The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 164 ขวานผ่าสิงขร
EP.164 ขวานผ่าสิงขร
เช้าวันถัดมาหลินมู่อวี่ตื่นขึ้นพร้อมกับตั้งสมาธิปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณออกไปเช่นเคย มีหลากหลายเสียงเข้ามาในโสตประสาท เสียงใบไม้ลู่ตามลมหนาว เสียงม้าร้อง รวมไปถึงเสียงพูดคุยกันของฉู๋หว๋ายเหมี่ยนกับองครักษ์มังกร บ้างหัวเราะบ้างกระซิบกระซาบกัน ทว่าไม่มีเสียงไหนจะรอดพ้นการตรวจจับของหลินมู่อวี่ไปได้
หลินมู่อวี่รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาในการฟังทุกเสียงพร้อมกันในตอนนี้
หลินมู่อวี่ลุกขึ้นเรียกฌานสัมผัสของตนกลับมา การแอบฟังคนอื่นพูดคุยกันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรยิ่ง เว้นเสียแต่ว่าจะถึงเวลาจำเป็นเท่านั้น
เว่ยโฉวเข้ามาต้อนรับทันทีที่หลินมู่อวี่ออกจากห้อง “ตื่นแล้วหรือขอรับท่านแม่ทัพ?”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้าบอก รู้สึกว่าเว่ยโฉวจะกลายเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเขาไปเสียแล้ว เมื่อหลินมู่อวี่เงยหน้ามองดวงอาทิตย์…นี่มันจวนจะบ่ายแล้วและยังไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องเขาเลยแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ทัพ เมื่อเช้านายหญิงจินเสี่ยวแห่งร้านค้าจักรวรรดิส่งคนมารับท่านไปงานประมูล และตอนนี้จวนจะบ่ายเต็มที ท่านควรรีบไปร่วมงานจะดีกว่านะขอรับ”
“อืม…เดี๋ยวข้าไป”
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ หลินมู่อวี่เตรียมควบม้าไปร้านค้าแห่งจักรวรรดิ เขาเสียบกระบี่เหลียวหยวนไว้กับกระเป๋าสะพายหลัง และทวนหลีฮวาไว้ในเสื้อคลุมดำ เขาอาจถูกซุ่มโจมตีได้ทุกเมื่อจึงต้องเตรียมตัวไว้ก่อน ซึ่งสองคนที่สังหารเขาได้ทุกเมื่อคือเจิ้งอี้ฝานและชางไป๋เฮ่อ
ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนรีบนำกององครักษ์อวี้หลินมุ่งสู่ร้านค้าแห่งจักรวรรดิในเมืองหลันเยี่ยนตามหลินมู่อวี่ไป ด้วยเหตุนี้ทหารบางคนจึงต้องกินข้าวบนหลังม้าไปพลาง
สภาพอากาศช่วงบ่ายที่ร้อนอยู่แล้วยิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีกเมื่อเข้าสู่เมืองหลันเยี่ยน ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนมองกลุ่มคนที่ผ่านไปมาก่อนจะตามหลินมู่อวี่ไป เขาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “อาอวี่…ครานี้เจ้าหลอมอาวุธได้หลายชิ้น คงได้เงินไม่น้อยใช่หรือไม่?”
หลินมู่อวี่ลูบจมูก “คงมากโขขอรับ…สำหรับข้าความมั่งคั่งก็คือทรัพย์สินอย่างหนึ่ง ข้าจึงไม่ได้ใส่ใจนัก”
“แล้วเจ้าคิดจะเอาเงินที่ได้ไปใช้ทำสิ่งใด?” ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนถาม
หลินมู่อวี่นิ่งเงียบและลังเลไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้ายังไม่ได้คิดเลยขอรับ ท่านมีสิ่งใดแนะนำหรือไม่?
ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนยิ้ม “คงไม่มีสิ่งใดแนะนำเจ้าได้ เพราะข้าไม่เคยมีเงินทองมากเท่านี้…จึงไม่รู้ว่าควรจะใช้มันทำสิ่งใดถึงจะดี”
“เช่นนั้นสิขอรับ…”
ไม่นานพวกหลินมู่อวี่ก็มาถึงร้านค้าแห่งจักรวรรดิ มีรถม้าสวยงามหรูหราหลายคันที่บรรทุกพวกชนชั้นสูงจอดอยู่เต็มหน้าร้าน หลินมู่อวี่สังเกตเห็นดอกหยินสีม่วงที่เป็นสัญลักษณ์ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงปักบนผ้าม่านรถม้า หมายความว่าในกลุ่มนี้มีเจ้าหน้าที่อย่างน้อยระดับสามมาที่งานประมูลด้วย
หลินมู่อวี่พาองครักษ์อวี้หลินสิบคนเข้าไปในงานด้วย จินเสี่ยวถังเข้ามาทักทายและนำทางทั้งหมดลงไปชั้นล่างของร้านค้าแห่งจักรวรรดิ กระทั่งมาถึงห้องกว้างที่มีทหารรับจ้างหลายคนยืนอารักขาอยู่ เมื่อเห็นชุดเกราะของหลินมู่อวี่ ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนและทหารองครักษ์ที่ตามมาต่างพากันประหลาดใจ เพราะคนเหล่านี้เป็นทหารที่ภาคภูมิใจของเมืองหลวง ความแข็งแกร่งอันเป็นที่เลื่องลือมิจำเป็นต้องอาศัยคนคุ้มกันเช่นพวกเขา
“พรึบ!…”
จินเสี่ยวถังเปิดม่านทั้งสามผืนตรงทางเข้าออก เผยให้เห็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คน “ห้องแขกวีไอพีของร้านค้าแห่งจักรวรรดิ พวกท่านจะเห็นทุกอย่างได้จากห้องนี้ ส่วนทางนี้เป็นที่นั่งของท่านพี่อาอวี่เจ้าค่ะ เสี่ยวถังจะอยู่ที่นี่คอยดูการประมูลไปด้วย”
“อืม…ขอบใจมากคุณหนูเสี่ยวถัง”
“ท่านไม่ต้องรักษามารยาทกับข้าก็ได้ เราต่างก็เป็นสหายมิใช่หรือ?” จินเสี่ยวถังใช้มือป้องปากขณะพูดและยิ้ม สาวน้อยผู้นี้ชอบหว่านเสน่ห์ใส่ผู้คนไปทั่ว แต่หลินมู่อวี่ที่มาจากตระกูลนักธุรกิจ เขารู้ว่านี่เป็นวิธีตีสนิทเพื่อหวังผลประโยชน์ เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าและยิ้มอย่างเจียมตัว
ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนและองครักษ์มังกรเข้าประจำตำแหน่งที่หน้าต่างแต่ละบาน และคอยจับตาดูโรงประมูลไว้
ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนขมวดคิ้วทันใดเมื่อเห็นชายคนหนึ่ง “นั่น…คุณชายหลิงเฟิง บุตรชายนายพลหลิงหนานเทียนแห่งจวนเจิ้นกั๋วมิใช่หรือ? น่าแปลก…เหตุใดถึงมางานประมูลได้ ทั้งที่เขาไม่เคยออกจากสำนักฝึกพลังยุทธ์เลยตลอดหลายปีมานี้”
จินเสี่ยวถังหัวเราะ “เท่านี้ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าอาวุธพวกนี้มีค่าเพียงใด”
ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนพยักหน้า “อาอวี่ของเราช่างไม่ธรรมดาจริงๆ”
องครักษ์มังกรคนหนึ่งหรี่ตาและเอ่ยขึ้น “ท่านฉู๋มีคนมาใหม่ขอรับ…”
ตรงทางเข้า มีกลุ่มทหารสวมเกราะคอยคุ้มกันคนคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามา เป็นชายหนุ่มรูปงามแต่ดูหยิ่งผยอง คงไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมจากตระกูลทั่วไปเป็นแน่
“ชายคนนั้นคืออวี่เหวินเหลี่ยน” ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนกล่าว
“อวี่เหวินเหลี่ยน?” หลินมู่อวี่ไม่เข้าใจในท่าทีของฉู๋หว๋ายเหมี่ยน “เขาเป็นใครงั้นหรือ?”
