The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 183 งูมังกรทะลวงดิน
“ก๊อกๆๆ”
มีคนเคาะประตูเรียกหลินมู่อวี่จากด้านนอกอยู่นาน “ท่านราชทูตหลินหยาน ท่านมีภารกิจพิเศษช่วงบ่าย โปรดเตรียมตัวให้พร้อมด้วยนะขอรับ!”
หลินมู่อวี่ลืมตาตื่นมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะพบว่านี่มันเวลาเที่ยงวันแล้ว เขาลุกไปล้างหน้าล้างตา
ทหารฝึกหัดหลายคนเตรียมม้าและชุดเกราะพร้อม ตั้งแต่หลินมู่อวี่ถูกแต่งตั้งเป็นราชทูตเขาได้รับสวัสดิการเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้เขาจะได้ชุดเกราะสีแดงใหม่ที่ถูกสร้างมาอย่างพิถีพิถัน ทว่ามันกลับหนักเกินไปทำให้หลินมู่อวี่นึกถึงเกราะดาวทองศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสร้างด้วยอัญมณีทะยานนภาช่วยให้น้ำหนักเบา.
หลังทานอาหารเที่ยงเสร็จหลินมู่อวี่ได้ยินเสียงปืนใหญ่เรียกรวมพลดังมาจากทางภูเขา
ราชทูตใหญ่จีหยาง ราชทูตหลี่เฉียนซุน และทหารระดับสูงมาเข้าร่วมอย่างพร้อมหน้า ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนทหารชำนาญการบนเขาทั้งหมดกว่าสองพันคนก็ถูกเรียกรวมพลด้วย ธงสำนักอัศวินผืนใหญ่โบกสะบัดบดบังดวงอาทิตย์อย่างยิ่งใหญ่
หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปหาจีหยางและทำการคำนับ “ท่านจีหยาง ไม่ทราบว่าเราจะทำสิ่งใดกันถึงต้องเรียกกำลังคนมากมายขนาดนี้ขอรับ?”
จีหยางลูบเคราอย่างอารมณ์ดี “อย่าถามให้มากความท่านหลินหยาน ตราบที่ท่านทำภารกิจสำเร็จก็จะรู้ได้เอง ข้าขอรับรองเลยว่าท่านจะได้กลายเป็นผู้บัญชาการกองพันอย่างแน่นอน!”
“ผู้บัญชาการกองพันหรือ?”
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วสงสัยทว่าไม่ได้ถามสิ่งใดต่อ ในเมื่อในสำนักอัศวินไม่เคยมีตำแหน่งนี้มาก่อน แล้วเขาจะได้เลื่อนขั้นได้อย่างไร?
กองทหารเคลื่อนพลลงจากภูเขาโดยใช้ทางอ้อมผ่านป่าล่ามังกรแทนที่จะใช้ถนนเส้นหลักเหมือนเช่นเคย จีหยางและคนอื่นๆ คุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็มาถึงที่ๆ หลินมู่อวี่ไม่รู้จัก
หลินมู่อวี่เริ่มกระวนกระวาย นึกถึงคำพูดสองคำที่ได้จากการอ่านใจจีหยางเมื่อวาน ตำหนักกวางโศกาและชางไป๋เฮ่อ…หมายความว่าอย่างไรกันแน่? ชางไป๋เฮ่อกลับที่เมืองหลวงแล้วรึ?
แล้วตำหนักกวางโศกาคือที่ใดกัน?
ใกล้จะมืดเต็มที หลินมู่อวี่จึงถอยร่นไปป้องกันปีกหลัง โดยมีทหารเหรียญเงินสองสามคนทำทีตามไปเหมือนคุ้มกัน แต่หลินมู่อวี่คิดว่าคงคอยจับตาดูเขาเสียมากกว่า
“พรึบ…พรึบ…”
หลินมู่อวี่เงยหน้าขึ้นมาพบนกสีขาวตัวหนึ่งที่กำลังกระพือปีกบินลงมาลงมาเกาะที่ไหล่ของตน ก่อนจะพบว่าเป็นเสี่ยวไป๋…นกส่งสารที่นำจดหมายจากฉู่เหยามาส่ง
หลินมู่อวี่หันมองโดยรอบ…เมื่อพบว่าทหารเหรียญเงินกำลังพูดคุยอยู่และไม่ได้สนใจตน จึงเปิดอ่านจดหมายที่ฉู่เหยาเขียนมา “อาอวี่…เจ้าอยู่ที่ใด? ทำไมถึงออกจากเมืองหลวงนานนัก? วันนี้พี่ใหญ่ออกล่าสัตว์กับองค์จักรพรรดิที่ตำหนักกวางโศกา ข้าคิดถึงเจ้ามาก! หากเจ้าได้รับสารนี้ได้โปรดแจ้งข่าวให้ข้ารู้ด้วยเถิด”
นี่มันฉู่เหยา!
