The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ 152 เผชิญหน้ากับฝูงหมาป่าอย่างกล้าหาญ
EP.152 เผชิญหน้ากับฝูงหมาป่าอย่างกล้าหาญ
วันที่สิบเอ็ดของการเข้าป่าล่ามังกร กองทหารของหลินมู่อวี่ได้มาถึงหุบเขาหินลับแลแล้ว
หิมะยังคงตกอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“ผั่บๆ…”
หลินมู่อวี่ปัดหิมะออกจากไหล่และกระตุกบังเหียนเพื่อให้ม้าศึกวิ่งเร็วขึ้น เว่ยโฉวควบม้าตามมาด้านข้างพร้อมกล่าวว่า “ท่านหลินมู่อวี่ จากนี้เราต้องระวังตัวให้มากขึ้นนะขอรับ หิมะปกคลุมทุกสิ่งบนภูเขาลูกนี้ อาจรวมไปถึงสัตว์ศิลาวิญญาณบรรพตด้วย ดังนั้นเราอาจปะทะกับมันโดยบังเอิญได้ขอรับ”
“อืม!”
หลินมู่อวี่ไม่ได้กังวลมากนัก เพราะเขามีทักษะชีพจรวิญญาณซึ่งทำให้ตรวจจับพลังงานผันผวนในระยะสามลี้ได้ มันเป็นทักษะพิเศษที่แม้แต่ผู้ชำนาญการขอบเขตปราชญ์ก็ไม่สามารถเทียบชั้น
ทันใดนั้นหลินมู่อวี่ก็หันไปทางทิศเหนือแล้วพูดขึ้นว่า “ระวัง มีสัตว์ร้ายอยู่ทางนั้น!”
“ขอรับ!”
ทหารทุกนายเต็มไปด้วยความหวาดระแวง เมื่อพวกเขาเคลื่อนทัพผ่านเนินเขาก็พลันเห็นร่างใหญ่ยักษ์ที่บริเวณตีนเขา มันมีความสูงราวห้าเมตร ร่างกายไม่ไหวติง และผิวหนังของมันแทบจะกลืนไปกับชั้นหินรอบตัว
“นั่นมันสัตว์วิญญาณบรรพต!”
เว่ยโฉวกระซิบ “มันคือสัตว์วิญญาณบรรพตอายุสี่พันแปดร้อยปี ดูเหมือนว่ามันกำลังจำศีลอยู่…เราควรสังหารมันเลยไหมขอรับ? คงเป็นการง่ายที่จะกระทำตอนนี้ ถือเป็นโชคดีเหลือเกินที่เจอสัตว์วิญญาณระดับสูงขณะที่มันกำลังจำศีล”
“อย่าเลย”
หลินมู่อวี่ส่ายหัวก่อนกล่าวว่า “สัตว์วิญญาณเป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกัน เราจะไม่ฆ่ามันหากไม่จำเป็น ฉะนั้นค้นหาต่อเถิด…เราจะไล่ล่าสัตว์วิญญาณอายุกว่าห้าพันปีขึ้นไปเท่านั้น”
“ขอรับท่านแม่ทัพ!”
แววตาที่เหล่าองครักษ์รักษาพระองค์มองไปยังหลินมู่อวี่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธา มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่ได้รับความเคารพในดินแดนซุ่ยติง พวกเขาเชื่อว่า…ชะตากรรมของผู้ที่อ่อนแอมักถูกมองข้ามเสมอ หลินมู่อวี่เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่กองทหาร ทว่ากลับมีจิตใจที่โอบอ้อมอารี เหล่าทหารไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะท่านผู้นำที่มีความแข็งแกร่งอย่างหลินมู่อวี่…
…
กองทหารของหลินมู่อวี่เดินทางจนถึงเวลาบ่าย ผ่านหุบเขาศิลาลับแลมาได้ครึ่งทางแล้ว พวกเขาพบสัตว์วิญญาณมากกว่าสิบตัว ทว่ากลับไม่พบสัตว์วิญญาณบรรพตที่มีอายุมากกว่าห้าพันปีเลย
หลินมู่อวี่มิได้กังวลแต่อย่างใด ขณะที่นั่งบนหลังม้าเขาฝึกฝนทักษะหลอมกระดูกมังกรนั่นก็เพราะไม่ยอมเสียเวลาเปล่า
ทันใดนั้น! ฌานสัมผัสของหลินมู่อวี่ก็ตรวจจับบางอย่างได้
เขาเงยหน้าขึ้นทันทีพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สิ่งที่เราค้นหา…กำลังมุ่งหน้ามาหาถึงที่แล้ว!”
