The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 228 กายหยกบริสุทธิ์
“ทว่าอะไร?”
หลินมู่อวี่หัวเราะแผ่วเบา “เจ้าต้องการเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอีกครั้งหรือ? ถังปินมิได้ขู่เข็ญเพียงเจ้าเท่านั้น แต่รวมไปถึงสหายของเจ้าด้วย เจ้าทนทุกอย่างได้อย่างนั้นหรือ?”
“ข้าไม่ต้องการ…” ถังเสี่ยวซีกัดริมฝีปากแน่น “ข้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเขา จึงมิต้องการสร้างปัญหาใหญ่โต…”
“ทว่าตั้งแต่อดีตกาล ชางหลานก็เป็นห่วงเป็นใยเจ้ามาก เขาต้องยกเมืองชีไห่ให้เจ้าอย่างแน่นอน และถังปินจะหันใบดาบใส่เจ้าสักวัน คงดีกว่าหากจัดการเรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ”
ดวงตาหลินมู่อวี่เต็มไปด้วยความจริงใจจนถังเสี่ยวซีไม่กล้ามอง ก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “ทว่าเมืองชีไห่มีกฎบ้านเมือง ผู้ที่มีผนึกจิ้งจอกอัคนีเท่านั้นจึงจะสามารถเป็นเจ้าเมืองชีไห่ได้ ผนึกจิ้งจอกอัคนีของท่านปู่เข้าสู่ระดับสูงสุดแล้ว ผนึกจิ้งจอกอัคนีของถังปินอยู่ระดับเจ็ด ส่วนข้าเป็นเพียงเด็กสาวที่ไม่สามารถทะลวงผนึกจิ้งจอกอัคนีระดับหนึ่งได้เลยด้วยซ้ำ…”
“มิสำคัญเลย มันจักต้องมีวิธี”
หลินมู่อวี่สูดหายใจเข้าลึก “เราเพียงต้องถามผู้อาวุโสทั้งสองคือท่านเหล่ยหงและท่านชวีฉู่ ว่าพวกเขามีวิธีแก้ปัญหาแก่เด็กสาวที่ไม่สามารถฝึกยุทธ์ผนึกจิ้งจอกวิญญาณได้หรือไม่”
“อื้ม!” ถังเสี่ยวซีพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม นางพลันจับมือหลินมู่อวี่ “มู่มู่ โชคดีจริงที่มีเจ้าอยู่”
หลินมู่อวี่ยิ้มรับ “เจ้าคิดว่าข้าพึ่งพาได้มากกว่าพี่ชายใช่หรือไม่?”
“ใช่!”
“วางใจเถิดเสี่ยวซี ข้าจะปกป้องเจ้าเองและจะไม่ให้ใครมารังแกได้อีก”
“อื้ม ข้าจะจดจำสิ่งที่เจ้าพูดในวันนี้ เจ้าเองก็ต้องห้ามลืมเด็ดขาด”
“อืม ได้สิ”
จางเหว่ยด้านข้างตกตะลึง “สหาย…เจ้ากำลังจีบสาวอย่างมีความสุข ขณะที่ปฏิบัติกับนายพลผู้นี้ราวกับอากาศ ไม่เห็นใจความรู้สึกของหมาป่าเดียวดายเช่นข้าบ้างรึ?”
หลินมู่อวี่หัวเราะ “ข้าต้องขอบคุณท่านจางเหว่ยที่เข้ามาอย่างทันท่วงที ข้าจะไปคุยกับเฟิงจี้สิงสักวันเพื่อขอให้เลื่อนขั้นท่านได้เป็นผู้บัญชาการกองหมื่นโดยเร็ว!”
“ฮ่าๆ ขอบคุณมากท่านหลินมู่อวี่ ข้าทราบดีว่าท่านห่วงใยเฒ่าจางผู้นี้เสมอ!”