หลินมู่อวี่หัวใจพองโต ทว่าเมื่อเห็นชื่อ ‘ตำหนักกวางโศกา’ เขาก็หวั่นใจลึกๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นชื่อของวังหลังแห่งหนึ่ง? หากเป็นเช่นนั้นจริง…สิ่งที่จีหยางหมายตาไว้คือวังหลังกวางโศกา!”
จีหยางต้องการปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิ!
หลินมู่อวี่หัวใจแทบหยุดเต้น เขาเข้าใจได้ในทันทีว่าเหตุใดจีหยางจึงปิดเป็นความลับและเหตุใดจึงนึกถึงชางไป๋เฮ่อ..ซึ่งแน่นอนว่าชายคนนั้นต้องเข้าร่วมกับแผนลอบสังหารนี้อย่างแน่นอน!
นี่หาใช่เรื่องล้อเล่นไม่…หากไม่มีชวีฉูคอยอารักขา องค์จักรพรรดิต้องตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่
ที่สำคัญที่สุดการล่าสัตว์ครานี้ฉินอินคงตามฉินจิ้นมาด้วย ฉะนั้นนางก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน!
แม้ว่าฉินเหลย เฟิ้งจี้สิง และคนอื่นๆ จะคอยอารักขาอยู่ก็ตาม ทว่าพวกเขายังไม่รู้ถึงแผนการของสำนักอัศวิน ต่อเมื่อถูกโจมตีลำพังปกป้องฉินอินกับตัวเองก็เต็มกลืนแล้ว ไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิฉินจิ้น…
เมื่อคิดได้ดังนั้นภายในใจหลินมู่อวี่ก็ลุกโชนด้วยไฟแค้น เขาจะมีส่วนร่วมในภารกิจนี้ไปได้ ฉะนั้นต้องหนี…ทว่าหนีอย่างไรเล่า? นอกเสียจาก…แกล้งไปเข้าห้องน้ำ!
“ข้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักเดี๋ยว” หลินมู่อวี่กล่าวพลันหมุนตัวไปอีกทาง
ทหารเหรียญเงินเอ่ยขึ้น “ให้ข้าตามไปด้วยหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่จำเป็น ข้าไม่ชอบให้ใครมาตามดู”
“เช่นนั้นข้าจะรอท่านราชทูตอยู่ตรงนี้นะขอรับ”
“ไม่ต้อง ตามกองทัพไปเถิด มิเช่นนั้นหากมีอสูรวิญญาณโผล่มาจับเจ้ากินจะหาว่าข้าไม่เตือน”
“ข้าไปก็ได้ขอรับ…”
หลินมู่อวี่ควบม้าเข้าไปในป่าลึกและดึงกระบี่เหลียวหยวนออก อาศัยแสงสะท้อนจากคมกระบี่ช่วยในการเขียนจดหมายตอบกลับให้ฉู่เหยา “ท่านพี่ฉู่เหยา…สำนักอัศวินจะทำการลอบปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิคืนนี้ที่ตำหนักกวางโศกา โปรดหาทางติดต่อท่านฉินเหลยและเฟิ้งจี้สิงโดยด่วนที่สุด…จากอาอวี่”
“ไป!…”
นกเสี่ยวไป๋บินไปยังเมืองหลันเยี่ยนตามที่หลินมู่อวี่สั่งไว้ก่อนตนจะเร่งม้าควบตามไป
ม้าศึกเริ่มหอบเหนื่อยจากการวิ่งต่อเนื่องมาหลายวันจนแทบไม่มีแรงเหลือ ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นเรื่องเร่งด่วน หลินมู่อวี่ต้องไปให้ไวที่สุด
หลายชั่วโมงผ่านไป ม้าศึกล้มลงน้ำลายฟูมปากวิ่งต่อไปไม่ได้อีก
หลินมู่อวี่กัดฟันกรอด ชักกระบี่เหลียวหยวนออกมาและใช้ฝีเท้าดาวตกที่มีความไวพอๆ กับม้าศึกเดินทางต่อ แม้จะสิ้นเปลืองปราณยุทธ์อย่างมหาศาลก็ตาม
ภายในครึ่งชั่วโมง…หลินมู่อวี่ที่ข้ามเขามาก็เห็นเมืองหลันเยี่ยนอยู่ตรงหน้า
อย่างไรก็ตามหลินมู่อวี่ไม่มีเวลามากพอจะเข้าเมืองหลวงเพื่อเรียกกำลังเสริม เขาจึงตรงไปยังรังอินทรีแทน ในหน่วยองครักษ์อินทรีมีทหารชั้นยอดอยู่หนึ่งร้อยสิบคน ทว่าตอนนี้ไม่สำคัญว่ามีเท่าใด เขาต้องการกำลังคนมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ณ ภูเขารังอินทรี มีแสงไฟริบหรี่เนื่องจากมีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังดื่มเหล้ากันอยู่ เหล่าทหารเมื่อเห็นหลินมู่อวี่ที่สวมชุดราชทูตของสำนักอัศวิน ต่างพากันหยิบอาวุธพร้อมตะโกนลั่น “นี่เจ้ากล้าย่างเท้าเข้ามาถึงรังอินทรีเชียวรึ?!”
