The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา - ตอนที่ .127 ปลดอาวุธ
EP.127 ปลดอาวุธ
“กระบี่เล่มนี้ใช้เหล็กนิลและศิลาวิญญาณอายุแปดพันปีหลอมขึ้นมา เพราะเป็นธาตุน้ำแข็ง อีกทั้งรูปลักษณ์โดดเด่น ดังนั้นข้าจึงตั้งชื่อให้มันว่ากระบี่ดอกหลีฮวา”
หลินมู่อวี่ยิ้มพูด “ข้ายังนำทวนหลีฮวาของจ้าวจิ้นมาหลอมซ้ำ รูปลักษณ์คล้ายกระบี่เล่มนี้มาก ดังนั้นกระบี่กับทวนนี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นคู่กัน”
ฉู่เหยาหน้าแดงขึ้นทันที ยิ้มอย่างยินดี “อาอวี่ กระบี่ดอกหลีฮวาเล่มนี้เป็นคู่กับทวนหลีฮวาจริงๆ หรือ”
“แน่นอน ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ หากไม่ใช่เพราะข้ามีกระบี่เหลียวหยวนอยู่แล้ว ข้าคงไม่ตัดใจมอบกระบี่ดอกหลีฮวาเล่มนี้ให้ท่านหรอก!” เขาพูดหยอก
ฉู่เหยาลูบกระบี่เบาๆ ด้วยความรักใคร่ แล้วเอ่ยขึ้น “อาอวี่ กระบี่ดอกหลีฮวาเล่มนี้จัดอยู่ระดับหรือ”
“ระดับนิลขั้นที่สี่”
“หา?”
ฉู่เหยาผงะตกใจ “ระดับนิลขั้นสี่? ข้าได้ยินว่า…อาวุธระดับนิลนั้นแพงมาก อย่างน้อยราคาหมื่นเหรียญทองเลยนะ”
พูดเสร็จ นางก็ส่งกระบี่ดอกหลีฮวาคืนให้เขา “กระบี่ล้ำค่าเช่นนี้…นำไปขายเถอะ ให้ข้าใช้ออกจะสิ้นเปลืองเกินไป ข้าใช้อาวุธระดับภูตก็พอแล้ว…”
หลินมู่อวี่อดแอบยิ้มไม่ได้ “พี่ฉู่เหยา แค่กระบี่ดอกหลีฮวาระดับนิลขั้นสี่เองมีอะไรให้ล้ำค่ากัน ขอแค่ข้าต้องการ ข้าก็สามารถหลอมกระบี่ดอกหลีฮวาได้นับไม่ถ้วน…ท่านรับไว้เถอะ กระบี่เล่มนี้ข้าออกแบบมาเพื่อท่านโดยเฉพาะ ท่านจะไม่รับไว้ได้อย่างไร”
“งั้น ก็ได้…”
ฉู่เหยาจับกระบี่ไว้แน่น รู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจ แล้วพูดขึ้นอีก “อาอวี่ ข้าใกล้จะเข้าใจจิตกระบี่แล้ว!”
“จริงหรือ”
“อือ”
ฉู่เหยาพยักหน้าอย่างจริงจัง จากนั้นหลับตาทั้งสองข้างลง ทันใดนั้นรอบกายปรากฏปราณที่ดูเหมือนคมกระบี่ขึ้น นี่เป็นรูปลักษณ์ขั้นแรกของจิตกระบี่จริงๆ หลินมู่อวี่อดยิ้มไม่ได้ “พรสวรรค์ของพี่ฉู่เหยาไม่เลวเลยจริงๆ ด้วย พอท่านเข้าใจจิตกระบี่ได้จริงๆ แล้วก็จะสามารถเข้าใจวิญญาณสัตว์ในกระบี่ดอกหลีฮวาได้ เมื่อท่านสำเร็จขั้นนี้ ข้าจะสอนทักษะการใช้จตุธาตุบังคับกระบี่ให้แก่ท่าน!”
“อือ ตกลง!”
