมามองหลินมู่อวี่ด้วยสายตาเย็นชาพลางตะโกนลั่น “หลินมู่อวี่ เจ้าคิดว่าข้าลอบสังหารซูฉินจริงหรือ? พวกเจ้าถูกหลอก…ไอ้พวกโง่!”
หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปใกล้ก่อนจะกล่าวอย่างไม่แยแส “แล้วเจ้ารู้อย่างนั้นรึว่าใครเป็นคนลอบสังหารซูฉินคืนนั้น?” เซี่ยงอวี้ตอบ “คืนนั่นข้าอยู่ที่นั่นก็จริง แต่ซูฉินถูกสังหารตอนออกหาอาหารให้มังกรในป่า และข้าไม่ใช่คนลงมือ…เซี่ยงอวี้ผู้นี้สาบานเลยว่าข้าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่ข้ารู้และจดจำมันไว้ในหัวคือข้าไม่ได้ทำ จึงไม่มีสิ่งใดที่ข้าต้องยอมรับทั้งนั้น!”
“หากไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใคร?” หลินมู่อวี่ยิ้มถาม
เซี่ยงอวี้สบถด่า “ไอ้โง่หลินมู่อวี่! เจ้ามันโง่ยิ่งกว่าสัตว์เสียอีก!”
ฉินอินเลิกคิ้วขึ้น “เซี่ยงอวี้ เจ้ากล้าตะคอกใส่ท่านพี่อย่างนั้นรึ? หรือการถูกเนรเทศไปมณฑลทงเทียนยังไม่เพียงพอ? ข้าเปลี่ยนใจเสด็จพ่อตอนนี้ยังทัน”
เซี่ยงอวี้มองฉินอินอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉินอิน ราชวงศ์ฉินของพวกเจ้านั้นเลวทราม เป็นราชวงศ์ทรยศ! ราชวงศ์ของพวกโจร!”
“หุบปาก!” หลินมู่อวี่ขู่เสียงต่ำ
เซี่ยงอวี้แสยะยิ้ม ก่อนจะรั้งข้อมือที่ถูกตรวนจนเลือดไหลพลางตะโกนลั่น “ยืมมือซูฉินฆ่าผู้ว่าการมณฑลหูเถี่ยหนิง ใช้ชื่อเซี่ยงอวี้ของข้าเพื่อกำจัดบุตรชายของหยุนกง แล้วสุดท้ายยังจะเอาการตายของมันมาขับไล่ข้าอีก! คิดจะยิงธนูดอกเดียวให้ได้นกสามตัวอย่างนั้นรึ…ไอ้พวกฆาตกร! โอ้ฉินจิ้นผู้ยิ่งใหญ่…จะมีผู้ใดในโลกนี้ที่มีอำนาจเหนือไปกว่าเจ้า? ยอมเสียทุกอย่างเพื่อปูทางให้ลูกสาวแสนรัก ข้าจะขอสาปแช่งให้เจ้าตายตกไปตามกัน ให้ดาบสะบั้นคอเจ้าตายเยี่ยงสุนัขไร้ค่า!”
เฟิงจี้สิงโมโหสุดขีด “หาผ้ามาอุดปากมันเสีย!”
“ขอรับ!”