ถังเสี่ยวซีพูดไม่ออกขณะที่มองหลินมู่อวี่และจางเหว่ย นางมีสีหน้ากังวลเล็กน้อยก่อนจะดึงมือหลินมู่อวี่ “มู่มู่รีบกลับเมืองหลวงกันเถิด เรามิควรอยู่ที่นี่นาน”
“อืม ได้สิ”
…
แสงจันทร์สาดส่องกำแพงตำหนักเจ๋อเทียนยามค่ำคืนเป็นคลื่นราวกับสายน้ำ
ด้านนอกจวนหงส์ไฟมีองครักษ์มังกรยี่สิบนายพร้อมฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนคอยอารักขา แสงจันทร์สาดลงบนชุดเกราะสีเงินเปล่งประกายดั่งแสงศักดิ์สิทธิ์ แม้ลมยามดึกสงัดจะหนาวเหน็บ ก็มิทำให้องครักษ์มังกรหวั่นเกรงขณะที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมราวกับรูปปั้นหิน
ภายในโถงมีซุปเดือดปุดๆ อยู่บนเตา
ชวีฉู่และเหล่ยหงนั่งจิบชารสเลิศอยู่ที่นั่น ฉินอิน ถังเสี่ยวซี และหลินมู่อวี่นั่งอยู่ด้านข้าง ไม่ง่ายเลยที่จะเชิญเหล่ยหงออกมากลางค่ำคืนกับชวีฉู่เช่นนี้ เป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับผู้ชำนาญการขอบเขตปราชญ์ทั้งสองของจักรวรรดิจะมารวมตัวกัน
“นี่เป็นปัญหาที่หนักหน่วงจริงๆ…”
เหล่ยหงครุ่นคิดก่อนจะหันมองถังเสี่ยวซี “องค์หญิงซีเป็นหญิงสาวซึ่งมีสรีระและทะเลปราณแต่งต่างจากผู้ชาย และการฝึกวิญญาณยุทธ์ทรงพลังอย่างผนึกจิ้งจอกอัคนีนั้นทำได้ยาก ทะเลปราณของจอมยุทธ์ธรรมดามิสามารถสร้างพลังธาตุไฟสำหรับผนึกจิ้งจอกอัคนีได้ ขณะเดียวกันก็จะไม่สามารถรวบรวมผนึกจิ้งจอกอัคนีหากขาดพลังธาตุไฟนั้น”
ริมฝีปากถังเสี่ยวซีสั่นเล็กน้อยอย่างลังเลที่จะพูด
หลินมู่อวี่จึงเอ่ยถามว่านางต้องการพูดสิ่งใด “ท่านผู้ดูแล ทะเลปราณระหว่างผู้ชายและผู้หญิงแตกต่างกันอย่างไรหรือ? เหตุใดเสี่ยวอินจึงสามารถใช้วิญญาณยุทธ์หยิ่งยโสอย่างโซ่เทวะได้ แล้วเหตุใดเสี่ยวซีจึงไม่สามารถรวบรวมผนึกจิ้งจอกได้เจ้าคะ?”
“แตกต่างกันมากโขพ่ะย่ะค่ะ”
ชชวีฉู่เงยหน้ามองและกล่าวว่า “เป็นจริงที่โซ่เทวะนั้นหยิ่งยโส ทว่าก็เป็นวิญญาณยุทธ์ที่สืบทอดโดยสายเลือด แม้ว่าองค์หญิงเสี่ยวอินจะเป็นหญิงสาว แต่ก็มีสายเลือดมังกรที่แท้จริงของตระกูลฉิน จึงผูกมัดกับโซ่เทวะมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนร่างกายขององค์หญิงซีแตกต่างออกไป เนื่องจากเป็นเพียงร่างกายเด็กสาวธรรมดา”
เหล่ยหงกล่าวสมทบ “ทะเลปราณถูกรวบรวมภายในแกนกลางพลัง และแกนกลางพลังผู้ชายมีประตูนิลเรียกว่า ‘ประตูพลัง’ ผู้ชายทุกคนเกิดมาพร้อมประตูที่เปิดกว้าง จึงสามารถใช้พลังอย่างไม่มีข้อจำกัด ทำให้ฝึกยุทธ์อันทรงพลังได้ ส่วนหญิงสาวเกิดมาพร้อมประตูที่ปิดสนิท เช่นนั้นหากไม่บังคับเปิดออก ก็จะไม่สามารถฝึกยุทธ์พลังหยางได้”
หลินมู่อวี่มองเห็นความหวังเลือนราง “เช่นนั้นเราเปิดประตูนิลของเสี่ยวซีมิได้หรือ?”