……
หลินมู่อวี่ไม่ได้อยู่นานนัก เขารีบออกจากสมาพันธ์โอสถ ยามนี้ทั้งร่างรู้สึกอ่อนเพลียอย่างยิ่ง ในที่สุดผลของการหลอมกระบี่หลายเล่มในคืนเดียวนั้นก็ทำให้พละกำลังและปราณยุทธ์ของเขาแทบไม่เหลือ หลินมู่อวี่ไม่คิดอะไรมากแล้ว ล้มตัวนอนลงบนเตียงหินและหลับสนิทไป
หลังจากหลับลึก ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร เขาก็ตื่นขึ้นอย่างช้าๆ
“จี๊ดๆ…”
เมื่อลืมตาขึ้น หนูสีเทาตัวหนึ่งตรงมุมกำแพงกำลังเงยหน้ามองหลินมู่อวี่ ไม่คิดว่ามันจะไม่กลัวคน
หลินมู่อวี่ที่เพิ่งตื่นนั้นฌาณสัมผัสกำลังอยู่ในช่วงขีดสุดพอดี การฝึกทักษะชีพจรวิญญาณทำให้พลังวิญญาณของเขานั้นเพิ่มขึ้นไม่หยุด ชั่วพริบตานั้นราวกับว่าฌาณสัมผัสรวมตัวเป็นจุดเดียว หลินมู่อวี่อดที่จะงงงวยไม่ได้ จึงนึกสนุกเพ่งฌาณสัมผัสรวมเป็นจุดเดียว กลายเป็นมีดฌาณสัมผัสโจมตีหนูที่อยู่มุมกำแพง
“จี๊ดด…”
หนูตัวนั้นร้องออกมาครึ่งเดียวแล้วหยุดนิ่ง ดวงตาเบิกกว้างอย่างรวดเร็วและหยุดอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ
“หืม?”
หลินมู่อวี่รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง จึงพลิกตัวลงจากเตียง เดินมาอยู่หน้าหนูตัวนั้น เขาก้มมองมัน แล้วพบว่าหนูตัวนี้เหมือนวิญญาณหลุดลอยขึ้นสวรรค์ไปแล้ว ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว ผ่านไปประมาณสิบวินาที ถึงร้องจี้ดๆ ออกมา แล้วหมุนตัวมุดกลับเข้ารูที่อยู่ด้านหลังไป
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
หลินมู่อวี่พึมพำ ในสมองย้อนคิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ คาดไม่ถึงว่าทักษะชีพจรวิญญาณจะทำให้ฌาณสัมผัสของตนรวมตัวเข้าด้วยกันและใช้โจมตีผู้อื่น หรือว่านี่ก็คือวิธีการโจมตีด้วยพลังจิต
เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมา หลังล้างหน้าล้างตาเสร็จอย่างรวดเร็ว เขาก็รีบไปวิหารศักดิ์สิทธิ์ ต้องไปทดลองกับคนสักหน่อย!
“ใต้เท้าหลินจื้อ!”
จางเหว่ยถือดาบเดินเข้ามา หัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น “ตื่นเช้าจังเลยนะท่าน!”
“ก็ใช่น่ะสิ ท่านจางเหว่ย” หลินมู่อวี่คิดอะไรออก จึงยิ้มกล่าว “ท่านจางเหว่ย ข้าอยากให้ท่านช่วยอะไรหน่อย”
“หือ?”