สิ้งเสียงสั่งองครักษ์อวี้หลินสองคนก็รีบนำผ้ามาอุดปากเซี่ยงอวี้ไว้ทันที
หลินมู่อวี่กระชับกระบี่ยาวพลางควบม้าไปด้านข้างของรถคุมขังนักโทษด้วยสีหน้าสดใสและหัวใจพองโต หลินมู่อวี่พลันคิดถึงสิ่งที่ไม่ควร ใช่…ทุกคนต่างรู้ดีว่าโลกนี้โหดร้าย หากนี่เป็นอุบายของฉินจิ้นอย่างที่เซี่ยงอวี้ว่า หลินมู่อวี่ก็เข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งแล้ว
…
กระทั่งออกจากเมืองหลวง ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนนำทัพกองกำลังเขาเหินหนึ่งพันคนพาเซี่ยงอวี้ไปมณฑลทงเทียนด้วยตนเอง จากระยะทางคงใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนในการเดินทางไปกลับ ฉินอิน ถังเสี่ยวซีและฉินเหยียนไม่ได้ออกจากเมืองมาด้วย ส่วนหลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงติดตามไปส่งไกลอีกหน่อยเนื่องจากฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนต้องเดินทางไกล
ในขณะที่เฟิงจี้สิงนำทัพกององครักษ์ หลินมู่อวี่ควบม้าเดินไปกับฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนที่อยู่ด้านหน้าสุดของขบวน “ท่านพี่ฉู่ไปมณฑลทงเทียนครานี้กว่าจะกลับคงอีกนานสินะขอรับ?”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนพยักหน้า “อาอวี่ เจ้าอยู่ที่นี่ก็อย่าลืมดูแลอาเหยาและหมั่นไปพบปะนางบ้าง ข้าจะได้ไม่เป็นกังวลที่ต้องทิ้งนางอยู่เมืองหลวงผู้เดียว”
“ข้าทราบแล้วพี่ฉู่…ข้าจะไปพบนางบ่อยๆ”
“ขอบใจเจ้ามาก”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนพยักหน้าขอบคุณ ทว่าทันใดนั้นแววตาของเขาก็เปลี่ยนไป พลางกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำกับหลินมู่อวี้ “บางที…ข้าอาจไปไม่ไกลนัก และกลับเมืองหลันเยี่ยนภายในสี่ถึงห้าวัน”
หลินมู่อวี่เหมือนจะเข้าใจบางอย่าง ภายในใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
“อาอวี่ องค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้ข้าไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักเจ๋อเทียนกลางดึกเมื่อคืน เจ้ามีไหวพริบคงพอเดาได้ว่าเรื่องอันใด เดิมทีพระองค์ทรงอยากให้เจ้ารับหน้าที่นี้ ทว่าทรงกังวลว่าเจ้าจะใจดีเกินเหตุ จึงเลือกผู้นำกองทัพเขาเหินคนใหม่อย่างข้าแทน”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเผยแววตาอันมุ่งมั่น “แต่ข้าไม่มีปัญหา คนที่เหมาะจะรับหน้าที่นี้ที่สุดก็คือข้า…ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนผู้แสวงหาอำนาจมาทั้งชีวิต หากเจ้าได้ทำในสิ่งที่ฝืนใจ ต่อให้ได้รางวัลใดก็คงไม่คุ้มค่าเป็นแน่”
หลินมู่อวี่นิ่งเงียบ มองพื้นเบื้องล่างอย่างเลื่อนลอย
“อาอวี่!”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนขึ้นเสียงเรียก “เจ้าได้ฟังสิ่งที่ข้าต้องการจะบอกหรือไม่?”
“อืม”
น้ำเสียงของหลินมู่อวี่สงบผิดปกติราวกับกำลังผิดหวัง “องค์จักรพรรดิคงสั่งให้ท่านพี่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนสังหารเซี่ยงอวี้ระหว่างทางหากข้าเดาไม่ผิด”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนทำหน้าประหลาดใจ “ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้วเหตุใดจึงนิ่งสงบเช่นนี้?”