เหล่ยหงส่ายหัว “ไม่ได้…ประตูนิลของผู้หญิงเปรียบดังร่างกาย เหล่าเด็กสาวเกิดมาพร้อมกายหยกบริสุทธิ์ และหลังจากร่วมรักกับชายหนุ่ม ส่วนล่างของประตูนิลก็จะเปิดออก กระนั้นประตูนิลแห่งทะเลปราณเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง หากเกิดแตกสลายจะทำให้ทะเลปราณกระจัดกระจายออกไปซึ่งเป็นดั่งการทำลายทะเลปราณของจอมยุทธ์”
ทันใดนั้นใบหน้าของเสี่ยวอินและเสี่ยวซีพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
หลินมู่อวี่อึ้งก่อนจะพูดว่า “เปรียบดั่งกายหยกบริสุทธิ์? ช่างฟังดูแปลกประหลาด ท่านผู้ดูแลกำลังบอกว่าทางเดียวที่เสี่ยวซีจะเปิดประตูนิลได้คือต้องอยู่กับผู้ชายหรือขอรับ?”
เหล่ยหงหันมองอาอวี่ “เพ้อเจ้อ! นั่นไม่ได้ผลหรอก วิธีเดียวที่ทำได้ก็คือเปิดประตูนิลเล็กน้อย และทำการป้องกันทะเลปราณขององค์หญิงซีไม่ให้กระจัดกระจาย มิเช่นนั้นอาจทำให้นางพิการได้”
“ไม่มีทางอื่นเลยหรือ?” หลินมู่อวี่กังวลเล็กน้อย
ชวีฉู่เผยรอยยิ้มจางๆ “เจ้าเด็กนี่ เหตุใดจึงเป็นห่วงเป็นใยองค์หญิงซีถึงเพียงนี้?”
หลินมู่อวี่ตอบ “อาวุโสฉู่อาจไม่ทราบเรื่องนี้ ทว่าถังปินแห่งเมืองชีไห่พยายามต้อนเสี่ยวซีให้จนมุม หากไม่ใช่เพราะข้าและจางเหว่ยอยู่ที่นั่น เขาคงเอาขู่บังคับเอาป้ายเหล็กตระกูลถังจากเสี่ยวซีไปแล้ว”
“เป็นเช่นนี้เอง…”
ชวีฉู่ลูบเคราขณะที่กล่าว “เมืองชีไห่เป็นตัวแปรสำคัญสำหรับจักรวรรดิ เนื่องจากมีทหารฝีมือดีกว่าสองแสนนายและจอมยุทธ์อีกมากมาย รวมทั้งเหล่าคุณชายถังปิน ถังลู่ และถังเทียน ขณะนี้มีชางหลานปกครองอยู่ซึ่งยังคงรักษาความสงบไว้ได้ หากวันใดที่เขาตาย เมืองชีไห่จะต้องเกิดความโกลาหล”
พูดจบก็หันไปมองหลินมู่อวี่ “เจ้าทำถูกแล้ว หากองค์หญิงซีสามารถปกครองเมืองชีไห่ องค์หญิงอินก็จะมีกองทัพสนับสนุนอันทรงพลังจากองค์หญิงซีเมื่อได้ขึ้นครองบัลลังก์ มิเช่นนั้นการขึ้นครองบัลลังก์โดยไม่มีกองกำลังที่มั่นคง จะทำให้เกิดกลียุคขึ้นในอาณาจักรเป็นแน่”
ฉินอินตกตะลึง “เสด็จพ่อยังคงแข็งแรงดี คงจะไม่…”
ชวีฉู่ส่ายหัว “นับวันร่างกายฝ่าบาทก็ยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ เหตุใดองค์หญิงจึงหลอกตนเองเช่นนั้น? ท่านเป็นรัชทายาทและต้องขึ้นครองบัลลังก์สักวัน ขณะที่อาวุโสเหล่ยหงและข้ายังมีชีวิตก็จะปกป้องจักรวรรดิอย่างสุดความสามารถ แต่หากวันใดที่พวกข้าไม่อยู่แล้ว องค์หญิงอินจำเป็นต้องพึ่งพาคนหนุ่มรุ่นเดียวกันเช่นอาอวี่ เฟิงจี้สิง และองค์หญิงซีพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาฉินอินแดงก่ำ “ผู้อาวุโสฉู่…ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ…”
เหล่ยหงลูบเคราขาวพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เฒ่าฉู่ อย่าทำให้องค์หญิงอินเกรงกลัวเลย มันมิได้แย่ถึงเพียงนั้น แม้ร่างกายฝ่าบาทจะอ่อนแอลง แต่ยังสามารถอยู่ได้อีกหลายสิบปี องค์หญิงก็แลเห็นแล้วว่าฝ่าบาททรงประทานยศนายพลวาโย นายพลพิรุณ นายพลอสนี และนายพลอรุณ เพื่อเตรียมการเหล่านายพลผู้ยิ่งใหญ่สำหรับองค์หญิงอิน เฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ ฉินเหลย และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนต่างก็มีศักยภาพเหลือล้น ด้วยพลังของทั้งสี่คนนี้ คงสามารถกอบกู้แผ่นดินฉินได้กว่าครึ่งแล้ว”
ฉินอินกะพริบตาก่อนจะหันมองหลินมู่อวี่และเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว “พี่อาอวี่จะอยู่เคียงข้างข้าตลอดไปใช่หรือไม่?”
หลินมู่อวี่ตกตะลึงขณะมองใบหน้างามของฉินอิน “อืม ตราบใดที่เสี่ยวอินต้องการ ข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
ฉินอินเผยยิ้มหวานที่จะทำให้ผู้พบเห็นต้องตกหลุมรัก
…
เหล่ยหงขมวดคิ้ว “ดูเหมือนว่าองค์หญิงซีจำเป็นต้องรับตำแหน่งผู้สืบทอดเมืองชีไห่ เอาล่ะ…องค์หญิงอิน โปรดให้กระหม่อมและอาวุโสฉู่ใช้หอเก็บตำราได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ด้วยตำราเก่าแก่ของจักรวรรดิที่ถูกเก็บไว้ เราอาจโชคดีเจอตำราที่บอกวิธีฝึกยุทธ์ผนึกจิ้งจอกอัคนีแก่องค์หญิงซี”
“อืม ได้สิ”
ฉินอินพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น “ข้าจะลงนามอนุญาตให้พวกท่านใช้หอเก็บตำราเพื่อแสดงแก่ผู้ดูแล”
หลินมู่อวี่พูดขึ้น “ข้าไปด้วยได้หรือไม่? มีคนมากขึ้นน่าจะช่วยกันหาได้เร็วกว่า”
เหล่ยหงพยักหน้า “ได้สิ เช่นนั้นอาอวี่ไปด้วยกัน”
ฉินอินและเสี่ยวซียิ้มให้กัน ก่อนจะตัดสินใจไม่ลงนามอนุญาต แต่ไปด้วยกันกับทุกคน จากนั้นทั้งห้าชีวิตก็ใช้เวลาตลอดค่ำคืนในหอเก็บตำรา”
…
ยามดึกสงัด หอเก็บตำรามีเตาพิงไฟสิบเตาด้านใน ทว่าก็มิอาจคลายความหนาวเหน็บที่พัดผ่านประตูได้เลย
หลินมู่อวี่ยืนอยู่หน้ากองหนังสือโบราณและเปิดดูทีละเล่ม หลังจากอยู่โลกนี้มานานก็เริ่มเข้าใจตัวหนังสือพื้นฐานมากขึ้น จึงไม่ยากเกินไปสำหรับอาอวี่ที่จะอ่าน
ฉินอินและเสี่ยวซีจุดตะเกียงอ่านหนังสือโบราณเหล่านั้นขณะที่มีสาวใช้คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
เหล่ยหงและชวีฉู่ยังคงเดินดูหนังสือทีละเล่มด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น
ด้านนอกหอเก็บตำรามีกลุ่มองครักษ์มังกรยี่สิบเอ็ดนายของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนยืนเฝ้า ค่ำคืนนั้นอากาศหนาวเย็นยะเยือกจนเกิดน้ำค้างแข็งบนชุดเกราะ ทว่าก็พวกเขายังคงยืนสงบนิ่ง ในขณะที่ลมพัดผ่านสิ่งที่องครักษ์เหล่านี้ทำได้คือปลดปล่อยปราณแท้ป้องกันความหนาว กระนั้นร่างกายมนุษย์จะต่อสู้กับพลังแห่งธรรมชาติได้อย่างไร ภายในพริบตาใบหน้าพวกเขาก็เย็นเฉียบ
เมื่อแสงแรกของรุ่งอรุณสาดส่องลงมาที่เมืองหลันเยี่ยน ก็มีเสียงตื่นเต้นของชวีฉู่ดังขึ้นจากหอเก็บตำรา “พบแล้ว! ข้าพบแล้ว!”
