The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 264 คำสั่งกวาดล้าง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นหิมะยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่องขณะที่ควันหนาลอยขึ้นเหนือท้องฟ้ารอบเมืองห้าหุบเขา มีซากศพเกลื่อนกลาดบนพื้น ชาวบ้านต่างหวาดกลัวไม่กล้าออกไปไหนและปิดประตูบ้านแน่นหนา
ด้านนอกประตูเมืองทางทิศเหนือ กลุ่มทหารม้าหนักกำลังลากศพอย่างเหนื่อยล้า ตามกฎสมรภูมิรบแห่งจักรวรรดิ ทหารที่เสียชีวิตในสนามรบไม่มีสิทธิ์นำกลับไปฝังที่บ้านเกิด และกฎนี้ก็มีผลกับเหล่านายพลยศต่ำเช่นเดียวกัน พวกเขาทั้งหมดถูกฝังตามจุดที่จัดไว้เพื่อป้องกันกลิ่นเหม็นเน่าและโรคระบาด
…
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งจนทำให้หมาในโผล่ออกจากป่าทางเหนือของเมืองห้าหุบเขามากัดกินศพทั่วบริเวณ หมาในหนุ่มบางตัวฉีกทึ้งศพกระจัดกระจายซึ่งเป็นฉากที่ดูน่าสังเวช เมื่อเข้าสู่ความตาย ทุกคนก็แทบไม่มีอะไรแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้คนจากเมืองห้าหุบเขาหรือเมืองหยาดสายัณห์ สุดท้ายร่างกายของพวกเขาก็ถูกลดทอนกลายเป็นเพียงอาหารให้แก่สัตว์ป่าเหล่านี้
‘กุบกับ…’
ท่ามกลางเสียงเกือกม้าซูฉินมีใบหน้าที่ซีดเซียว ไหล่และศีรษะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ เขาปราดมองสภาพที่เลวร้ายของสนามรบและเอ่ยถามแผ่วเบา “หนีไปได้กี่คน?”
รองผู้บัญชาการจางซานตงประสานมือกล่าว “ท่านแม่ทัพฉิน พวกมันหนีไปได้ไม่ถึงยี่สิบคนขอรับ”
“เจ้าพบศพหลงเซียนหลินหรือไม่?”
“ไม่ขอรับ…”
“บัดซบ!” ซูฉินต่อยลงบนอานอย่างหนักหน่วง “พวกเรามีกำลังพลถึงเจ็ดหมื่นนายขณะที่เมืองถูกปิดล้อมเช่นนี้ แล้วหลงเซียนหลินยังสามารถหนีรอดไปได้อีก ช่างเป็นความอัปยศของทัพเขี้ยวกระบี่ยิ่งนัก!”
ใบหน้าของจางซานตงซีดเผือดและไม่กล้าพูดสิ่งใดต่อ
ขณะเดียวกันซูอวี่ที่ออกไปตรวจสอบสนามรบก็กลับมาสมทบ ใบหน้างามเต็มไปด้วยเลือด นางพลันยกมือขึ้นเช็ดทว่ามันกลับไม่ออก ซูอวี่เดินเข้ามาหาซูฉินและกล่าวว่า “พี่ใหญ่…ข้าได้ไปตรวจสอบสนามรบทางใต้แล้ว”
“สถานการณ์เป็นอย่างไร?” ซูฉินถาม
ซูอวี่ขยับริมฝีปากสีแดงของเธอเล็กน้อย ทว่าก็ไม่พูดสิ่งใด
“อาอวี่ ข้าถามว่าเกิดอะไรขึ้น!” ซูฉินเริ่มขึ้นเสียง
ซูอวี่สูดหายใจลึกและตอบว่า “พี่ใหญ่ ทหารม้าหนึ่งหมื่นนายที่เราจัดไว้ที่ประตูทิศใต้ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง เมื่อคืนที่ผ่านมากองกำลังในเมืองจู่โจมเราจนได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก”
“เราสูญเสียไปกี่คน!? เจ้าก็แค่พูดมันออกมา!”
“มีผู้เสียชีวิตในสนามรบกว่าเจ็ดหมื่นคน บาดเจ็บสาหัสอีกกว่าสองพันคน ส่วนที่เหลือราวสี่ถึงห้าพันคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย…” ซูอวี่เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ว่าอย่างไรนะ…”
ร่างกายซูฉินสั่นเล็กน้อยขณะที่ดวงตาเผยความเกลียดชัง “ไอ้กบฏหลงเซียนหลิน…สังหารทหารชั้นยอดกว่าสองหมื่นนายแห่งเมืองหยาดสายัณห์…ไอ้กบฏสารเลว!!”