หลินมู่อวี่ค่อยๆ ถอดผ้าคลุมหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าอันเด็ดเดี่ยว “ข้าคือทหารองครักษ์อวี้หลินนามว่าหลินมู่อวี่ เปิดทางให้ข้าเข้าไป”
“ท่านหลินมู่อวี่เองหรือ?…จะเปิดให้เดี๋ยวนี้ขอรับ!”
ประตูค่ายค่อยๆ เปิดออก เมื่อหลินมู่อวี่เข้าไปด้านใน เว่ยโฉวและทหารคนอื่นๆ ก็ออกมาต้อนรับอย่างยินดี “ในที่สุดท่านก็กลับมา!”
หลินมู่อวี่กล่าวด้วยความร้อนใจ “ไปเตรียมม้าและชุดศึกขององครักษ์อวี้หลินมาให้ข้า! เว่ยโฉว…สั่งระดมพลและพร้อมออกเดินทางทันที!”
“รับทราบขอรับ!”
เว่ยโฉวผู้จงรักภักดีไม่เอ่ยถามสิ่งใดต่อนอกจากทำตามที่นายของตนสั่งไว้
ทันใดนั้นผู้บัญชาการเมิ่งฟางก็ตะโกนขึ้นมา “หลินมู่อวี่ เจ้าไม่มีสิทธิสั่งเคลื่อนพลหน่วยองครักษ์อินทรีหากไม่ได้รับการอนุญาตเสียก่อน!”
หลินมู่อวี่เผยใบหน้าจริง “ขณะนี้มีกลุ่มคนกำลังมุ่งไปยังตำหนักกวางโศกาเพื่อปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิ! ข้าจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นอาจไม่ทันการ!”
เมิ่งฟางตกตะลึง “เจ้า…หมายความว่าอย่างไร?”
หลินมู่อวี่กำมือแน่น “หากพวกเจ้าอยากปกป้ององค์จักรพรรดิจงตามข้ามา!”
ในบรรดากลุ่มผู้บัญชาการทหารมีเพียงเซี้ยโหวซางที่ชูดาบขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านหลินมู่อวี่…ข้าเซี้ยโหวซางขอติดตามท่านไปด้วยขอรับ!”
“เยี่ยมมาก!”
เมื่อเปลี่ยนเป็นชุดเกราะขององครักษ์อวี้หลินแล้ว หลินมู่อวี่จึงได้รวบรวมกองทหารได้กว่าร้อยคน ก่อนจะขึ้นควบม้าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เว่ยโฉว…นำทัพตรงไปยังตำหนักกวางโศกา!”
“ขอรับ!”
เสียงกีบเท้าของกองทัพม้ากระทบพื้นทำลายความสงัดยามค่ำคืน ทหารองครักษ์อวี้หลินกว่าร้อยนายมุ่งขึ้นเขาไปยังตำหนักกวางโศกาทางตอนเหนือของเมือง
ณ ตำหนักกวางโศกา วังหลังที่อยู่ติดกับป่าล่ามังกรที่องค์จักรพรรดิชอบไปล่าสัตว์ เหมือนเช่นเคยเขาพาฉินอินและเสนาบดีไปด้วยสองสามคน กลางโถงใหญ่ขณะนี้ยังคงมีแสงไฟสว่าง เนื่องจากองค์จักรพรรดิและเหล่าเสนาบดีกำลังสังสรรค์กันอยู่
ด้านนอกวัง เฟิ้งจี้สิงยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ในชุดศึกสีขาว ในมือถือดาบสะบั้นวาโยขณะพูดคุยกับหลัวเลี่ย “กะกลางคืนได้ลาดตระเวนบ้างหรือไม่?”