“ว่าอย่างไรนะขอรับ?” เว่ยโฉวและทหารคนอื่นๆ ตกตะลึง
“แปรทัพตั้งรับเดี๋ยวนี้!” หลินมู่อวี่คำรามเสียงทุ้ม
ทหารทุกนายรีบลงจากหลังม้าและต้อนพวกมันไว้ตรงกลาง องครักษ์รักษาพระองค์แปรทัพเป็นรูปวงกลมก่อนจะหันโล่ออกด้านนอก ภายในเวลาไม่ถึงสองนาทีพวกเขาพลันได้ยินเสียงหมาป่าหอนมาแต่ไกล หมาป่าขนสีเทากว่ายี่สิบตัววิ่งตรงเข้าหากองทัพ…ช่างเป็นภาพที่ดูสง่างามเมื่อมองจากระยะนี้
เว่ยโฉวหรี่ตาลงพร้อมกล่าวว่า “นั่นมันหมาป่าศิลามลทิน…อย่างน้อยๆ คงยี่สิบกว่าตัว! โชคชะตานำพา! หมาป่าศิลามลทินไม่เพียงแต่รวดเร็วเท่านั้น แต่ขนของมันยังแข็งแกร่งมากด้วย จึงทำให้รับมือยากยิ่งกว่าหมาป่าวาโย ระ…เราต้องเผชิญหน้ากับพวกมันจำนวนมากถึงเพียงนี้ นี่มันอันตรายเกินไปแล้วขอรับ!”
หลินมู่อวี่ออกคำสั่ง “แปรทัพเป็นรูปวงกลม ข้าจะออกไปจัดการพวกมันเอง ส่วนพวกเจ้าคอยตั้งรับอยู่ตรงนี้ เข้าใจไหม?”
“ขอรับ!”
หลินมู่อวี่ชักกระบี่แล้วเดินออกจากแนวป้องกันอย่างห้าวหาญ เขาเรียกกำแพงน้ำเต้า กระดองเต่าทมิฬ และปราการเกล็ดมังกรออกมา ทันใดฝูงหมาป่าก็รุดหน้ามาใกล้…ทุกคนพลันสังเกตเห็นเส้นสีทองและสีเงินที่แสดงถึงความแข็งแกร่งบนหน้าผากของพวกมัน หมาป่าตัวที่มีขนาดใหญ่สุดในฝูงมีเส้นสีทองห้าเส้นและสีเงินสองเส้นซึ่งบ่งบอกได้ว่ามันมีอายุถึงห้าพันสองร้อยปีแล้ว! และนั่นก็หมายความว่า…พวกเขาได้พบกับศิลาวิญญาณบรรพตที่ต้องการแล้ว!
ทว่าแย่หน่อยที่หมาป่าตนนั้นเป็นถึงราชาที่มีบริวารติดตามมาด้วย หากกองทัพของหลินมู่อวี่ประมาทแม้เพียงน้อยนิด…พวกเขาอาจจะเปลี่ยนเป็นผู้ถูกล่าแทน
เว่ยโฉวกำกระบี่ไว้แน่นพร้อมตะโกนเสียงดัง “ท่านหลินมู่ระวังตัวด้วยขอรับ! มันเป็นถึงราชาหมาป่าอายุห้าพันสองร้อยปี มีบริวารอายุสามพันเก้าร้อยปีด้วย และบริวารตัวอื่นๆ ล้วนแล้วมีอายุราวสามพันปีทั้งนั้น ฉะนั้นโปรดระวังด้วยขอรับ!”
“อือ!”
