The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 233 วาโย พิรุณ อสนี และอรุณ
“อะไรกัน?”
ราชทูตรีบจับดาบตั้งท่าและมองรอบตัว เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งทีเคลื่อนกลางอากาศทว่ามองไม่เห็น ดาบยาวถูกยกขึ้นมาป้องกันบริเวณหน้าอกก่อนราชทูตจะรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบตรงต้นคอจากนั้นร่างหนาก็แน่นิ่งไปราวกับจิตวิญญาณถูกช่วงชิง…
“ฉึก…”
มีดเสียงปีศาจค่อยๆ ปรากฏขึ้นเมื่อใบมีดเคลือบด้วยหยดเลือด มีดวิญญาณอสูรเทวาบินร่อนอย่างรวดเร็วกระทั่งคราบเลือดระเหยไปและกลับสู่สถานะล่องหนอีกครั้ง มีดคมทะยานไปด้านข้างก่อนจะพุ่งทะลวงลำคอทหารเหรียญทอง
ได้ยินเพียงเสียงแต่ไร้รูปร่างปรากฏ เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ผู้ไม่เคยเรียนรู้ทักษะชีพจรวิญญาณมาก่อนจึงไม่สามารถรับมือกับการโจมตีนี้ได้แม้จะได้ยินเสียงก็ตาม มีดเสียงปีศาจปลิดชีพได้สองคนคือราชทูตและทหารเหรียญทอง เป็นครั้งแรกที่ใช้มีดเสียงปีศาจหลอมใหม่เล่มนี้และมันน่าทึ่งมาก!
“ฟิ้ว…”
ฝนธนูถูกระดมยิงใส่ทหารบนถนนจนบาดเจ็บจำนวนมากทว่าพวกนั้นหาได้เกรงกลัว ทั้งยังจับอาวุธเข้าโจมตีองครักษ์อวี้หลินอีก
“ฆ่ามัน!”
หลินมู่อวี่ร่ายรำกระบี่เข้าสังหารกองกำลังศัตรูจนล้มตายไปส่วนหนึ่ง…ทว่าก็ยังเหลืออีกมาก เพราะฝั่งสมาชิกสำนักอัศวินที่ออกมานี้คือครึ่งหนึ่งจากศูนย์ใหญ่จึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสู้กลับ
ทักษะการต่อสู้ขององครักษ์อวี้หลินเองก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก เว่ยโฉว เซี่ยโหวซาง และทหารคนอื่นๆ จับอาวุธเข้าปะทะกับกองกำลังอย่างดุเดือด วิญญาณยุทธ์ที่ถูกปล่อยเปล่งประกายขึ้นในป่าพร้อมกับคบเพลิงที่เริ่มถูกจุดจนสว่างไสวทั่วบริเวณ ไม่นานการต่อสู้ก็เริ่มรุนแรงขึ้น
ทั้งสองฝั่งต่างสู้รบกันอย่างเอาเป็นเอาตาย หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปพร้อมกับเหวี่ยงกระบี่ตัดโล่และแขนของทหารคนหนึ่งจนล้มกลิ้งลงไปร้องครวญครางกับพื้นด้วยความเจ็บปวด
กระทั่งองครักษ์อวี้หลินเริ่มเสียเปรียบในการต่อสู้ ทหารชำนาญการร้อยคนด้านหลังระดมยิงธนูใส่จนองครักษ์หลายคนนอนจมกองเลือด
“วิ้ง!”
หลินมู่อวี่เมื่อเห็นดังนั้นจึงเรียกกำแพงน้ำเต้าออกมาช่วยป้องกันคนที่เหลือ ลูกธนูไม่สามารถทะลุผ่านกำแพงมาได้ หลินมู่อวี่หันไปตะโกนกับคนข้างหลัง “รีบเปิดทางแล้วถอยทัพ!”
“ขอรับ!”
