The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 223 ตัดสินในคราเดียว
“เคร้ง!”
หลังจากปัดป้องการโจมตีอันหนักหน่วงจากกระบี่วิญญาณมังกรได้ ฉินเหยียนก็ใช้ความสามารถในการพลิกแพลงการโจมตี กระแทกหอกเขี้ยวอัคคีลงกับพื้น! หอกยาวกลายร่างเป็นอสรพิษเพลิงเลื้อยเข้าจู่โจมเท้าของหลินมู่อวี่!
หลินมู่อวี่ฉีกยิ้มก่อนจะกระโดดถอยไปหลายก้าวเพื่อหลบการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม ก่อนจะปักกระบี่ลงพื้นเรียกกระดองเต่าทมิฬและปราการเกล็ดมังกรขึ้นมาป้องกัน! เมื่อได้ทีหลินมู่อวี่กระโจนออกไปพร้อมกับตวัดกระบี่สามครั้งทำลายวิญญาณยุทธ์เกล็ดมังกรของฉินเหยียน จนอีกฝั่งเซถอยหลังไป!
หลังจากสามสิบยกผ่านไป ปราณยุทธ์ของฉินเหยียนลดฮวบอย่างมากเมื่อเทียบกับหลินมู่อวี่ เขาจึงไม่รีรอรีบปล่อยหอกเขี้ยวอัคคีลงบนพื้นและโค้งคำนับแก่หลินมู่อวี่ “ข้าขอยอมแพ้ขอรับท่านหลินมู่อวี่! ท่านพี่เอาชนะข้าได้ทั้งที่ยังไม่ได้ใช้พลังประหลาดนั่นด้วยซ้ำ…”
“เจ้ายอมแพ้ข้าแล้วสินะอาเหยียน”
หลินมู่อวี่คำนับกลัวก่อนจะหัวเราะออกมา พลังประหลาดที่ฉินเหยียนกล่าวคงจะหมายถึงพลังฌานเจ็ดประทีป…หลายคนรู้ว่าหลินมู่อวี่มีวิชาลับทว่าไม่มีใครรู้ว่าคือวิชาอะไร นั่นยิ่งทำให้มันน่าสงสัยขึ้นไปอีก
ในที่สุดก็เข้าสู่รอบสี่คนสุดท้าย!
หลินมู่อวี่ออกจากลานประลองพร้อมกับฉินเหยียนที่ถือกระบี่วิญญาณมังกร ฉินเหยียนหันมามองหอกเขี้ยวอัคคีของตนก่อนจะพบว่ามีรอยเล็กๆ ปรากฏอยู่ เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนใจสลาย “ท่านพี่ กระบี่นี่ยิ่งใหญ่มาจากไหนกันถึงได้สร้างแผลให้กับหอกของข้าได้ หอกเขี้ยวอัคคีนี้เป็นถึงอาวุธนิลระดับสองที่ท่านพ่อตั้งใจหามาให้ข้าจากฝั่งตะวันตกเชียวนะขอรับ…”
“อย่าได้โวยวายไป เจ้าไปหาช่างตีมาดาบซ่อมให้เสียก็หมดเรื่อง” หลินมู่อวี่ปลอบ
“ขอรับ…” ฉินเหยียนตอบด้วยน้ำเสียงหดหู่ อันที่จริงชายหนุ่มผู้นี้ก็ต้องการชัยชนะไม่น้อยไปกว่าผู้ใด และการพ่ายแพ้ในประลองยุทธ์อันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ช่างน่าเสียดายยิ่ง
ขณะเดียวกันก็ถึงเวลาของฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนแล้ว เขาลุกขึ้นขมวดคิ้วด้วยสีท่าไม่สู้ดีนัก
“ตาแก่ฉู๋สู้ไหวหรือไม่?” เฟิงจี้สิงเอ่ยถามด้วยความกังวล “อาการบาดเจ็บยังไม่ทุเลาเลยนี่!”
“ข้าไม่เป็นไรแล้ว…”
ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนกัดฟันพูด “ข้าตั้งตารองานประลองยุทธ์นี้มานาน ข้าต้องเอาชนะมู่หรงโจวเพื่อปกป้องเกียรติขององครักษ์อวี้หลินให้จงได้…”
“เช่นนั้นก็ตามใจเถิด…”
มู่หรงโจวที่อายุครบสามสิบสี่ปีนี้ เป็นผู้บัญชาการกองพันแห่งมณฑลเทียนชู่ทั้งยังเป็นแม่ทัพที่คอยพิทักษ์ดินแดนทางตอนเหนือ เขาช่ำชองวิชาหอกจนได้ฉายาว่าเทพหอกแห่งเทียนชู่ ความเก่งกาจนั้นหามีผู้ใดเทียบไม่…กล่าวกันว่าเขาเคยจัดการแม่ทัพฝีมือดีจากทางเหนือพร้อมกันทีเดียวเจ็ดคนจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว และด้วยเหตุนั้นมู่หรงโจวไม่เคยปรายตามองผู้ใดอีกนอกจากองครักษ์อวี้หลินที่แข็งแกร่ง และท้าสู้เพียงเพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่าตนนั้นเป็นที่หนึ่งในเมืองหลวง!