“พบอะไรหรือ?”
หลินมู่อวี่รีบลุกขึ้นวิ่งมาหาพร้อมฉินอินและถังเสี่ยวซี
พวกเขาเห็นชวีฉู่ถือม้วนตำราโบราณที่มีตัวหนังสือเขียนว่า ‘ดอกผิงเม่ย’
หลินมู่อวี่ทำหน้าแปลกประหลาด “ท่านอาวุโสฉู่ หยิบตำรามาผิดหรือไม่?”
“ไม่ มันอยู่ในเล่มนี้!”
ชวีฉู่กล่าวด้วยริยยิ้ม “อาอวี่ พวกเราคงต้องพึ่งพาเจ้าในการเปิดประตูนิลขององค์หญิงเสี่ยวซีแล้ว!”
“หมายความว่าอย่างไร?”
“ดอกผิงเม่ยเป็นสมุนไพรระดับสิบ และเมื่อสกัดรวมกับเอื้องอรหันต์สมุนไพรระดับเก้าจะได้โอสถเรียกว่า ‘โอสถหยกบริสุทธิ์’ เจ้ารู้จักเทพโอสถในฐานะนักปรุงโอสถใช่หรือไม่?” ใบหน้าชวีฉู่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“โอสถหยกบริสุทธิ์…” หลินมู่อวี่ประหลาดใจ
ชวีฉู่พูดต่อ “มีเรื่องเล่าขานเมื่อห้าพันปีก่อนว่า หลังจากจักรพรรดิหงส์โลหิตได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็ได้พบกับสาวงามที่สุดในปฐพีนามว่า ‘จื่อหรง’ กระนั้นนางมิได้มีกายหยกบริสุทธิ์ จักรพรรดิหงส์โลหิตจึงออกคำสั่งให้เทพโอสถทั้งหมดบนแผ่นดินสกัดยาที่สามารถฟื้นฟูกายหยกบริสุทธิ์ของหญิงสาวได้ ซึ่งนั่นก็คือโอสถหยกบริสุทธิ์ เราสามารถใช้วิธีนี้ โดยให้องค์หญิงซีทำลายประตูนิล จากนั้นใช้พลังขอบเขตปราชญ์ของข้าและเหล่ยหงป้องกันมิให้ทะเลปราณกระจัดกระจาย นางจะสามารถทะลวงผนึกจิ้งจอกอัคนีได้ในเวลาสั้นๆ แล้วจึงดื่มโอสถหยกบริสุทธิ์เพื่อฟื้นฟูภายหลัง วิธีนี้อาจช่วยให้องค์หญิงซีฝึกยุทธ์ผนึกจิ้งจอกอัคนีได้!”
หลินมู่อวี่อึ้งก่อนจะยอมรับอย่างจำนน เขาขยี้ตาและพูดว่า “เอาล่ะ ข้าจะไปเสาะหาดอกผิงเม่ยและเอื้องอรหันต์ เฮ้อ! จักรพรรดิหงส์โลหิตเป็นผู้คลั่งไคล้ความบริสุทธิ์ของหญิงสาวเสียจริง คนที่มันหลงในกามเช่นนี้ก็มีอยู่จริงบนโลก!”
“อืม…”
………………………………….
Related