“ท่านยืนอยู่ตรงนี้อย่าขยับ”
“ได้” จางเหว่ยยืนอยู่หน้าเขา “ไม่ทราบว่าท่านต้องการทำอะไรหรือ…”
หลินมู่อวี่ไม่ได้พูดอะไร สีหน้าจริงจัง ใช้ทักษะชีพจรวิญญาณทันที ฌาณสัมผัสรวมตัวกันที่จุดเดียวและพุ่งใส่ศีรษะของจางเหว่ย และในตอนนี้เอง จู่ๆ จางเหว่ยก็ตัวแข็งทื่อไป แต่อาการนี้เกิดขึ้นเพียงครู่เดียว ยังไม่ถึงครึ่งวินาทีด้วยซ้ำ จางเหล่ยตะลึงงัน “เกิดอะไรขึ้น”
“เมื่อครู่ท่านรู้สึกถึงอะไร” หลินมู่อวี่ถาม
จางเหว่ยมึนงง เกาศีรษะพูด “รู้สึกว่าในหัวของข้านั้นขาวโพลนไปชั่วขณะ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ใต้เท้าหลินจื้อ เมื่อครู่ท่านทำอะไรกับข้าหรือ”
“มะ ไม่มีอะไร…” หลินมู่อวี่หัวเราะฮ่าๆ แต่ในใจกลับกำลังครุ่นคิด การโจมตีโสตประสาทของพลังวิญญาณของทักษะชีพจรวิญญาณส่งผลต่อผู้ที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งน้อยมาก พลังวิญญาณของจางเหว่ยแข็งแกร่งกว่าหนูตัวนั้นมาก ดังนั้นจึงโจมตีทางโสตประสาทเขาได้แค่ไม่ถึงครึ่งวินาที ดูท่าแล้วหากคิดจะใช้ทักษะชีพจรวิญญาณนี้ต่อสู้จริงคงต้องฝึกอีกมาก
……
เช้าตรู่ เกอหยางถือม้วนกระดาษประกาศการจับคู่ฝึกในช่วงเช้า แต่หลังจากอ่านจบก็ไม่มีชื่อหลินมู่อวี่และจางเหว่ย จางเหว่ยจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ “ผู้ดูแลเกอหยาง ท่านไม่ได้ลืมข้ากับหลินมู่อวี่ไปแล้วใช่ไหม”
เกอหยางยิ้มตอบ “ไม่ลืม ถึงข้าจะแก่แล้ว แต่ก็ไม่ลืมเจ้าสองคนหรอก หลินจื้อ จางเหว่ย วันนี้ช่วงเช้าพวกเจ้าสองคนต้องออกไปปฏิบัติภารกิจอย่างหนึ่ง”
“หืม?”
หลินมู่อวี่งุนงง ตั้งแต่เข้าวิหารศักดิ์สิทธิ์มา นอกจากการฝึกประจำวันแล้วก็มีภารกิจอื่นน้อยมาก นี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ จึงถามขึ้น “ภารกิจอะไรหรือขอรับ ท่านปู่เกอหยาง”
เกอหยางลูบเคราแล้วยิ้มกล่าว “ง่ายมาก พวกเจ้าสองคนต้องพาทหารรักษาการณ์ห้าสิบนายไปคลังเสบียงของกรมกลาโหมเบิกอาวุธ อาหาร เบี้ยเลี้ยงและอื่นๆ ของวิหารศักดิ์สิทธิ์มาอีกสามเดือน ”
“ขอรับ!”
ออกมาจากโถงทดสอบ ด้านนอกมีทหารรักษาการณ์กลุ่มหนึ่งรออยู่ ทหารรักษาการณ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็คือทหารที่มีหน้าที่คุ้มกันในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ทหารเหล่านี้ไม่ได้สังกัดกับวิหารศักดิ์สิทธิ์โดยตรง แค่อาศัยอยู่ในวิหารดูแลและอำนวยความสะดวกให้พวกครูฝึกและผู้ช่วยฝึกในวิหารเท่านั้น ตอนนี้วิหารศักดิ์สิทธิ์มีทหารรักษาการณ์ทั้งหมดจำนวนสองร้อยนาย ก็ถือว่าเป็นกองกำลังทหารขนาดย่อมแล้ว
“ใต้เท้า รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว นี่เป็นหนังสือคำสั่งของผู้ดูแลอาวุโสขอรับ!”
ทหารรักษาการณ์นายหนึ่งเดินขึ้นมาข้างหน้า นำคำสั่งของเหลยหงส่งให้หลินมู่อวี่ ราวกับเขามองว่าหลินมู่อวี่เป็นผู้นำของกลุ่มนี้ไปแล้ว ไม่ใช่จางเหว่ย ทว่าจางเหว่ยก็ไม่ได้โกรธเคืองอันใด เขารู้ดีว่าตนเองเป็นพวกทำอะไรไม่รอบคอบ หลินมู่อวี่เหมาะกับหน้าที่นี้มากกว่า
“ออกเดินทางกันเถอะ โปรดนำทาง”
“ขอรับ!”