ทันใดนั้น! ร่างกายซูฉินสั่นเทิ้มก่อนจะกระอักเลือดออกมา บาดแผลจากลูกธนูบนหน้าอกของเขามีเลือดไหลซึม
“พี่ใหญ่ เป็นอะไรหรือไม่?” ซูอวี่เอ่ยถาม
“ไม่เป็นไร ข้าสบายดี…”
ซูฉินกวาดตามองเมืองห้าหุบเขาด้วยสายตาเย็นชา “นักรบผู้กล้าหาญแห่งมณฑลถูกฆ่าตายในเมืองต้องสาปแห่งนี้…มันเป็นความผิดของข้าทั้งหมด เข้ามาสิ…รับคำสั่งข้า หลังจัดระเบียบสามเหล่าทัพแล้วก็บุกเข้าไปในเมืองห้าหุบเขาเพื่อกวาดล้างให้หมดซะ”
เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา แต่ซูอวี่กลับสั่นสะท้าน “พี่ใหญ่ ร…เราจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร!”
“เหตุใดจึงไม่ได้!?”
ดวงตาซูฉินเย็นชา “บรรพบุรุษทำเช่นนั้นเสมอ ในเมื่อชาวบ้านก่อกบฏเช่นนี้ หากเราไม่จัดการให้สิ้นซาก พวกมันจะรู้ซึ้งถึงพลังอำนาจแห่งจักรวรรดิหรือ? อาอวี่ เจ้าเพียงทำตามที่ข้าบอกซะ ไม่ต้องพูดสิ่งใดอีก ข้ารู้ว่าเจ้ามีจิตใจที่เมตตา ดังนั้นปล่อยให้พี่ใหญ่จัดการเรื่องนี้เอง!”
“แต่ว่าพี่ใหญ่…” ซูอวี่ถอนหายใจ “เมืองห้าหุบเขาเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในจักรวรรดิด้วยจำนวนประชากรมากถึงสองล้านสี่แสนคน ท่านวางแผนจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดเลยหรือ?”
“ไม่ ข้าจะสังหารผู้คนในเมืองให้มากที่สุดในเวลาสามวัน!” ซูฉินกำหมัดแน่น “ข้าได้ตัดสินใจแล้ว ห้ามพูดสิ่งใดอีก มิเช่นนั้นข้าจะใช้กฎทหาร”
ร่องรอยแห่งความผิดหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้าซูอวี่ก่อนจะประสานมือกล่าวอย่างเคารพ “เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ ข้าไม่มีสิ่งใดจะคัดค้านอีกต่อไป”
…
หิมะยังคงตกหนักขณะที่ทัพเขี้ยวกระบี่และกองทัพฉินหลงเริ่มก่อกองไฟและปรุงอาหารจนมีควันลอยสูง หลังทานอาหารเช้าเสร็จพวกเขาต้องเริ่มลงมือกวาดล้างแล้ว คำสั่งนี้มีผลสามวัน นอกจากซูอวี่แล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งผิดปกติ ทหารเหล่านี้ยังคงพูดคุยและหัวเราะกันตามปกติ
“ชาวบ้านในเมืองห้าหุบเขาต้องตกอยู่ในอันตรายจากการเชิดชูพยัคฆ์อย่างหูเถี่ยวหนิงจนทำให้เขาทะนงตัวและกล้าก่อกบฏ เฮอะ! มันถึงเวลาตายแล้ว!” ทหารผู้มีหนวดเคราเต็มหน้าหัวเราะลั่นขณะที่ดื่มซุปเย็น
ทหารอีกนายก็สมทบ “เฮ้ย! มาพูดเรื่องนี้กันดีกว่า เราไปเลือกเหล่าเชลยศึกผู้หญิงกันไหม แต่ข้าขอเลือกก่อน!”
“หวังเอ้อโก่ว ไอ้บ้าตัณหา ไม่ช้าก็เร็วเจ้าคงได้ตายคาอกหญิงสาวเป็นแน่!” ทหารอ้วนหัวเราะเสียงดัง
หวังเอ้อโก่วยิ้ม “การตายคาอกหญิงงามคงทำให้ข้ากลายเป็นผีที่มีความสุขที่สุด ฮ่าๆ ข้าได้ยินมาว่าหญิงสาวในเมืองห้าหุบเขาค่อนข้างอวบอั๋น ฮ่า! ข้าไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน และตอนนี้โอกาสก็มาถึงแล้ว!”