“สำคัญอันใดกับท่าทีของข้าเล่า?”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “องค์จักรพรรดิมองข้าเป็นลูกชายผู้ซื่อสัตย์มาโดยตลอด ข้าคิดว่าเขาคงเชื่อใจข้าและยอมเล่าทุกอย่างแต่ดูเหมือน…ข้าไม่ได้รู้จักชายแก่ผู้นั้นเลยสักนิด ข้าไม่เข้าใจจริงๆ…”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตบบ่าหลินมู่อวี่พลางกล่าว “พระองค์ทรงเป็นผู้อยู่เหนือคนทั้งปวง เป็นจักรพรรดิของดินแดนนี้ จึงไม่สามารถเผยความเมตตาเช่นผู้หญิงได้ สักวันเจ้าจะเข้าใจได้ด้วยตนเอง โลกนี้ช่างยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยการรบราฆ่าฟัน ไม่ได้สวยงามอย่างในนิทาน ข้านั้นยอมรับโลกใบนี้…และอยากหยิบยื่นความสุขที่มีให้แก่อาเหยา เจิ้งเซียง และสหายข้าทั้งหลาย อาจเป็นเพราะการมีอยุ่ของพวกเจ้าที่ทำให้ข้ามีความมุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตต่อไป”
หลินมู่อวี่พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม “ครานี้ข้าจะไม่เอาแต่ใจก็แล้วกัน ท่านพี่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนทำต่อไปเถิด ข้า…จะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้”
“นี่แหละข้อดีของเจ้าอาอวี่ เอาล่ะ…มาส่งข้าเท่านี้ก็พอ เจ้ากลับไปกับเฟิงจี้สิงเถิด ที่เหลือให้ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนผู้นี้จัดการเอง!”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่หันม้ากลับไปหาเฟิงจี้สิง “ท่านพี่เฟิง กลับเมืองกันเถิดเรามาส่งเท่านี้ก็พอ”
เฟิงจี้สิงพยักหน้า “เช่นนั้นก็กลับกันเถิด อาอวี่…บ่ายนี้สนใจไปดื่มที่หอสดับพิรุณกับข้าหรือไม่?
“ดื่ม?”
หลินมู่อวี่ยิ้ม “เอาสิ…ไปหอสดับพิรุณกัน!”
“ดีมาก! ผ่อนคลายโว้ย!”
…
ในช่วงบ่าย ณ หอสดับพิรุณ หลินมู่อวี่และเฟิงจี้สิงนั่งดื่มไวน์กันอยู่สองคน มีเหยือกเปล่าหกใบกองอยู่ข้างๆ ทั้งคู่ไม่สนใจสิ่งใดนอกจากยกแก้วไวน์เข้าปาก
หลินมู่อวี่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ออกไปสังสรรค์นัก จึงเมาอย่างง่ายดาย
หลินมู่อวี่เงยหน้ามองเฟิงจี้สิงด้วยอาหารมึนเมาก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านพี่เฟิงรู้หรือไม่? ตั้งแต่ข้าอยู่เมืองหลันเยี่ยนมา ท่านเป็นคนที่น่านับถือที่สุดแล้ว ่ทานพี่เปรียบเหมือนวีรบุรุษในใจข้า ชายผู้ใช้ชีวิตอย่างเที่ยงธรรม”
เฟิงจี้สิงคลี่ยิ้ม วางแก้วไวน์ลงก่อนจะเปลี่ยนไปจับตะเกียบ “แล้วตอนนี้เฟิงจี้สิงมิใช่คนเที่ยงธรรมแล้วอย่างนั้นรึ?”
“หากท่านพี่ไม่ทำสิ่งนั้นในป่าล่ามังกร ท่านพี่ก็ยังคงเป็นวีรบุรุษของข้าอยู่”
หลินมู่อวี่มองเฟิงจี้สิงด้วยสายตาอันเฉียบแหลมราวกับจะจับโกหกเฟิงจี้สิง
เฟิงจี้สิงสะดุ้งก่อนจะชี้นิ้วไปยังผู้ติดตามที่อยู่ด้านนอก “พวกเจ้าออกไปเสีย ข้าไม่อนุญาตให้ใครผ่านบริเวณนี้ หากข้าไม่ออกไป อย่าให้ผู้ใดเข้ามา”
“ขอรับท่านผู้บัญชาการ!” ทหารกององครักษ์ทั้งสี่รีบออกไปโดยพลัน
เฟิงจี้สิงค่อยๆ ยกเปลือกที่อันหนักอึ้งจากอาการเมา มองหน้าหลินมู่อวี่ก่อนจะกล่าว “อาอวี่ เจ้าสงสัยพี่เฟิงผู้นี้หรือ?”