ถึงกระนั้นความแข็งแกร่งของมู่หรงโจวก็เป็นของจริง เขาบรรลุสู่ขอบเขตนภาขั้นสองได้ก่อนอายุสี่สิบ ซึ่งนำหน้าฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนไปครึ่งปี
ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนก้าวขึ้นไปยังลานประลองด้วยฝีเท้าอันหนักอึ้ง อาการบาดเจ็บยังไม่ทุเลาเลยสักนิด ทว่าในฐานะผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์มังกรเขาจะเสียเกียรติไม่ได้! ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนกระชับกระบี่ในมือและยืนอย่างสง่าผ่าเผย
มู่หรงโจวเดินเข้าลานประลองพร้อมกับหอกเหล็กในมือและเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน…ถือว่าเก่งกาจไม่เบาที่จัดการเจิ้งฟางลงได้ ข้า…มู่หรงโจวผู้นี้ไม่อยากรังแกคนเจ็บจึงอยากจะแนะนำให้เจ้ารีบยอมแพ้ไปเสีย หากยังฝืนแล้วถูกข้าจัดการเดี๋ยวจะอับอายเอาได้ อีกทั้งข้าคงไม่ยินดีเท่าไรถ้าเอาชนะคนที่แทบไม่มีแรงแม้จะยืนเช่นนี้”
ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนยิ้มกว้าง “หากข้าสละสิทธิ์เจ้าก็คงชนะ….แต่เจ้าคิดว่าจะเอาชนะข้าได้จริงๆ งั้นรึ? ข้าได้ยินมาว่าเจ้าอยากท้าประลองฉินเหลยกับเฟิงจี้สิงมานานแล้ว ตอนนี้จึงเป็นโอกาสดีเลย…ข้าคือผู้คุมกฎแห่งองครักษ์อวี้หลิน หากเจ้าอยากเจอกับสองผู้บัญชาการก็จงผ่านข้าไปให้ได้ก่อน มิเช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติพอ!”
“อย่างนั้นรึ? หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดข้าก็ขอรับคำท้า!”
สิ้นเสียงตะโกน มู่หรงโจวก็ตวัดหอกจู่โจมทันที! ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนรีบยกกระบี่ขึ้นมาป้องกัน ทว่าปลายหอกมู่หรงโจวที่ไวกว่าฟาดเข้าไหล่ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนอย่างจังจนเลือดกระฉูด!
“ตึก…ตึก…ตึก…”
ความรุนแรงของหอกทำให้ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนถึงกับเซถอยหลังไปหลายก้าว เขาโยนกระบี่ออกพร้อมกับกางนิ้ว ทันใดนั้นพลังดาวตกก็ปรากฎขึ้นรอบตัว! เมื่อมู่หรงโจวเข้ามาใกล้พร้อมกับหอกเหล็ก ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนก็ปลดปล่อยปราณยุทธ์และใช้ดัชนีดาวตกใส่กลางหน้าผากมู่หรงโจว!
“อะไรกัน?!”
มู่หรงโจวตกตะลึง หลังจากเกราะปราณบริเวณหน้าผากถูกทำลายเขาก็รีบเบี่ยงตัวหลบการโจมตีที่ตามมา! ดัชนีดาวตกที่พุ่งผ่านพื้นหินจนเกิดเป็นรูลึก แสดงให้เห็นถึงปราณยุทธ์อันแก่กล้าของฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน!
“อย่าได้ใจไป!”
มู่หรงโจวกำลังตกที่นั่งลำบาก กระนั้นเขาก็ไม่ยอมแพ้ พอได้โอกาสก็รีบจู่โจมกลับทันที! หอกยาวถูกตวัดใส่น่องของฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน!
มู่หรงโจวรู้ว่าฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนกำลังใช้สมาธิกับการโจมตีคงไม่ทันได้ระวังขาเป็นแน่ หอกเหล็กฟันเข้าที่ไม่ทันได้ป้องกันของฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนจนเลือดสาดกระเซ็น ทว่าเขากลับใช้โอกาสนี้ในการโจมตีกลับ! ดัชนีดาวตกนับไม่ถ้วนทะลวงเข้าเกราะปราณของมู่หรงโจวจนพรุน!