“ไอ้บ้า เจ้าจะไปเล่นสนุกหรืออย่างไร?! กระนั้นเมื่อเราออกไปกวาดล้าง มาดูกันสิว่าใครจะสังหารได้มากกว่ากัน ใครฆ่าได้น้อยกว่าต้องเลี้ยงสุรา เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“ตกลง!”
…
บทสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นในค่ายเป็นเรื่องปกติ การกวาดล้างเป็นหายนะสำหรับผู้คน ทว่าเหล่าทหารก็เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองที่บ้าคลั่งนี้ เรื่องเงินทอง ผู้หญิง และการเข่นฆ่าจะแผ่ขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในช่วงเวลานี้ ขณะเดียวกันอาชญากรรมก็จะหายไปและกลับสู่วิถีดั้งเดิม
หลังอาหารเช้าเหล่าทหารม้าเกือบห้าหมื่นนายก็ขึ้นม้าเตรียมพร้อม ขณะที่ซูอินถือดาบเล่มยาวด้านหน้า
จากนั้นนายกองผู้หนึ่งก็ขี่ม้าเข้ามา ด้านหลังของเขามีชาวบ้านกว่าสามร้อยคน เขายิ้มมุมปากขณะที่กล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ ชาวบ้านเหล่านี้กำลังแอบหนีไปทางกำแพงฝั่งตะวันตกของเมือง ทว่าถูกเจอตัวก่อน ข้าจึงพามาให้ท่านแม่ทัพขอรับ”
ดวงตาซูฉินเย็นชาขณะที่ชูมือส่งสัญญาณให้ฆ่า
“กองพันที่หนึ่งตามข้ามา!” รองผู้บัญชาการพลันตะโกนลั่น
กลุ่มทหารม้าห้าร้อยนายพุ่งตัวออกไปพร้อมหอกและดาบยาว ‘ฉึก ฉึก ฉึก!’ เลือดพุ่งสาดกระจายพร้อมเสียงกรีดร้องที่ดังกึกก้อง และแล้วชาวบ้านกว่าสามร้อยคนก็ถูกฆ่าภายในพริบตา มีเด็กอายุราวสี่ถึงห้าขวบถูกทิ้งยืนร้องไห้ท่ามกลางซากศพ
ซูฉินจ้องมองและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ทำไม เจ้าทนไม่ได้รึ?”
จางซานตงง้างธนูขึ้นและส่งลูกธนูออกไปอย่างรวดเร็ว ‘ฉึก!’ มันพุ่งทะลุหัวใจเด็กคนนั้นอย่างรุนแรงจนทำให้หัวใจแตกสลายทันที เขาตายโดยที่ไม่ทันได้รู้สึกหรือแม้แต่กระทั่งได้ส่งเสียงร้อง
“เตรียมตัวเคลื่อนทัพเข้าเมือง” ซูฉินชักกระบี่เล่มยาวออกมา
ทว่าทันใดนั้นแผ่นดินก็สั่นสะเทือนเล็กน้อยพร้อมเสียงเท้าม้าดังกึกก้องมาจากระยะไกล ซูฉินขมวดคิ้วและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ทหารม้านายหนึ่งพลันเข้ามาประสานหมัดรายงาน “ท่านแม่ทัพขอรับ แม่ทัพองครักษ์ทิศใต้หลินมู่อวี่เคลื่อนทัพมาบนถนนสายหลักพร้อมทหารม้าหนักราวสองหมื่นนาย ดูเหมือนว่าจะเป็นกองทหารจากค่ายเขาเหิน!”
“โอ้ เป็นอาอวี่เองรึ!”
ซูฉินหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเด็กนั่นเคลื่อนย้ายกองทหารค่ายเขาเหินจากมือหลงเซียนหลินเพื่อลดความเสียหายให้แก่กองทัพของเรา ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ในเมื่อเขามาที่นี่…คงต้องแบ่งความดีความชอบในการกวาดล้างครานี้ให้เสียแล้ว รอสักครู่เถิด และให้อาอวี่เป็นผู้นำทัพบุกเข้าเมืองห้าหุบเขา”
“ขอรับ!”
…
หลังจากนั้นไม่นาน ร่างของกองทหารค่ายเขาเหินก็ปรากฏตัวขึ้นที่ขอบฟ้า หลินมู่อวี่สวมชุดคลุมสีขาวของวิหารขณะที่ขี่ม้าอยู่แถวหน้า เมื่อเห็นซูฉินและซูอวี่เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แน่นอนแล้วว่าทุกอย่างไม่ได้ดำเนินไปด้วยดีอย่างที่คิด ท้ายที่สุดก็เกิดสงครามอย่างดุเดือดขึ้นในเมืองห้าหุบเขา!