“ใช่แล้ว ข้าสงสัยท่าน”
หลินมู่อวี่ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มด้วยสีหน้าเมามายก่อนจะกล่าว “เซี่ยงอวี้ไม่ได้สั่งให้ทหารสองพันนายเข้าสังหารซูฉิน และเซี่ยงอวี้ไม่รู้ว่าซูฉินอยู่ไหนในป่าล่ามังกร มีเพียงท่าน…ท่านคือคนเดียวที่ติดตามซูฉินไปตามถนนอวิ้นจงสายเก่า และท่านคนเดียวเท่านั้นที่สามารถนำกองกำลังสองพันคนลอบสังหารซูฉิน”
เฟิงจี้สิงมองหลินมู่อวี่อย่างนิ่งเงียบ ก่อนจะหัวเราะออกมา “อาอวี่…เจ้าปราดเปรื่องจนข้ากลัวเลยล่ะ หากเจ้าคิดว่าเฟิงจี้สิงผู้นี้เป็นคนทำ ก็จงชักกระบี่วิญญาณมังกรของเจ้าสังหารข้าเสีย ข้ารู้ดีว่าข้าคงสู้เจ้าไม่ได้…ฉะนั้นจึงไม่ยากเลยที่จะสังหารข้าเสียตอนนี้”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “ท่านพี่เฟิง เหตุท่านจึงต้องฆ่าซูฉินผู้เป็นลุงของเสี่ยวอินด้วย?”
“ก็เพราะมันเป็นลุงของเสี่ยวอินอย่างไรเล่า!”
เฟิงจี้สิงตบโต๊ะ “ชายผู้นั้นเป็นลุงของเสี่ยวอินทั้งยังเป็นทายาทเพียงคนเดียวของเมืองหยาดสายัณห์ ซูฉินเป็นคนเหี้ยมโหดถึงขนาดกล้าสั่งฆ่าล้างบางเมืองห้าหุบเขา หากเจ้าไม่หยุดมันไว้ จักรพรรดิของเราคงถูกตราหน้าว่าเป็นทรราช! หากไม่ฆ่ามัน…ท่านกงหยุนคงไม่มีวันยกกองทัพหยาดสายัณห์สองแสนห้าหมื่นคนให้เสี่ยวอิน เจ้ายังจะสงสารมันอีกรึ?”
เฟิงจี้สิงดึงม้วนกระดาษออกมาจากแขนเสื้อ “นี่เป็นคำสั่งฆ่าลับที่องค์จักรพรรดิส่งมอบให้ข้า และมันจะไม่มีอยู่อีกต่อไป!”
ความโกรธทวีคูณพร้อมกับม้วนคำสั่งที่ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เฟิงจี้สิงลุกขึ้นยืนพลางเอ่ยเบาๆ “นี่คือสิ่งที่เฟิงจี้สิงทำเองทั้งหมด ไม่เกี่ยวข้องกับองค์จักรพรรดิหรือองค์หญิงอีกต่อไป อาอวี่…หากเจ้าอยากสังหารข้าก็จงลงมือเสีย เราอยู่ท่ามกลางสงครามชิงอำนาจ อย่าได้เอ่ยถึงความเมตตาใด”
หลินมู่อวี่เงยหน้ามองเฟิงจี้สิงพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ “ท่านพี่เฟิง ท่านมีความเมตตาในใจบ้างหรือไม่?”
“ความเมตตารึ?”
เฟิงจี้สิงชะงักไปชั่วครู่ “ข้าไม่เคยเมตตาแก่ศัตรูของข้า”
หลินมู่อวี่ผายมือไปที่จานอาหารก่อนจะยิ้มและเอ่ยขึ้น “นั่งลงแล้วดื่มต่อเถิด เดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเอาเสียหมด ข้าหาเงินมาอย่างยากลำบากเพื่อจ่ายค่าอาหารพวกนี้เชียวนะ…”
เฟิงจี้สิงนั่งลงอย่างช้าๆ “มื้อนี้ข้าจะจ่ายเอง ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้า ข้า…ไม่ควรปิดบังเรื่องนี้กับเจ้าเลยจริงๆ”
“ข้าลืมมันไปหมดแล้ว…”
หลินมู่อวี่คีบเนื้อหมูป่าวางไว้บนจานเฟิงจี้สิง “ท่านพี่ไม่ได้ทำอะไรผิด แม้ข้าจะยังปล่อยวางทั้งหมดไม่ได้ ทว่าข้าจะค่อยๆ ทำความเข้าใจให้ได้ในสักวัน”
เฟิงจี้สิงมองหลินมู่อวี่ด้วยแววตาสั่นเครือ “อืม…บางทีคนที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตได้อาจเป็นเจ้า”