หลัวเลี่ยประสานกำปั้นคำนับ “วางใจได้ขอรับ! เรามีองครักษ์อวี้หลินหลายพันนายและทหารอีกสี่พันนายประจำการอยู่ทั้งสี่ทิศและค่ายหน้าด่านอีกสิบสองค่าย ต่อให้มีปีกก็บุกเข้ามาไม่ได้ขอรับ ทั้งยังมีท่านผู้บัญชาการฉินเหลยที่เป็นถึงผู้นำองครักษ์มังกรทำการอารักขาทั้งสองพระองค์อยู่ ฉะนั้นพักผ่อนเถิดขอรับ ขึ้นนี้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแน่นอน”
“อืม…ทำได้ดีมาก”
ทว่าเฟิ้งจี้สิงยังคงไม่สบายใจ “ข้ารู้สึกว่าเราขาดใครไป…ท่านชวีฉูกลับมาหรือยัง?”
หลัวเลี่ยยิ้มจางๆ “ท่านชวีฉูกำลังเพลิดเพลินกับสมุนไพรบนภูเขาทมิฬอยู่ คงไม่กลับจนกว่าจะเก็บสมุนไพรได้หมดขอรับ ทว่าการป้องกันตำหนักกวางโศกาก็แน่นหนามาก ต่อให้ท่านชวีฉูกลับช้าก็คงไม่เป็นปัญหาขอรับ”
เฟิ้งจี้สิงนิ่งคิด “ไม่เป็นไร…พวกเจ้าคอยจับตาดูกันไว้อย่าให้คลาดสายตาเป็นอันขาด”
“ขอรับ!”
กลางดึก ณ ป่าล่ามังกร เกิดเสียงคล้ายฟ้าร้องใต้ผืนดิน “ตู้ม!” ทันใดนั้นก็มีงูยักษ์โผล่ออกมา! บนหัวมีเกล็ดคล้ายใบมีดคมนี่มัน…งูมังกรทะลวงดิน! เส้นสีทองสิบสองเส้นและสีเงินสามเส้นแสดงว่าอายุหนึ่งหมื่นสองพันสามร้อยปี ไม่แน่ว่าคงใกล้เป็นมังกรเต็มตัวในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
เกล็ดส่วนหนึ่งบริเวณลำคอแยกออกคล้ายมีบางอย่างติดอยู่บนนั้น เมื่อเพ่งมองจึงเห็นว่าเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ขาทั้งสองเสียบติดอยู่กับเนื้องู ผู้เฒ่าผมขาวท่าทีหยิ่งผยองเอ่ยขึ้นพร้อมกับใช้ไม้เท้าในมือสะกิดต้นคอของงูมังกร “เจ้าสัตว์เลี้ยง เดินหน้าต่อไปอย่าได้หยุด เราจะสังหารเจ้าราชาไร้ประโยชน์นั่นได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”
“ฟ่อ…”
งูมังกรเงยหน้าขึ้นและส่งเสียงขู่ฟ่ออย่างเคียดแค้น
ภายใต้แสงจันทร์ผมของผู้เฒ่าปลิวไสวไปตามสายลม ชายคนนั้นคือ…ชางไป๋เฮ่อ!
“ไปได้!”
งูมังกรเงยหน้าขึ้นและดำลงพื้นอีกครั้ง เกล็ดบนหัวของมันทำหน้าที่คล้ายใบมีดหมุนและเจาะทะลวงพื้นหิน ชางไป๋เฮ่อก้มตัวลงขนานไปกับลำตัวของงูมังกรเหมือนเกล็ดงู เขากลั้นหายใจขณะที่งูมังกรดำดินลงไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชางไป๋เฮ่อเดินทางไปกับงูมังกรได้และไม่โดนหินทับจนตายอีกด้วย
กลางดึกเสื้อคลุมยาวขององครักษ์ชุดขาวปลิวตามลม ฉินเหลยจิบเหล้าจากโหลน้ำเต้าในมือ ร่างกายอันร้อนรุ่มตะโกนขึ้น “เพิ่มการอารักขา!”
อีกด้าน…ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนกระชับดาบในมือและเงี่ยหูฟังก่อนจะเอ่ยถาม “ท่านแม่ทัพ…ได้ยินเสียงบางอย่างหรือไม่?”
“เสียงอะไรรึ?” ฉินเหลยประหลาดใจ
“ราวกับว่า…เสียงมาจากใต้ดิน…” แววตาของฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนเปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อรู้ที่มาของเสียง “มันดังมาจากใต้ดินจริงๆ ขอรับ! มีบางอย่างกำลังมา! ระวัง!”
…………………………