หลินมู่อวี่ตะโกนขึ้น “ข้าจะกันพวกมันไว้ พวกเจ้ายิงธนูโดยเล็งไปที่พวกอายุน้อยก่อนและระวังหมาป่าพวกที่ชอบวิ่งพุ่งเข้าใส่ด้วย! ปกป้องม้าศึกอย่าให้พวกมันได้รับบาดเจ็บ”
“ขอรับ!”
ขณะที่หลินมู่อวี่กำลังพูด…ราชาหมาป่าก็เข้าประชิดตัวในทันใด พริบตาเดียวเขาพลันม้วนตัวหลบแล้วปล่อยพลังเข้าใส่ราชาหมาป่า!
‘เปรี้ยง!’
กระบี่เหลียวหยวนทะลวงเข้าใส่พลังงานวิญญาณกลางลำตัวของราชาหมาป่า การโจมตีแตกกระจายออกเป็นสาย มันไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นสัตว์ร้ายพลันแว้งตะปบลงบนกำแพงน้ำเต้า ‘เปรี้ยง!’ กำแพงเต่าทมิฬเกิดรอยร้าวในพริบตา สัตว์วิญญาณอายุกว่าห้าพันปีตัวนี้ช่างแข็งแกร่งอย่างที่สัตว์วิญญาณตัวอื่นที่อายุน้อยกว่าไม่อาจเทียบเลย…
‘สวบ สวบ…’
เมื่อหลินมู่อวี่ก้าวพ้นพื้นหิมะพลันใช้กระบวนท่าผีเสื้อทันที เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนสามารถหลบหลีกการโจมตีของราชาหมาป่าได้…ทันใดนั้น! หลินมู่อวี่ปล่อยหมัดที่ถูกปกคลุมด้วยพลังงานสีแดงเลือดออกไป ซึ่งกระแทกเข้าใส่บริวารหมาป่าอายุสามพันเก้าร้อยปีตัวนั้น!
หนึ่งประทีปพิฆาตชีวัน!
หลินมู่อวี่เหวี่ยงหมัดไปที่พลังวิญญาณของสัตว์ร้ายอย่างแรงจนทำให้มันซี่โครงหัก ‘โฮก!’ หมาป่าตัวนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสจากพลังหนึ่งประทีป มันนอนจมกองหิมะและกระเสือกกระสนจะลุกขึ้น ทว่าก็ไม่สามารถทำได้ แผนของหลินมู่อวี่คือการเบี่ยงเบนความสนใจของราชาหมาป่า จากนั้นเขาก็มุ่งเป้าไปจัดการบริวารหมาป่าตัวอื่นอย่างรวดเร็ว และทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย
ราชาหมาป่าส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ทันใดนั้นมันก็พุ่งเข้าใส่หลินมู่อวี่อีกครั้งพร้อมทั้งบริวารอายุสองพันปีอีกสามตัว
หลินมู่อวี่กำดาบไว้แน่นพร้อมเรียกกำแพงน้ำเต้าขึ้นมาเพื่อป้องกันตัว จากนั้นลูกธนูพุ่งผ่านเหนือศีรษะเขาไป ‘ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ’ สัตว์ร้ายทยอยทรุดตัวลงกับพื้น ทว่ายังคงมีอีกหลายตัวที่สามารถทลายกำแพงเข้ามาฝังเขี้ยวลงบนชุดเกราะ และตอนนั้นจะต้องเกิดเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นเป็นแน่
‘ฉัวะ!’
ดาบเล่มยาวตวัดเฉือนขาคู่หน้าของหมาป่าอายุสองพันหนึ่งร้อยปีจนขาดสะบั้น ทว่ากำแพงเต่าทมิฬก็ถูกทำลายจนเหลือเพียงปราการเกล็ดมังกร ทันใดนั้นราชาหมาป่าก็จู่โจมเข้าใส่อย่างดุเดือดด้วยกรงเล็บและใช้เขี้ยวแหลมขย้ำลงบนปราการเกล็ดมังกร! พริบตาเดียวปราการเกล็ดมังกรก็พังทลายลง…
ขณะเดียวกันหลินมู่อวี่กำลังจัดการกับหมาป่าศิลามลทินอีกสามตัว เมื่อหันกลับไปเขาได้ปะทะกับกลิ่นสาบรุนแรง กรงเล็บราชาหมาป่าฟาดลงบนหน้าอกหลินมู่อวี่อย่างจังจนเขาล้มกระแทกลงบนพื้น
“แย่แล้ว!”