เพียงพริบตาเดียวร่างของมู่หรงโจนก็เต็มไปด้วยแผลลึก โชคดีที่ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนไม่ได้ใช้พลังดัชนีดาวตกขั้นสูงสุด มิเช่นนั้นมู่หรงโจวคงตายไปแล้ว!
มู่หรงโจวร่างโชกเลือดค่อยๆ ยืนขึ้นเตรียมโจมตีด้วยหอกเหล็กอีกครั้ง ทว่าเมื่อเห็นฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนยกฝ่ามือชี้มาที่ตนจึงไม่กล้าขยับเขยื้อน ถึงกระนั้นก็ไม่ทันการ…เมื่อมีพระจันทร์ดวงหนึ่งส่องแสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นด้านหลัง! หัตถ์ผนึกจันทราอันทรงพลังที่สามารถปลิดชีพตนได้ในพริบตา!
“ข…ข้ายอมแพ้!”
มู่หรงโจวตะโกนขึ้นอย่างน่าสมเพช เพราะหากไม่ยอมต้องโดนฆ่าเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้ทำให้ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนได้ผ่านเข้ารอบต่อไปทันที
หลินมู่อวี่กับเฟิงจี้สิงเข้ามาช่วยฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนที่ร่างเต็มไปด้วยบาดแผล ซึ่งดูเหมือนจะคลื่นไส้และเวียนหัวเอามาก ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนพยายามมองหาเจิ้งเซียงจากบนอัฒจันทร์ ทว่ากลับไม่พบผู้ใดเลย…ทุกอย่างช่างสูญเปล่าจริงๆ
“ตาแก่ฉู๋ ทำอะไรไม่รู้จักคิด อยากตายนักหรือไง…” เฟิงจี้สิงเอ่ยขึ้น
ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนหัวเราะ “องค์จักรพรรดิเคยตรัสไว้ว่าผู้ใครก็ตามที่ได้เข้ารอบสี่คนสุดท้ายจะได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสอง ตระกูลฉู๋ของข้าเป็นเพียงตระกูลธรรมดา ข้าจึงต้องการมันเพื่อเปลี่ยนฐานะตระกูล…อาเหยาจะได้ไม่ต้องโดนใครดูถูกอีก”
“งี่เง่า…” เฟิ้งจี้สิงเอ่ยขึ้นเบาๆ
หลินมู่อวี่พยุงแขนฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนพลางกล่าว “รีบไปรักษาก่อนที่ขาจะใช้การไม่ได้เถิด แผลจากหอกมู่หรงโจวสาหัสมิใช่น้อย!”
“อืม…”
ทันทีที่นั่งลงข้างลานประลอง ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนก็ถอดรองเท้าออก เผยให้เห็นแผลเขียวช้ำเลือด หลินมู่อวี่รีบนำยาออกมารักษาให้ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน
…
เพียงเท่านี้ก็ได้รายชื่อสี่คนสุดท้ายของการประลอง ได้แก่ เฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ ฉินเหลย และฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสหายพี่น้องกัน!
ไม่นานนักผู้ดูแลก็ประกาศคู่ประลองทันไปทันที
หลินมู่อวี่ ปะทะ ฉินเหลย
เฟิงจี้สิง ปะทะ ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน
ในที่สุดก็ถึงเวลาตัดสินในศึกสายสัมพันธ์!
ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนนอนบนที่นั่งเย็นเหม่อมองท้องฟ้าด้วยดวงตาพร่ามัว “งานประลองยุทธ์ปีนี้คงเป็นปีที่ดุเดือดที่สุดแล้วกระมัง…”
ฉินเหลยเอ่ยขึ้น “และยังเป็นปีที่ผู้เข้าประลองแข็งแกร่งที่สุดด้วย สี่อันดับสุดท้ายล้วนมีพลังยุทธ์อยู่ขอบเขตนภาขั้นสอง ในอาณาจักรไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาหลายร้อยปีแล้ว องค์จักรพรรดิคงกำลังมีความสุขอย่างมาก”
ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนมองเฟิงจี้สิง “น้องเฟิง ครานี้เป็นโชคดีของเจ้านะ ข้าทุ่มพลังหมดไปในการประลองรอบที่แล้ว ไม่เหลือแรงจะสู้แล้วล่ะ”
เฟิงจี้สิงตอบกลับอย่างมีความสุข “ก็หมายความว่าข้าได้เข้ารอบชิงชนะเลิศแล้วอย่างนั้นสินะ”
“ถูกต้อง”
“ฮ่าๆๆ ไว้ข้าจะพาไปเลี้ยงด้วยไวน์ที่ดีที่สุดในเมืองก็แล้วกัน!”