“อาอวี่ เจ้ามาแล้วรึ?!” ซูฉินหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าแย่งชิงทหารฝีมือดีจากค่ายเขาเหินมาไว้ในมือ เจ้าทำได้ดีมาก!”
หลินมู่อวี่ประสานหมัดกล่าว “ข้าน้อยมาพบท่านแม่ทัพขอรับ!”
“ฮ่า! เจ้าน้องชายอย่ามากพิธีไป!” ซูฉินยกมือขึ้น “ดูสิ ขณะนี้เมืองห้าหุบเขาตกอยู่ในเงื้อมมือของเราแล้ว เจ้ากบฏหลงเซียนหลินสร้างความเสียหายให้แก่เราเป็นจำนวนมาก บัดซบ! ข้าได้ออกคำสั่งให้กวาดล้างเมืองแห่งนี้แล้ว อาอวี่ ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะมอบภารกิจนี้ให้เจ้าเป็นผู้บุกเข้าไปในเมืองและสังหารพวกมันให้หมด!”
“กวาดล้าง?”
หลินมู่อวีี่สั่นสะท้านขณะที่ปราดตามองซากศพของชาวบ้านกว่าสามร้อยคนตรงหน้า ก่อนจะหันกลับมามองซูฉิน “แม่ทัพซูฉิน นี่…ท่านเป็นคนฆ่าพวกเขาหรือ?”
“ใช่ พวกมันพยายามจะหนี จึงต้องได้รับโทษ!”
“เรื่องจริงหรือ?”
หลินมู่อวี่อดกลั้นความโกรธไว้ขณะที่ประสานหมัดและกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเมื่อยึดเมืองห้าหุบเขาได้สำเร็จแล้ว จะเป็นการเสร็จสิ้นตามพระราชโองการองค์จักรพรรดิ และมิจำเป็นต้องเข่นฆ่าชาวบ้าน”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
ซูฉินตะลึง “ชาวบ้านและผู้ที่ต่อต้านพวกนี้สังหารทหารของเมืองหยาดสายัณห์กว่าสองหมื่นนาย เจ้ากำลังบอกข้าว่าไม่ให้กวาดล้างพวกมันรึ?”
“ขอรับ”
หลินมู่อวี่มองไปซูฉินด้วยสายตาเฉียบคม จากนั้นก็ชี้ไปที่ด้านหลัง “ทหารหนึ่งหมื่นเจ็ดพันนายนี้เป็นกองทหารค่ายเขาเหินซึ่งส่วนใหญ่มาจากเมืองห้าหุบเขา ท่านจะให้พวกเขาเข่นฆ่าครอบครัวของตนเองอย่างนั้นหรือ? การก่อกบฏของแม่ทัพหูเถี่ยหนิงมิได้เกี่ยวข้องกับชาวบ้านเหล่านี้ พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์!”
“พอได้แล้วหลินมู่อวี่!”
ทันใดนั้นซูฉินก็พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ข้าคิดว่าเจ้าเป็นราชบุตรบุญธรรมขององค์จักรพรรดิ ข้าจึงไม่สนใจเจ้า เหตุใดจึงบังอาจมาต่อต้านข้าเช่นนี้ ปล่อยข้าไปซะ! ข้าจะสังหารพวกมันให้หมด!”
หลินมู่อวี่ตกใจ ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมาก่อนจะชี้มือไปที่ทัพเขี้ยวกระบี่ด้านหลังซูฉิน “พวกเจ้าทั้งหมดเป็นทหารของจักรวรรดิ และคุ้นเคยต่อคำสั่งของผู้ปกครองดี บอกกข้ามาสิ…หน้าที่ของการเป็นทหารแห่งจักรวรรดิมิใช่การปกป้องผู้คนและแผ่นดินนี้หรือ? หากพวกเจ้าเข่นฆ่าชาวบ้านที่นี่ แล้วเจ้าจะยังมีคุณสมบัติในการสวมตราจื่อยินแห่งกองทัพจักรวรรดิอยู่อีกหรือ?!”
“หลินมู่อวี่ บังอาจ!” ซูฉินตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว
ซู่อวี่เดินออกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “อาอวี่…พอได้แล้ว อย่าพูดอะไรอีกเลย…”
…
หลินมู่อวี่เผยยิ้มจางๆ ก่อนจะผายมือออกและตะโกนว่า “กองทหารค่ายเขาเหินเคลื่อนทัพเข้าไปในเมืองและปกป้องไว้ซะ หากผู้ใดบังอาจฆ่าชาวบ้านละก็…จะถือว่าเป็นศัตรูกับเรา! จงฆ่ามันอย่างไร้ความปรานี!
……………….