หลินมู่อวี่ตกตะลึงก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โอสถผิวศิลายังคงแสดงผล เขาหวังว่าจะพึ่งพามันได้!
‘ฟู่!’
เลือดยังไหลทะลักออกมา…หลินมู่อวี่ประเมินฤทธิ์ของโอสถสูงเกินไป! เขี้ยวสัตว์ร้ายฝังเข้าไปที่มือเขาอย่างรวดเร็ว ความปวดร้าวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งมือ
ทันใดนั้นใจของหลินมู่อวี่ก็ร้อนผ่าวเต็มไปด้วยความโกรธ…เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้กล้าอวดดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
มือขวาหลินมู่อวี่พลันปลดปล่อยไอเย็นยะเยือกออกมา พริบตาเดียวทั้งกำปั้นก็ปกคลุมไปด้วยภาพมายาของเหล่าสรรพสัตว์ กำปั้นนั้นพุ่งเข้าต่อยที่ลำคอของราชาหมาป่า!
สามประทีปทรกรรมชีวี!
‘เปรี้ยง!’ ราชาหมาป่าถูกซัดกระเด็น พลังสามประทีปปะทะเข้าที่ส่วนหัวอย่างเต็มแรงจนกะโหลกแตก ทว่ามันยังคงยืนหยัดและตั้งท่าพร้อมจะสู้ต่อ
หลินมู่อวี่ไม่ปล่อยให้สัตว์ร้ายได้มีโอกาส…เขาพลันปล่อยหมัดที่ชุ่มไปด้วยเลือดเข้าใส่มันอีกครั้ง!
หนึ่งประทีปพิฆาตชีวัน!
“เปรี้ยง!”
ด้วยการโจมตีอย่างหนักหน่วง ในที่สุดราชาหมาป่าก็ยอมล่าถอยพร้อมส่งเสียงโอดครวญ
ทว่าหลินมู่อวี่ต้องการเผด็จศึกครานี้ เขาพลันยกฝ่ามือขึ้นพร้อมเรียกเถาวัลย์น้ำเต้าออกจากพื้นหิมะเพื่อตรึงร่างราชาหมาป่า ทันใดนั้น! เปลวเพลิงก็ปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือ…หลินมู่อวี่พลันปลดปล่อยเกลียวเพลิงมังกรด้วยทักษะวิชาดาบจักรวรรดิ!
‘ฟู่…’
เลือดสาดกระเซ็นทั่วทุกสารทิศ ร่างราชาหมาป่าส่วนหนึ่งถูกฟันออกเป็นชิ้นๆ จนหลุดหายไป! ในที่สุด…มันก็สิ้นชีพลงพร้อมกับเสียงโอดครวญอย่างน่าเวทนา…
เมื่อหลินมู่อวี่หันกลับไปด้านหลังก็พบว่าหมาป่าศิลามลทินตัวอื่นๆ ถูกเว่ยโฉวและเหล่าองครักษ์รักษาพระองค์จัดการเรียบร้อยแล้ว ซากศพหมาป่านอนตายเกลื่อนกลาดเป็นจำนวนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ นี่คงเป็นหมาป่าทั้งฝูง
“ท่านหลินมู่อวี่ ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ขอรับ?” เว่ยโฉวถามอย่างเร่งรีบ
หลินมู่อวี่หยิบยาสมานแผลออกมาใช้ จากนั้นพลันฉีกผ้าขาวจากส่วนของชุดรบแล้วพันรอบบาดแผล เขาทรุดตัวลงบนหินที่ปกคลุมด้วยหิมะขณะที่หายใจหอบก่อนจะกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร รายงานสถานการณ์ของทุกคนมาทีว่าได้รับบาดเจ็บกันหลายคนหรือไม่?”