พวกเขาขึ้นม้า เคลื่อนขบวนออกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งใหญ่ หลินมู่อวี่และจางเหว่ยสวมชุดศึกของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ท่าทางน่าเกรงขาม ขบวนม้าเดินไปตามถนนทงเทียนดึงดูดสายตาผู้คนอย่างยิ่ง
คลังเสบียงอยู่ทางทิศเหนือของพระราชวัง เมื่อขบวนของวิหารศักดิ์สิทธิ์มาถึงก็พบว่าที่นี่มีคนจำนวนมาก นอกจากวิหารศักดิ์สิทธิ์แล้ว ยังมีกองทัพจำนวนไม่น้อยรอการแจกเสบียงอยู่ที่นี่ ด้านนอกของคลังเสบียงสิบกว่าหลังทุกแห่งมีทั้งเสียงคนเสียงม้า ทหารม้าควบพุ่งเข้าไปเป็นแถว ชุลมุนวุ่นวายสุดๆ
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วกล่าว “ตอนนี้พวกเราต้องทำอย่างไรหรือ”
“ข้าน้อยจะไปยื่นหนังสือขอรับ” ทหารรักษาการณ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์นายหนึ่งกล่าว
“ได้!”
ด้านนอกคลังเสบียงมีค่ายทหารชั่วคราวตั้งอยู่ ทหารรักษาการณ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นควบม้าเข้าไป หลังจากเข้าไปไม่นานก็กลับออกมาด้วยใบหน้าคับแค้นใจ ในมือยังถือหนังสือคำสั่งอยู่
“เป็นอะไรไป” หลินมู่อวี่ถาม
ทหารวิหารศักดิ์สิทธิ์กล่าวอย่างโกรธแค้น “เจ้าผู้ดูแลคลังโง่เง่านั่นจงใจกลั่นแกล้งพวกเรา ให้พวกเราต้องต่อแถวรอไป ต้องรอแจกให้ค่ายเสินเวยเรียบร้อยก่อนถึงจะแจกเสบียงของวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้”
“ถือดีอะไรกัน” อารมณ์ร้อนของจางเหว่ยพุ่งขึ้นมาในทันที เขาโมโห “ค่ายเสินเวยเป็นกองทหารส่วนตัวของจวนเสินโหว แต่เดิมไม่อาจเบิกเสบียงหลวงได้อยู่แล้ว นึกไม่ถึงว่าจะมาเข้าแถวอยู่ด้านหน้าพวกเราวิหารศักดิ์สิทธิ์ หรือทางกรมกลาโหมจะไม่ทราบว่าการเบิกเสบียงของวิหารศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งของทหารแต่อย่างใด”
ทหารรักษาการณ์พูดเสียงต่ำ “ใต้เท้าจางเหว่ย ต้องเป็นเพราะวิหารศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับพวกเขา ถึงได้จงใจกลั่นแกล้งเช่นนี้”
“มีอย่างนี้ที่ไหนกัน!”
จางเหว่ยถือดาบควบม้าพุ่งเข้าไปในกองเสบียง หลินมู่อวี่ขวางไว้ไม่ทัน จึงรีบออกคำสั่ง “ทหาร ตามข้าเข้าไป!”
“ขอรับ!”