เว่ยโฉว เซี่ยโหวซาง และคนอื่นๆ เข้าสังหารศัตรูด้วยพลังสูงสุด เพียงพริบตาทหารชำนาญการกว่าสามร้อยคนก็กลายเป็นศพ ทว่าฝั่งองครักษ์อวี้หลินเองก็สูญเสียไม่น้อย อีกทั้งยังมีคนเจ็บอีกหลายคนนอนรอความช่วยเหลืออยู่
หลินมู่อวี่ใช้เก้าแพงน้ำเต้าป้องกันก่อนจะตะโกนบอกมือธนูที่กำลังระดมยิง “เราคือองครักษ์อวี้หลินแห่งเมืองหลันเยี่ยน พวกเจ้าลอบโจมตีเราถึงสามครั้งอยากตายอย่างนั้นรึ?”
ทหารเหรียญเงินง้างคันศรพลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไอ้พวกหมารับใช้ คิดจะเสวยสุขหลังจากล้างบ้างพวกเรารึ?”
หลินมู่อวี่ไม่เอ่ยตอบสิ่งใดนอกจากรวบรวมพลังอัสนีไว้ที่ฝ่ามือ กระบี่วิญญาณมังกรพุ่งทะยานออกไปก่อนจะเฉือนลำคอของทหารผู้นั้นอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า ดูเหมือนนายทหารต้องการจะพูดบางอย่างทว่าลำคอถูกฟันขาดเสียก่อน ร่างหนาล้มลงพร้อมกับสิ้นครวญครางก่อนสิ้นใจ หลินมู่อวี่เก็บกระบี่เข้าฝักและเอ่ยขึ้น “หากไม่อยากตายก็ไสหัวไปให้พ้น!”
บรรดาทหารสมาชิกสำนักอัศวินต่างมองหน้ากัน ยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยไม่กล้าต่อกรกับหลินมู่อวี่ผู้ได้สมญาว่า ‘เทพแห่งความตาย’ และเร่งเก็บอาวุธก่อนจะหนีหายเข้าป่าไป
“ท่านผู้บัญชาการ!”
เว่ยโฉวควบม้าเข้ามาหาหลินมู่อวี่ด้วยใบหน้าโชกเลือด “เราจะตามพวกมันไปหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ต้อง”
หลินมู่อวี่สลายกำแพงน้ำเต้าก่อนจะสูดหายใจลึกเพื่อผ่อนคลายตัวเอง เขามองดูศพโดยรอบพลางเอ่ยขึ้น “แม้ครานี้จะล้มเหลวแต่พวกมันต้องกลับมาอีกแน่ ฉะนั้นเราควรไปจากที่นี่โดยเร็ว อย่าได้ใส่ใจพวกมดปลวกที่หนีไป อีกอย่างทางเราก็เสียกำลังพลไปไม่ใช่น้อยข้าไม่อยากให้มีใครตายเพิ่มอีก”
“รับทราบขอรับ เก็บของ…เราจะออกเดินทางกันคืนนี้!”
ทหารองครักษ์ฝังร่างของสหายศึกที่ตายอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ที่กินเวลาไม่ถึงสิบนาทีทว่าก็ทำให้ทหารองครักษ์บาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่ง มีเพียงหลินมู่อวี่ เว่ยโฉว เซี่ยโหวซาง และองครักษ์ที่มีพลังยุทธ์ขอบเขตปฐพีขั้นสามเท่านั้นที่ไม่บาดเจ็บ
ทว่าเพียงภาพที่เห็นก็ทำให้หลินมู่อวี่เจ็บปวดใจมากพอแล้ว แม้จะยังเหลือทหารอีกว่าเจ็ดพันในเมืองหลันเยี่ยน ถึงกระนั้นในการต่อสู้นี้เขาก็สูญเสียมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นหน่วยองครักษ์อินทรีที่มีจำนวนไม่มากหากเสียทหารฝีมือดีไปหนึ่งคนก็ต้องรับสมัครเข้ามาใหม่ ซึ่งยากจะเสริมให้ทัพมีความแข็งแกร่งเท่าเดิม
รุ่งสางวันถัดมา ม้าศึกเริ่มมีอาการหอบเหนื่อยทว่าหลินมู่อวี่ยังคงฝืนมันต่อไป เพราะจากการหารือกับเว่ยโฉวและเซี่ยโหวซางจึงได้ข้อสรุปว่าไม่ควรหยุดพักไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ต้องกลับไปเมืองหลันเยี่ยนให้ไวที่สุดเพื่อไม่ให้โดนสำนักอัศวินเข้าปิดล้อมอีกครั้ง
อย่างที่คาด ลำพังทหารม้าเพียงไม่กี่นายของสำนักอัศวินไม่สามารถไล่ตามพวกหลินมู่อวี่ได้ทัน ทว่าม้าศึกหลายตัวหลังจากฝืนทนวิ่งมาอย่างยาวนานก็เริ่มน้ำลายฟูมปาก กระทั่งเข้าสู่วันที่สาม…ในที่สุดพวกหลินมู่อวี่ก็เห็นเค้าเมืองหลันเยี่ยนเสียที
ทันทีที่ทักษะชีพจรวิญญาณของหลินมู่อวี่สัมผัสถึงพลังของยอดฝีมือด้านหน้า เขาก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณพลางตะโกนสั่ง “เตรียมอาวุธ! พร้อมเข้าปะทะด้านหน้า!”