เว่ยโฉวรายงาน “มีทหารบาดเจ็บสาหัสหนึ่งนาย และอีกเจ็ดนายบาดเจ็บเล็กน้อยขอรับ พวกหมาป่าศิลามลทินเหล่านั้นช่างน่ารังเกียจ…มันกระหน่ำโจมตีเข้าใส่ทุกครั้งที่มีโอกาส!”
“อืม”
หลินมู่อวี่เดินไปดูอาการของเหล่าทหาร เขาสังเกตเห็นหทารอวี้หลินนายหนึ่งถูกทึ้งไหล่จนเป็นแผลเหวอะ ชุดเกราะของเขาถูกทำลายจนหมดสิ้น หลินมู่อวี่ควักยาสมานแผลออกมาสองขวดแล้วราดลงบนบาดแผลของทหารนายนั้นก่อนจะช่วยพันแผล จู่ๆ ดวงตาของทหารผู้นั้นได้มีน้ำตาซึมออกมา “ท…ท…ท่านแม่ทัพ ข..ข้า…”
หลินมู่อวี่ยกมือปรามก่อนกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวลไป หากข้าได้รับบาดเจ็บเจ้าคงจะทำสิ่งเดียวกันเพื่อช่วยชีวิตข้า!”
ทหารทุกนายอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ความวิตกกังวลต่อความตายก็พลันสลายไปเพราะคำพูดติดๆ ขัดๆ ของทหารหนุ่มนายนั้น
…
ไม่นานเว่ยโฉวพลันถือศิลาวิญญาณซึ่งปกคลุมไปด้วยพลังงานหนาแน่น เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านหลินมู่อวี่…ในที่สุดเราก็ได้ศิลาวิญญาณหมาป่าศิลามลทินอายุห้าพันสองร้อยปี ฉะนั้นภารกิจได้ลุล่วงไปเกินครึ่งทางแล้วขอรับ! เหลือเพียงไล่ล่าอสูรเกล็ดทองคำอายุกว่าห้าพันปี และสุกรไพรอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นเราก็จะลุล่วงภารกิจทั้งหมด พวกเรายังมีเวลาอีกยี่สิบวันก่อนพิธีกรรมบวงสรวงเหมันตฤดู…มีเวลาเหลือเฟือเลยขอรับ”
“ไม่ เราไม่ได้มีเวลามากมายถึงเพียงนั้น”
หลินมู่อวี่ยื่นมือรับศิลาวิญญาณก่อนจะใส่ไว้ในกระเป๋าบนหลังม้า จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า “หากเราต้องไล่ล่าสุกรไพรวัน มันคงเป็นการยากที่จะลำเลียงเนื้อหนึ่งพันกิโลกรัมได้ทันท่วงทีก่อนที่เนื้อจะเริ่มเน่าเปื่อย ดังนั้นต้องเคลื่อนทัพโดยเร็วที่สุด เราจะสร้างค่ายพักแรมชั่วคราวที่นี่…ก่อนจะออกเดินทางมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือเพื่อไล่ล่าอสูรเกล็ดทองคำหลังหุงหาอาหารมื้อเที่ยงเสร็จ”
“ขอรับท่านแม่ทัพ!”
เว่ยโฉวตอบรับด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข เขาไม่เคยผ่านภารกิจที่ราบรื่นและน่าตื่นเต้นเยี่ยงนี้มาก่อน การสังหารพยัคฆ์กระหายโลหิตที่ป่าพฤกษาศิลามลาย หรือแม้แต่การเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่าในหุบเขาศิลาลับแล ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ใด…เว่ยโฉวก็สามารถเอาไปคุยโวในโรงเตี๊ยมของเมืองหลวงได้ทั้งชีวิต
…
หลังทานอาหารเสร็จในช่วงบ่าย หลินมู่อวี่ขึ้นขี่ม้าประจำตัวแล้วดึงผ้าคลุมสีขาวของวิหารศักดิ์สิทธิ์มาปกคลุมศีรษะไว้ เขาวางมือซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บบนหน้าอกเพื่อให้ความอบอุ่นและยื่นมือขวากุมบังเหียนม้า ก่อนจะออกเดินทางตามหาศิลาวิญญาณเพื่อองค์หญิงผู้เลอโฉมต่อไป…