เขารีบพาทหารรักษาการณ์ของวิหารศักดิ์สิทธิ์สิบนายตามเข้าไป แต่เมื่อหลินมู่อวี่มาถึงด้านหน้ากระโจมใหญ่ก็ได้ยินเสียง “เปรี้ยง” หลังจากนั้นก็เห็นคนกระเด็นออกมาจากกระโจม กระอักเลือด หน้าอกยังมีเปลวไฟเล็กๆ ปรากฏขึ้น เห็นชัดว่าถูกหมัดกระชากวิญญาณของจางเหว่ยซัดจนกระเด็นออกมา
จางเหว่ยรีบเดินออกมาจากกระโจม บนกำปั้นยังมีพลังวิญญาณยุทธ์ไหววนอยู่ กล่าวเสียงต่ำ “เจ้าลูกหมา ไม่ให้เงินเจ้าแล้วคิดจะกลั่นแกล้งพวกเราวิหารศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ”
ผู้ดูแลกองเสบียงมีหัวหลิมเหมือนหนู รีบตะโกนเสียงดัง “มีคนจะฆ่าข้า มีคนจะฆ่าข้า ครูฝึกวิหารศักดิ์สิทธิ์จะฆ่าคนกลางวันแสกๆ”
“ยังจะกล้าแหกปากอีก!”
จางเหว่ยหมุนกำปั้นจะชกออกไป หลินมู่อวี่รีบพลิกตัวลงจากม้าหยุดหมัดของจางเหว่ยไว้ กล่าว “ใจเย็นก่อน จางเหว่ย”
“ไอ้เวรนี่ วันนี้ข้าจะสั่งสอนมัน” จางเหว่ยควบคุมอารมณ์รุนแรงของตนไม่ได้ ตะโกนด่าอย่างเกรี้ยวกราด “ถือดีอะไรให้ค่ายเวยเสินเบิกเสบียงก่อน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกเรามาก่อน ค่ายเวยเสินถือดีอะไรมาวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้!”
และในตอนนี้เอง จู่ๆ ทางซ้ายมือก็มีน้ำเสียงเย็นยะเยือกดังขึ้น “อ้าว ครูฝึกดาวทองจางเหว่ยแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์หมัดรุนแรงสมคำร่ำลือจริงๆ แต่อารมณ์นั้นรุนแรงเสียยิ่งกว่า ไร้สาระจริงๆ!”
หลินมู่อวี่หันไปมอง เมื่อเขาเห็นผู้บัญชาการทหารของค่ายเวยเสินนายหนึ่งท่าทางดุร้ายเดินนำกลุ่มทหารเข้ามา ก็ร้องว่าท่าไม่ดีขึ้นในใจ
จึงรีบเดินขึ้นไปด้านหน้า หลินมู่อวี่ประสานมือกล่าว “ใต้เท้าท่านนี้ หลินจื้อแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ต้องขออภัยท่านด้วย”
“หลินจื้อ?”
ผู้ที่มานั้นเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบปี นัยน์ตาเก็บประกายเอาไว้ สองเท้าก้าวมาอย่างหนักแน่นมั่นคง เห็นชัดว่าเป็นยอดฝีมือ เขายกมุมปากขึ้นกล่าว “เจ้าก็คือหลินจื้อผู้นั้นที่ตัดแขนข้างหนึ่งของจ้าวจิ้นน่ะหรือ น่าเกรงขามยิ่งนัก!”
หลินมู่อวี่ยิ้มเย็น “ใต้เท้า จางเหว่ยไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกิน ในเมื่อค่ายเสินเวยต้องการรับเสบียงก่อนเช่นนั้นก็เชิญพวกท่านก่อนเถอะ!”
จู่ๆ คนผู้นี้ก็หัวเราะเสียงแหลมออกมา “พูดได้ดี พวกเจ้าทำร้ายคนของกองเสบียง แล้วคิดจะจากไปเช่นนี้หรือ”
“แล้วท่านต้องการอะไรหรือ”
แววตาหลินมู่อวี่เย็นยะเยือก พลันยกมือดึงกระบี่เหลียวหยวนออกมา กล่าวเรียบๆ “ถึงคนของวิหารศักดิ์สิทธิ์จะน้อยกว่า แต่ก็ไม่ได้จะเกรงกลัวพวกท่านหรอก”
……
หัวหน้ากองพันของค่ายเวยเสินก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน ชักกระบี่ที่เอวออกมา กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ทหาร ปลดอาวุธทหารวิหารศักดิ์สิทธิ์กลุ่มนี้ซะ!”