“ขอรับ!”
เซี่ยโหวซางจับหอกยาว ขณะที่เว่ยโฉวเตรียมคันศรกลืนวิญญาณของตน คงจะดีหากสามารถฆ่าศัตรูเบื้องหน้าก่อนที่พวกมันจะเข้าถึงตัว
หลังพ้นแนวป่า คลื่นพลังงานยังคงไม่หายไป ทว่าพวกเขากลับไม่ใช่ศัตรู…เป็นเฟิงจี้สิง จางเว่ย หลัวเลี่ย และทหารจักรวรรดิอีกหลายคนตั้งค่ายรออยู่
“มาแล้ว!” จางเว่ยตะโกนขึ้นพลางหัวเราะลั่น “ท่านหลินมุู่อวี่และคนอื่นๆ กลับมาโดยสวัสดิภาพ!”
เฟิงจี้สิงรีบควบม้าเข้าไปหาโดยไว “อาอวี่ระหว่างทางกลับเรียบร้อยดีหรือไม่?”
หลินมู่อวี่ส่ายหัว “เกิดอันใดขึ้นหรือ? เหตุใดท่านพี่จึงออกมารับเราถึงนอกเมืองเช่นนี้?”
“เรื่องมันยาว…”
เฟิงจี้สิงขมวดคิ้ว “เดินและคุยไปพลางเถิด”
“ขอรับ!”
ทหารจักรวรรดิควบม้าและเข้าคุ้มกันพวกหลินมู่อวี่โดยมีเฟิงจี้สิงและจางเว่ยอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ?” หลินมู่อวี่ถาม
เฟิงจี้สิงตอบ “มีราชโองการจากองค์จักรพรรดิให้กำจัดสำนักอัศวินทั้งที่กองกำลังจากเมืองอื่นๆ ยังไม่พร้อม ในขณะที่ฝั่งศัตรูแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ฉู่หว๋ายเหมี่ยนที่กลับจากการส่งอาวุธให้เมืองธุมเกตุเหมันต์ถูกพวกมันซุ่มโจมตี จนมีการต่อสู้เกิดขึ้นอย่างดุเดือด ส่งผลให้ทหารหลายคนได้รับบาดเจ็บกระทั่งฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเองก็ด้วย”
หลินมู่อวี่ตกตะลึง “พระเจ้า…ท่านพี่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนบาดเจ็บงั้นรึ? ใครเป็นคนนำทัพฝั่งศัตรู? พวกมันแข็งแกร่งถึงขนาดทำให้ท่านพี่บาดเจ็บเชียวหรือ?”