“ขอบใจ…”
…
กระทั่งถึงการต่อสู้ในรอบสี่คนสุดท้ายของฉินเหลยกับหลินมู่อวี่มาถึง ฉินเหลยเสียบดาบไว้บนพื้นก่อนจะเอ่ยขึ้น “ถึงตาเราเสียทีนะอาอวี่ อยากสู้สุดแรงหรือออมมือ?”
หลินมู่อวี้ยิ้มตอบ “ข้าไม่อยากสู้สุดแรง เรามาตกลงกันก่อนเถิด…”
“ย่อมได้…”
ฉินเหลยเป็นคนตรงไปตรงมา เขาแตะมือบนไหล่หลินมู่อวี่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พี่ชายคนนี้มีวิจารณญาณพอ วางใจเถิด…ข้ายอมรับผลได้เสมอ”
“ข้าก็เช่นกัน!
จากนั้นทั้งคู่ก็ก้าวเข้าสู่ลานประลอง ฉินเหลยยกกระบี่ขึ้นก่อนจะกล่าว “อาอวี่ ตัดสินกันในการโจมตีเดียวดีหรือไม่? ใช้ท่าที่แข็งแกร่งที่สุดตัดสินกันในทันที หากเราสู้กันยืดเยื้อจะยิ่งเปลืองปราณยุทธ์เสียเปล่า ทั้งยังจะทำให้เจ้าเฟิงจี้สิงได้เปรียบด้วย ข้าไม่อยากเห็นหมอนั่นได้เหรียญตรามังกรทองทั้งที่ไม่ออกแรง มิเช่นนั้นทหารจักรวรรดิคงโดนดูถูกแย่”
“ได้สิ” หลินมู่อวี่พยักหน้า “ตัดสินในคราเดียว!”
“เยี่ยม!”
ผู้ชมด้านนอกไม่รู้ว่าทั้งสองพูดคุยสิ่งใดกัน นอกจากท่าทีจริงจังที่เผยออกมา ปราณยุทธ์ทั้งคู่ถูกปล่อยออกมาอย่างรุนแรงจนรอบบริเวณเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน
“เปรี๊ยะ!”
ฉินเหลยกระชับดาบอัสนีทลายในมือจนปรากฏสายฟ้าออกมารอบตัว พลังอัสนีโดยรอบเริ่มสั่นไหวพร้อมกับโซ่เทวะระดับหกที่เริ่มก่อตัวขึ้น! ปราณยุทธ์รายล้อมถูกฉินเหลยควบแน่นและสร้างเป็นวายุอันทรงพลัง! สายฟ้าพิโรธผ่าลงมาจากท้องฟ้าที่บัดนี้ครึ้มไปด้วยเมฆหนาราวกับราตรีมาเยือน มีเพียงแสงวูบวาบของอัสนีเท่านั้นที่ส่องสว่างไปมา
“พระเจ้า…” ถังเสี่ยวซีตกตะลึง “ท่านพี่ฉินเหลยเอาจริงเลยหรือ? เขา…ไม่ได้คิดจะฆ่าอาอวี่ใช่หรือไม่?”
ฉินอินเริ่มมีท่าทีกังวล “ข้าเชื่อว่าท่านพี่ต้องเตรียการรับมือไว้แล้วเป็นแน่ อาอวี่…”
ผู้ชมทั้งอัฒจันทร์ต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น พลังของฉินเหลยนั้นทรงอานุภาพอย่างมากประหนึ่งต้องการกำจัดหลินมู่อวี่ด้วยทัณฑ์จากสวรรค์!
ตรงกันข้ามหลินมู่อวี่กลับมีท่าทีใจเย็น น้ำเต้าสีทองปรากฏขึ้นบนฝ่ามือเขาก่อนจะขยายใหญ่ขึ้นรอบตัว! หลินมู่อวี่ชูกระบี่วิญญาณมังกรขึ้นพร้อมตะโกนลั่น แสงสีทองพุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้าแหวกเมฆครึ้มที่ฉินเหลยสร้าง แสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังตัวหลินมู่อวี่! กระบี่วิญญาณมังกรลอยขึ้นและหมุนวนด้วยแรงขับเคลื่อนจากแก่นเพลิงมังกร
ไม่เพียงเท่านั้น หลินมู่อวี่กางฝ่ามือซ้ายที่ควบแน่นด้วยพลังสองประทีปก่อนจะผสานมันเข้ากับกระบี่ตรงหน้า! หลินมู่อวี่ไม่กล้าใช้สี่ประทีปเพราะมันรุนแรงเกินไป หากพลังขั้นสองนี้ไม่สามารถล้มฉินเหลยได้…แสดงว่าเขาไม่คู่ควรกับเหรียญตรามังกรทอง ถึงอย่างไรสำหรับหลินมู่อวี่แล้วชีวิตของฉินเหลยมีค่ากว่าเหรียญตรานั่นมาก
………………………………….
Related