“เขาเป็นบุตรชายของอวี่เหวินเซี่ยแห่งจวนฮู่กั๋ว ได้ข่าวว่าเพิ่งบรรลุถึงขอบเขตนภาไม่นานมานี้”
“ไม่ธรรมดาเลยขอรับ…”
หลินมู่อวี่ยิ้ม เขาไม่ได้สนใจว่าคนพวกนี้แข็งแกร่งเพียงใด เขาเพียงอยากรู้ว่าคนพวกนี้จะชอบอาวุธที่เขาหลอมหรือไม่ และในสายตาของหลินมู่อวี่…อวี่เหวินกับหลิงเฟิงเป็นเพียงคนที่จะนำเงินมาให้เขาเท่านั้น ไม่นานร้านค้าแห่งจักรวรรดิก็ถูกเติมเต็มด้วย with crouching tigers and hidden dragons รวมไปถึงเฟิ้งจี้สิง ฉินเหลย และทหารหนุ่มทั้งหลาย ทว่า
ฝูงชนทยอยเข้ามาโรงประมูลอย่างไม่ลดละ เวลาเริ่มประมูลในช่วงบ่ายใกล้เข้ามาทุกที
เมื่อถึงเวลา จินเสี่ยวถังลุกขึ้นวาดมือเป็นวงกลม ผู้จัดการโรงประมูลพยักหน้าและหันไปสั่งการลูกน้อง
“ผ่าง…ผ่าง…ผ่าง…”
เสียงฆ้องใหญ่ดังกระหึ่ม ทุกคนในโรงประมูลพากันเงียบ เด็กสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเดินถือม้วนกระดาษขึ้นไปบนเวที เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส “ก่อนอื่นข้าขอยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่านสู่ร้านค้าแห่งจักรวรรดิ ข้าชื่อปานจือยี่ หนึ่งในผู้จัดการโรงประมูลแห่งนี้ นายหญิงจินเสี่ยวถังไม่ค่อยสบายนัก วันนี้ข้าจึงขึ้นมารับหน้าที่ผู้ดำเนินการประมูลเจ้าค่ะ!”
หลินมู่อวี่หรี่ตามองไปยังเวที พานจื่ออีที่สวมชุดกระโปรงยาวสีม่วงดูงดงามไม่น้อย หากเทียบกับฉินอินและถังเสี่ยวซีที่ได้คะแนนเต็มสิบ สาวน้อยคนนี้คงอยู่ระดับแปด ทว่าบนถนนทงเทียนเธอสวยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นชื่อแซ่เองก็ไพเราะไม่แพ้กัน
พานจื่ออีบนเวทีเริ่มต้นแนะนำของประมูลช่วงบ่าย และกล่าวด้วยท่าทีสง่างามราวสายลมใบไม้ผลิ “ข้าขอประเดิมด้วยของชิ้นแรก!”
ชายร่างใหญ่เดินแบกขวานศึกสีดำทมิฬขึ้นมาบนเวที พานจื่ออีหมายเดินเข้าไปรับขวาน ทว่าไม่สามารถยกมันขึ้นได้แม้จะใช้สองมือ ขวานศึกร่วงสู่พื้นเวทีก่อให้เกิดรอยแยกมหึมาขึ้น
พานจื่ออีเม้มปากด้วยสีหน้าเขินอายก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าๆ…ดูเหมือนข้าจะไม่มีแรงพอที่จะยกขวาน เช่นนั้นขอแนะนำเลยแล้วกัน…นี่คือขวานผ่าสิงขร! ยาวหนึ่งเมตรสองเซนติเมตร หนักเจ็ดสิบแปดกิโลกรัม อาวุธวิญญาณระดับสาม เริ่มต้นด้วยราคาห้าร้อยเหรียญทอง เริ่มประมูลได้!”