เฟิงจี้สิงพยักหน้า “จากการสืบสวนพบว่าพวกมันเป็นสมาชิกสำนักอัศวินจากมณฑลตี่ฉิง มีราชทูตใหญ่หนึ่งคน ราชทูตทั่วไปสามคน ทหารเหรียญทองเจ้โคน และสมาชิกทั่วไปอีกว่าสองพันห้าร้อยคน ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนที่นำกองกำลังไปเพียงเจ็ดร้อยคนจึงไม่แปลกที่จะพ่ายแพ้ ทว่าด้วยความแข็งแกร่งของตาแก่ฉู่จึงทำให้ราชทูตใหญ่ของพวกมันเจ็บหนักและสังหารสามราชทูตกับเจ็ดทหารเหรียญทองลงได้”
เฟิงจี้สิงหันมองหน้าหลินมู่อวี่และกล่าวต่อ “เจ้าโดนซุ่มโจมตีบ้างหรือไม่อาอวี่?”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “เราถูกโจมตีสองครั้งจากสำนักอัศวินทั้งขาไปและขากลับ โชคดีที่เราไม่ได้เสียคนมากมีเพียงทหารยี่สิบเอ็ดคนเท่านั้นเพราะพวกมันส่งคนมาเพียงห้าร้อยคน หากต้องเจอกับกองกำลังสองพันห้าเหมือนท่านพี่ฉู่ข้าคงไม่มีโอกาสได้กลับมา”
เฟิงจี้สิงถอนหายใจ “บัดซบ…ไอ้สำนักอัศวินขยะนั่นคงอยากหักหน้าองค์จักรพรรดิ…”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ตลอดห้าวันนี้ไม่เพียงตาแก่ฉู่เท่านั้นที่ออกเดินทางพร้อมกองกำลัง ยังมีทหารอีกหลายคนที่ถูกส่งไปทำภารกิจ ทว่ากลับมีเพียงเจ้าสองคนเท่านั้นที่ถูกซุ่มโจมตี อาจเป็นเพราะเพิ่งได้รับสมญาสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยน…แม่ทัพวาโย พิรุณ อสนีและอรุณ ทำให้ตกเป็นเป้าหมายของสำนักอัศวินนั้น เพราะหากมันฆ่าเจ้าหรือตาแก่ฉู่ได้สำเร็จ มันต้องเข้าจู่โจมจักรวรรดิเป็นแน่…”
หลินมู่อวี่กัดฟันกรอด “สำนักอัศวินได้สาปส่งองค์จักรพรรดิและสร้างคำลวงว่าพระองค์เป็นจักรพรรดิที่กดขี่ประชาชน หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปพระองค์ต้องสูญเสียความไว้วางใจจากประชาชนเป็นแน่”
“คิดเช่นนั้นหรือ?”
เฟิงจี้สิงพยักหน้ารับ “เราหยุดคุยกันเพียงเท่านี้ดี เจ้าควรเร่งกลับตำหนักเจ๋อเทียนไปรายงานแก่องค์จักรพรรดิเสียดีกว่า”
“แล้วอาการบาดเจ็บของท่านพี่ฉู่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ยังพอไหว กระดูกซี่โครงหักหลายซี่คงสู้อีกไม่ได้อย่างน้อยก็ครึ่งเดือน แต่ถือว่าดีแล้วที่ได้พักรบทั้งยังมีเวลาไปหาเจิ้งเซียงอีกด้วย”
หลินมู่อวี่ยิ้มกล่าว “ท่านพี่เฟิงเองก็อยากเห็นท่านพี่ฉู่และแม่นางเจิ้งเซียงสมหวังกันใช่หรือไม่?”
“แน่นอน”
เฟิงจี้สิงกล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย “พวกเขาเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเปรียบดังพี่ชายข้า ข้าก็หวังให้เขาได้พบแต่ความสุข เจิ้งเซียงเองก็เป็นคนอบอุ่นและอ่อนโยนเปรียบเสมือนที่พักใจของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน”
“ข้าเห็นด้วย”
หลินมู่อวี่กล่าวต่อ “ท่านพี่เฟิงเองก็อายุไม่ใช่น้อยแล้ว ไม่คิดจะหาที่พักใจของตัวเองบ้างหรือ?”
เฟิงจี้สิงชะงัก เขาส่ายหัวพร้อมกับยิ้มเยาะตัวเอง “ในชีวิตเฟิงจี้สิงผู้มีแต่ดาบกับเลือดนี้ คงจะดีกว่าหากไม่มีคนให้ห่วงใย อาวี่เจ้าเลิกพูดถึงเรื่องนี้แล้วรีบไปตำหนักเจ๋อเทียนเสียที!”
“เข้าใจแล้วๆ”
……………………