หลินมู่อวี่มองจินเสี่ยวถังด้วยความสงสัย นางหัวเราะก่อนตอบเขา “ท่านพี่อาอวี่ การประมูลนี้ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง ด้วยเหตุนี้ข้าต้องนำของธรรมดาออกมาขายก่อนของมีค่า จึงได้เริ่มด้วยอาวุธวิญญาณอย่างไรเล่า นี่เป็นกลยุทธ์ในการค้าขายของข้าเจ้าค่ะ ท่านพี่โปรดเข้าใจ”
“อืม…เป็นเช่นนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว” หลินมู่อวี่หัวเราะแล้วหันไปสนใจการประมูลต่อ
ของที่นำมาประมูลชิ้นแรกเป็นอาวุธวิญญาณ ทำให้เหล่าผู้ร่วมงานโห่ร้องอย่างผิดหวัง
หลินมู่อวี่แผ่ทักษะชีพจรวิญญาณออก ได้ยินเสียงคุณชายหลิงเฟิงแห่งเจิ้นกั๋วหัวเราะเบาๆ “หึ…นางกล้านำอาวุธระดับสามมาหลอกคนดูงั้นหรือ ดูเหมือนจินเสี่ยวถังคงไม่มีของดีอย่างที่ป่าวประกาศไว้ ช่างน่าผิดหวังเสียจริง”
ไม่เกินจากที่คาดไว้ ขวานผ่าสิงขรที่เป็นเพียงอาวุธระดับวิญญาณทำราคาได้ไม่สูงนัก ท้ายที่สุดก็ถูกในราคาสองพันสี่ร้อยเหรียญทอง ผู้บัญชาการทหารคนหนึ่งเป็นคนที่ปิดการประมูลได้ออกมารับขวาน จากสัญลักษณ์ตรงหัวไหล่ เขาเป็นสมาชิกของกองทหารเสินเวย
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว “สองพันสี่ร้อยเหรียญทองเป็นเงินมากทีเดียว ทหารเสินเวยมีเงินมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ?”
ฉู๋หว๋ายเหมี่ยนมองที่ชายคนนั้น “ทหารเสินเวยเป็นกองกำลังส่วนตัวของเจิ้งอี้ฝานที่ไม่รับภารกิจใดๆ เจ้าพวกนั้นมักไปเป็นทหารรับจ้างที่ทำเงินจากการสังหารผู้คนและปล้นสะดมเป็นส่วนใหญ่ ที่น่าขันคือเจิ้งอี้ฝานไม่เคยจัดการทหารตนเอง ทว่าหันไปเล่นงานซ่งฮั่นหยวนจากอวี้หลินเพราะเรื่องดินที่ไม่กี่ไร่ ช่างน่าโมโหนัก!”
“อืม…” หลินมู่อวี่พึมพำด้วยสายตาที่เย็นชา
กระทั่งตอนนี้ฉินเหลยเองยังคงขุ่นแค้นกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ ผู้ที่เป็นถึงบุตรชายขององค์รัชทายาท ผู้นำขององครักษ์อวี้หลิน ทั้งยังเป็นหนึ่งในหกองครักษ์ชุดขาว ต้องทนแบกรับความอัปยศที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น.
อาวุธระดับวิญญาณเก้าชิ้นถูกขายออกอย่างรวดเร็ว ชิ้นที่แพงที่สุดคือหอกที่หลินมู่อวี่เป็นคนหลอม หอกแก้ววิศุทธิ์ทั้งสองขายได้ราคาแปดพันเจ็ดร้อยเหรียญทอง ทำให้หลินมู่อวี่มั่นใจว่าอาวุธนิลและอาวุธศักดิ์สิทธิ์ต้องได้ราคาสูงกว่าเป็นแน่ ซึ่งคำนวณดูแล้วคงได้กำไรไม่น้อย
ทันใดนั้น คนที่มีสัญลักษณ์ระดับผู้บัญชาการกองทหารจักรวรรดิด้านล่างเวทีตะโกนขึ้น “นางหนูพานจื่ออี! เจ้าบอกว่ามีการประมูลอาวุธนิล แล้วเหตุใดเจ้าเอาแต่ขายอาวุธวิญญาณอยู่ได้เล่า! หากยังไม่เอาอาวุธระดับนิลออกมา ข้าจะสังหารเจ้าแล้วถลกเสื้อผ้าเจ้าให้อับอายเสีย!”
ใบหน้าของพานจื่ออียังคงนิ่งเฉยขณะเดินไปโค้งคำนับนายพลจากบนเวที “อย่าได้โกรธเกรี้ยวไปเจ้าค่ะ หากท่านรอไม่ได้ เช่นนั้น…ของประมูลชิ้นถัดไปคืออาวุธระดับนิล! เริ่มจากดาบวายุคลั่ง! อาวุธนิลระดับเจ็ด หนักแปดสิบสองปอนด์ มีคมดาบที่ตัดได้แม้กระทั่งเส้นผม!” ชายร่างใหญ่แบกกระบี่วายุครั่งออกมาจากด้านหลัง แสงระยิบระยับจากเศษกระดูกฉายออกมาพร้อมกับรอยแปลวไฟบนคมดาบ แสดงให้เห็นว่าเป็นดาบที่หลอมด้วยวิญญาณ!